วันอาทิตย์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2547

ลิฟท์ Vol.1


เมื่อก่อนตอนสมัยกุสาวๆ เรียนมัธยมปลาย อุ้ย! กระแดะเกินเรียกซะเต็มเชียว
เรียกใหม่ดีกว่า เรียนม.ปลาย ที่จ.ร พวกกุต้องเรียนกันที่ตึก 7 ชั้น
ใครเคยเห็นหรือรู้จักหรือเคยผ่านก็คงจะสังเกตเห็นว่า
โรงเรียนเก่ากุ มีอาคารอยู่คารนึง มี 7 ชั้น ส่วนใครที่ไม่เคยเห็น ไม่เคยรู้จัก
หรือไม่เคยผ่าน ก็ช่างแม่ง ไม่ต้องเสือกมาอยากจะรู้ เพราะถ้าพวกมึงไม่รู้
กันซักเรื่อง ก็คงไม่ตาย ใช่ไม๊? โอเค ตอนกุเรียนที่ตึก 7 ชั้น
พวกกุต้องเดินเรียนกันขาลาก น่องโป่งกันเป็นแถว พวกกุจึงเริ่มมองหา
เครื่องทุ่นแรงกัน โดยที่น่องไม่โป่งเหมือนไปถีบสามล้อมา ฉะนั้น
เครื่องทุ่นแรงที่พวกกุมองหา คือ "ลิฟท์" ไม่ใช่ ลิฟ์ท์ กะ ออย นะ
ตลกไม๊? ไม่ กุไม่ได้เล่นมุขให้พวกมึงขำ อย่าเสือกขำนะ กุเล่นไว้ให้แป้กงั้นๆ
แต่ลิฟท์เหี้ยนี่ มันมีแค่ตัวเดียว แล้วก็มีกฎอยู่ว่า "สำหรับอาจารย์เท่านั้น!"
อิดอกกกกกกกกกกก กุเคืองมาก ทำไมวะ กะอีแค่ลิฟท์ ทำไมพวกกุจะขึ้นกันไม่ได้
ในเมื่อพวกกุก็จ่ายเงินค่าเทอมกัน ทำไมแม่งจะต้องทุ่นแรงเฉพาะอาจารย์ด้วยวะ
แต่เมื่อมีเหตุ ก็ต้องมีผล อาจารย์ชอบพูดเตือนบ่อยๆหน้าเสาธงว่า อาจารย์น่ะ
เค้าแก่แล้ว อย่างพวกนักเรียนเนี่ย ยังวัยรุ่นกัน ก็ต้องแข็งแรง ขึ้นบันไดกันได้สบายๆ
ห่ามากค่ะ เห็นพวกกุเป็นอะไร กุไม่ใช่ทหารเกณฑ์ กุเป็นแค่เด็กสาวมัธยม
น่ารัก วัยใส หวานแหวว แต๋วจ๋า ดอกทอง กันขนาดนี้ ทำไมต้องให้กุเดินขึ้นบันไดด้วย
เมื่อพวกกุคิดได้ดังนั้น พวกกุจึงต้องใช้วิชานินจา แอบขึ้นลิฟท์กัน โดยไม่ให้
อาจารย์เห็น โดยการกดลิฟท์ แล้วก็ยืนรอจนกว่าลิฟท์จะขึ้นมาตามคำสั่งของพวกกุ
พอลิฟท์มา ย๊าง ... ยัง ไม่เข้าไปนะ พวกกุต้องแอบหลบอยู่ที่มุมเสาก่อน ค่อยมองว่า
มีอาจารย์ขึ้นมาไม๊วะ ถ้าปลอดคน พวกกุก็จะรีบสอดตัวเข้าในลิฟท์ ทันที!
ใครๆอาจจะเคยขึ้นลิฟท์กันแบบเก่าๆที่ไม่มีเสียงเหี้ยไรลอดเล็ดออกมาเลย
ต่างคนก็ต่างยืนนิ่งเงียบ จากเมื่อกี๊จากลาเพื่อนๆเฮฮาอยู่ดีๆ
กลายเป็นนิ่งเงียบ เมื่อเข้าลิฟท์มา กุว่าการขึ้นลิฟท์นี่
แม่งอาถรรพ์ชิบหาย ทำให้คนปากมากเข้ามาแร้ว นิ่งเงียบได้ชั่วขณะ
แต่ไม่ ของกุขึ้นแล้วสนุก
กุและผองเพื่อน มีกิจกรรมมาเล่นกันในลิฟท์เสมอ นั่นคือ
พอพวกกุสอดตัวกันเข้ามาในลิฟท์ สิ่งที่จะต้องทำอันดับแรกเลยคือ มองหาเหยื่อ
จะกี่คนก็ได้ แล้วแต่จิตศรัทธา จากนั้น พวกกุก็จะปิดไฟในลิฟท์
เคยเห็นไฟในลิฟท์ไม๊? ถ้าไม่เคยเห็น หัดเป็นคนสังเกตเหี้ยไรรอบๆตัวบ้างนะ
หรือไม่ก็รีบๆวิ่งไปกดลิฟท์แถวๆนั้นดูก็ได้นะ กุจะรอ นับ 1-3
1 ... 2 ... 3 โอเค กุถือว่าวิ่งไปดูมาแระนะ อ่ะ เข้าเรื่อง
พอพวกกุปิดไฟปุ๊บ จุดโฟกัสพวกกุอยู่ที่ไอ่เหยื่อห่านั่น มันโชคร้ายมาก
ที่มาแอบขึ้นลิฟท์พร้อมพวกกุ สิ่งที่กุทำคือ รุมสกรัมมัน ทั้งถีบ ทั้งเตะ
อ๊ะๆ อย่าคิดว่าพวกกุ หาเหยื่อที่ไม่มีทางสู้นะ กุก็ไม่ได้เหี้ยไรขนาดนั้นหรอก
แต่ว่า ... เหยื่อที่ว่า ก็จะต้องรู้ด้วยว่า วันนี้ จะมีกิจกรรมตอนขึ้นลิฟท์
ซึ่งเหยื่อเหี้ยนี่ ก็คือคนในกลุ่มกุ แต่พวกกุ จะสะกิดกันเองไม่ให้มันรู้ตัว
สะใจชิบหาย แม่งเห้อะ ปิดไฟแร้วกุก็ถีบๆๆๆๆ ตบๆๆๆ ยีหัวๆๆๆๆๆ ก๊ากๆๆ
มันส์สัดๆเรยมึ๊ง โอ๊ย...พวกกุสนุกกันมาก ในตอนนั้น
ทั้งๆที่กุก็ใส่กระโปรงกันทุกคน แต่ว่า ในวินาที สกรัมหมู่นั้น
มันมองไม่เห็นอยู่แร้ว ว่าใครจะเสือกใส่เหี้ยไรมา หรือว่า ไม่ใส่!
เพราะมันมืดไปหมด บางทีกุก็ไม่มีเหยื่อหรอก แบบว่าอยากเล่น
พวกกุก็นัดกัน สกรัมหมู่กันบ่อยๆ โดยไม่มีเหยื่อ วันนี้มึงอยากเล่นใคร
มึงทำได้เลย แต่ใช่ว่า วันที่กุมีเหยื่อนั้น อิเหยื่อห่านั่นจะไม่สู้นะ
เพราะต่างคนต่างไม่เห็นหน้ากัน บางที สกรัมคนที่ไม่ได้หมายตาไว้บ้าง
โดนเหยื่อสกรัมบ้าง หักหลังกันเองบ้าง เป็นที่หัวเราะเฮฮา สนุกสนาน
พวกกุทำแบบนี้บ่อยๆ เมื่อแอบขึ้นลิฟท์
แต่บางครั้ง พวกกุอยากเข้าไปเล่น แต่ก็ต้องรีบถอย เพราะ
อาจารย์ขึ้นลิฟท์มา พวกกุต้องทำเป็นยืนคอยเพื่อนบ้างล่ะ
ทำเป็นคุยเล่นกันหน้าลิฟท์บ้างล่ะ หรือไม่ก็ ถ้าหน้าด้านๆหน่อย
กุก็จะพูดกะอาจารย์ว่า "อาจารย์ขานู๋ปวดขาค่า ขอขึ้นไปด้วย
ได้ไม๊คะ นู๋ไม่ไหวจริงๆแล้วค่า"
อาจารย์บางคนก็ให้กุขึ้นนะ แต่บางคนก็ไม่
ลิฟท์ของตึก 7 ชั้น เนี่ย อิช่อเคยเล่าให้กุฟังว่า ตอนมันและเพื่อนๆของมัน
แอบขึ้น พวกมันเคยติดอยู่ในลิฟท์
พวกมันก็ช่วยกันง้างๆๆ ลิฟท์ออกมา พอง้างออกมาได้
สิ่งที่มันได้เห็นก็คือ มีแต่ อิฐ เต็มไปหมด หลังจากนั้น
อิช่อ และ เพื่อนๆ ก็ไม่ขึ้นลิฟท์เหี้ยนี่อีกเลย และกลายเป็นคน
ที่หวาดกลัวการขึ้นลิฟท์เป็นอย่างมาก
ถ้าไม่จำเป็นเหี้ยไร มันก็จะไม่ขึ้นลิฟท์ มันยินดีน่องโป่งเป็นคนถีบสามล้อ
ดีกว่าติดในลิฟท์
พอการขึ้นลิฟท์ของกุ กลายเป็นเรื่องน่าสนุก ไม่มีความเงียบเหงา
เศร้าสร้อยเหี้ยไรแร้ว พวกกุก็จะขึ้นกันบ่อยๆ
เป็นที่สนุกสนาน และครื้นเครง ปล่อยอารมณ์เครียดของพวกกุได้หลายเท่านัก
วันนึง ... พวกกุก็กะจะทำเช่นนี้อีก เมื่อกุกดลิฟท์ไปแล้ว พวกกุก็ซ่าส์
ยืนอยู่หน้าลิฟท์กัน ยืนออ กันจนเบียดเสียด
ติ๊ง! เสียงลิฟท์เปิด โอ๊ย...ตอนนั้นนะ กุไม่กลัวเหี้ยไรแระ เพราะกุไม่คิดว่า
จะมีอาจารย์คนไหนขึ้นมา เพราะตอนนั้น เข้าเรียนกันหมดแล้ว
แต่พวกกุเข้าเลท มัวแต่นั่งเม้าท์แตกกันอยู่ที่โรงอาหาร
พอถึงเวลาเรียน พวกกุขี้เกียจเดินน่องโป่งกัน
เลยอาศัยการขึ้นลิฟท์ห่านี่ (พอดีตอนนั้นกุเรียนชั้น 7)
ปรากฏว่า ด้วยความที่กุเลินเล่อ ไม่ตรวจความเป็นระเบียบ
ของลิฟท์ก่อนเข้านั้น กุก็รีบเบียดตัว เป็นนินจา เข้าไปในลิฟท์ทันที
พอกุหันมาจะกดลิฟท์กัน กรี๊ดดดดดดดดดดดดด อิชิบหาย
อาจ๊ารย์!!! เต็มเล๊ยยย อยู่ตรงที่กดลิฟท์
กรี๊ดดดดด ทำไมกุไม่เห็น กุตกใจชิบหาย ตกใจเหี้ยๆเลย
หัวใจหลุดออกไปตรงตาตุ่ม แร้วมึงคิดดู
สภาพกุสิ
อาจารย์ฝ่ายปกครองด้วย อิห่าเอ้ย ซวย ซวย ซวย
กุคิดได้แค่ว่า ซวย ในใจ
กุและผองเพื่อน หันหน้ามองกัน หันไปยิ้มให้อาจารย์ แหะๆ
หวัดดีค่ะอาจารย์ แหะๆ พวกกุยกมือไหว้ให้สวยที่สุด
เท่าที่พวกกุจะทำได้
อาจารย์ : จะขึ้นลิฟท์กันไปไหนเหรอจ๊ะ
กุแระผองเพื่อน : อ่อ จะไปเรียนชั้น 7 ค่ะ แหะๆ
อาจารย์ : อ่อ เหรอ อืม...งั้นช่วยไปส่งครูที่ชั้น 2 ก่อนได้ไม๊
กุแระผองเพื่อน : เอ๊ะ...ชั้น 2 (มันเป็นห้องปกครองนี่หว่า)
กุกะเพื่อน หันหน้ามองกันเลิ่กลั่ก
หุย...อาจารย์ คะ นู๋มีเรียนภาษาอังกฤษชั้น 7 อ่ะค่ะ
นู๋ขอขึ้นครั้งนี้ครั้งเดียวไม่ได้เหรอคะ
(กุลืมบอกไปว่า อาจารย์ลงลิฟท์มา เพื่อที่จะขึ้นไป
ชั้น 5 เพราะขี้เกียจยืนรอใหม่ กลัวลิฟท์เต็ม เลยลงมา แล้วขึ้นอีกรอบ
ส่วนพวกกุ อยู่ชั้น 1)
อาจารย์บอกกุว่า ไม่มีอะไรหรอกน่า ไปชั้น 2 กับครูแป๊บเดียว
แต่อิแป๊บห่าของอาจารย์นั้น พวกกุรู้เรยว่า กุโดนแน่ๆ
สุดท้าย เมื่อกุไปถึงห้องปกครอง ผิดคาด! กุนึกว่าจะทำทัณฑ์บน
ที่แท้ อาจารย์ทำโทษพวกกุ โดยการ
ขัดส้วม!
อาจารย์แจกอาวุธในการขัดส้วมให้พวกกุ ครบมือ
อิสาดม๋า อายก็อาย เรียนก็ไม่ได้เรียน
แถมอาจารย์ก็ยังตามมาดูพวกกุขัดส้วมกันอีก
กุแระผองเพื่อน นึกถึงตอนนี้ เมื่อเอาเรื่องเก่ามาเล่ากันใหม่ทีไร
พวกกุก็หัวเราะท้องแข็งกันทุกที
แหม...ทำไปได้!
ครั้งนี้พวกกุขยาดการขึ้นลิฟท์ได้ไม่นาน สุดท้าย
พวกกุก็ยังแอบขึ้นลิฟท์ กันอยู่ดี - -!
อิดอก ไม่เข็ดจริงๆนะมึง
ภาษาเหนือวันละคำวันนี้ คำว่า ม่ะกุย อ่านว่า ม่ะ - กุย แปลว่า กำปั้น
แต่งประโยค วันนี่หน้าปี้หนานเป๋นแผลไปโดนม่ะกุยยอกมาแหละปี้
แปลอีกทีว่ะ วันนี้หน้าพี่ทิดเป็นแผลไปโดนกำปั้นใครเค้ามาเหรอพี่
บ๊าย...บาย
นู๋บลิว เซเลอร์มูน ก๋ากั่น

วันเสาร์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2547

เยือนบ้านโคกใหญ่

ช่วงเทอม 1 ที่ผ่านมา ตอนที่กุมีปัญหากับพี่เอก แล้วอยู่ในช่วงเลิกกัน
ในตอนนั้น พอดี กะที่อาจารย์มีโครงการที่เกี่ยวกับวิชาเรียนของพวกกุ
คือต้องไปโรงเรียนเรียนร่วม อาจารย์บอกว่า โรงเรียนที่จะไป
คือโรงเรียนบ้านโคกใหญ่ โรงเรียนบ้านโคกใหญ่
เป็นโรงเรียนที่มีเด็กพิเศษเรียนร่วม พวกกุต้องขนของ ขนงานต่างๆ
ไปพรีเซ้นต์ และทำกิจกรรมให้กับน้องๆ ทั้งเด็กพิเศษ และก็เด็กปกติ
กุก็จำไม่ได้แระว่ะ ว่า มันมีกี่ฐาน แต่ฐานกุกุต้องให้ความรู้เกี่ยวกับ
เด็กหูหนวกและเครื่องช่วยฟังต่างๆ และกิจกรรมวันที่ 2 กุต้อง
ให้น้องทำกิจกรรมเกี่ยวกับการปั้น โดยทำแป้งปั้นกันเอง กุไม่ใช้ดินน้ำมัน เพราะ
ดินน้ำมัน แพงกว่า แป้งที่พวกกุทำกันเอง อีกอย่างเลือกสีได้ตามใจชอบ
สีก็สดกว่าดินน้ำมัน อีกด้วย จะใส่กลิ่นเหี้ยไรก็ได้ ตามใจเรา
ตื่นเช้า กุบอกให้แม่มาส่งกุ พอกุมาถึงหน้าบ้านพิบูลทั้งอาจารย์ และเพื่อนๆ รออยู่แล้ว
รุ่นพี่ที่จบไปแล้วก็มา 2 คน คือพี่เบียร์ กะพี่ห่าไรมะรู้ กุลืมชื่อไปแล้ว
พวกกุต้องนั่งรถหางปลาทู (กุไม่รู้ชาวบ้านชาวช่องเรียกเหี้ยไร
บ้านกุเรียกรถหางปลาทู)
บางคนเรียกรถหวานเย็น ใครอยู่แถบๆบ้านกร่าง หรือแถวๆหน้า จ.ร ก็จะเห็น
รถแบบนี้วิ่งกันขวักไขว่ รถคันนี้ รู้สึกว่าอาจารย์จะจ้างมาจากชาติตระการ
เพราะโรงเรียนบ้านโคกใหญ่อยู่ชาติตระการ กุมารู้อีกที โรงเรียนบ้านโคกใหญ่
มันอยู่ใกล้ๆ กับโรงเรียนเก่าของพ่อกุ
กุจำได้ว่า ตอนพ่อกุสอนอยู่ที่นั่น กุเคยไปเล่นน้ำแก่ง ด้วย วู้ ดีใจจัง
มาเจอโรงเรียนเก่าพ่อ รู้สึกเหมือนกะว่า ได้กลับมามีชีวิตแบบที่เคยคิดถึงอีกครั้ง
เมื่อกุไปถึงที่โคกใหญ่ พวกน้องๆ ทุกๆชั้น ก็มองพวกกุ แบบว่า เห้ยมันมากันทำไม เพื่ออะไร
แล้วพวกน้องๆ ม. 3 ก็เอาดอกไม้มาติดเสื้อให้พวกกุ เหมือนเป็นการต้อนรับ
ไปที่โคกใหญ่กุสัมผัสถึงบรรยากาศครั้งสมัยที่กุเคยเรียนโรงเรียนแนวๆนี้
โรงเรียนไม้เก่าๆ ที่ต้องใช้เทียนไขไปต้ม แร้วเอามาขัดพื้นไม้ ให้มันดูเงางาม
วันแรก พวกกุก็จัดเตรียมกันทำกิจกรรม ครูประกาศให้เด็กชั้นป. 1-6 ลงมาเข้าแถว
หน้าเสาธง แล้วก็แบ่งกันทำกิจกรรมในแต่ละฐาน แล้วก็เปลี่ยนฐานไปเรื่อยๆ
(กุเล่าข้ามๆกระโดดๆนะ กุขี้เกียจมีภาคต่อ)
แล้วทุกๆฐานก็จะต้องให้น้องๆ มีเพลงและท่าทางประกอบเพลงนั้นๆด้วย
เด็กๆสนุกสนานชอบใจกันใหญ่ กุก็รู้สึกดี แม่งรักเด็กว่ะ
ช่วงบ่ายๆ หลังจากที่กุปล่อยเด็กกลับบ้านกัน ฝนก็ตก (ช่วงเดือนสิงหาหลังวันแม่ไม่เท่าไหร่)
กุกะเพื่อนๆ (กุจำมะได้แระว่ามีใครบ้างอ่ะ) ไปนั่งแด่กก๋วยเตี๋ยว ข้างๆโรงเรียน
บรรยากาศแม่งได้ใจกุจริงๆ ทำให้นึกถึงสมัยสาวๆอีกแว้ว! ตอนกุยังเด็ก ได้กลิ่น
ของดินที่มีฮิวมัส โดนฝนจนเปียก เมื่อฝนหยุด ฟ้ากระจ่างใส เป็นฟ้าหลังฝน
พวกกุจะออกไปเซอร์เวย์แถวๆหมู่บ้าน เพื่อกรอกแบบสอบถาม
พวกกุต้องไปถามผู้ปกครองในหมู่บ้าน เรื่องเกี่ยวกับเด็กพิเศษที่เรียนในโคกใหญ่
เดินไป รองเท้ากุก็ติดหนึบกะพื้นดินลูกรังที่เปียกฝน พวกกุเดินกันมาไกลมาก
ขาไปกุไม่ค่อยจะเมื่อยเท่าไหร่ เหมือนได้เดินเล่น แต่ขากลับ
มันเหนื่อยมากที่จะต้องเดินกลับ พลัน! โสตกุก็ปะทะกับเสียงเสียงหนึ่ง
กุว่ามันต้องเป็นรถคุณแต๋นของใครซักคน ในระแวกนั้น
กุบอกว่าอิห้อยกะอิก้อยว่า กุขี้เกียจเดินกลับแว้ว มันไกลจ้าดดด
กุจะรอโบกคุณแต๋นกลับโรงเรียน แต่มันเป็นเหี้ยไรของพวกมันก็ไม่รู้ หรือเพราะอายไม่กล้า
มันบอกว่า โอ๊ย...ไม่เอาว่ะ ไม่ไปหรอก บ้าเหรอ กุก็ยืนรอแล้วรออีก
คุณแต๋นคันนี้ เสียงมาเร็วกว่าตัวหลายพันเท่านัก กุรอเป็นชาติยังไม่มาเลย
แล้วความหวังกุก็เป็นจริง กุเห็นเค้าขับมาลิบๆ กุตั้งท่าได้ โบกรถคุณแต๋น
กุบอกลุงคนขับว่า ผ่านโรงเรียนโคกใหญ่ไม๊คะ ลุงบอกว่า ผ่านคับ
กุก็บอกลุงว่า นู๋ขอติดรถไปโรงเรียนได้ไม๊คะ เค้าก็พยักหน้ารับ
เย้ๆๆๆๆๆ กุกะลังจะเตรียมโดดขึ้นรถ อิห้อยกะอิก้อย มาจากไหนไม่รู้
อิสาดดดดดดดด
จากที่บอกว่าไม่ไปๆๆ แม่งเหี้ย โดดขึ้นรถก่อนกุ นั่งหน้าตาจิ้มลิ้ม
น่าถีบมากๆ พวกกุหัวเราะกันมาตลอดทาง โคตรมันส์! นั่งคุณแต๋น กับ
บรรยากาศที่ปลอดโปร่ง มีความสุขมาก แหกปากหัวเราะไม่ได้เกรงใจลุงคนขับเลย
แม่ง ราชรถมาเกยจริงๆ
พวกกุแม่งทำตัวยังกะเด็ก (ทั้งๆที่ก็แก่ชิบหาย) ลุงเค้าขับรถผ่านโรงเรียน
ก็จอดให้กุลงกัน โอ๊ย...พวกกุหัวเราะกันท้องคัดของแข็ง
หัวเราะความดอกของมัน 2 คน ที่ทำเป็นบอกว่า ไม่ขึ้นๆ สุดท้าย โดดขึ้นรถก่อนกุอีก
ทั้งๆที่กุเป็นคนโบก - -!
แระบรรยากาศที่โล่งสบาย ของคุณแต๋น กุมีความสุข
พี่เบียร์ และพี่ พี่ห่าไรวะ ช่างแม่ง 2 คน อ่ะ เค้าเห็นพวกกุพอดี
เค้าก็หัวเราะใหญ่ บอกว่า เห้ย โบกอีแต๋นมากันเรยเหรอวะพวกแก
หลังจากนั้นพวกกุก็สังคยานาตัวเอง แล้วก็เตรียมกิจกรรมตอนกลางคืนกัน
พวกน้องๆ ชั้นมัธยม เตรียมการแสดงต้อนรับพวกกุเช่นกัน กิจกรรมกลางคืน
ก็จะมีพวกชาวบ้าน ในหมู่บ้าน เข้ามาดูกัน พ่อแม่ผู้ปกครองของเด็กบ้าง หรือไม่ก็
เป็นสมาชิกในหมู่บ้าน ซึ่งก็เป็นธรรมดาของสังคมชนบทที่กุชื่นชมมาตลอด
พวกน้องมัธยม ออกมาแสดงเพลง ตามหาสมชาย กับเพลงไรวะ คอยรักหนุ่มตังเก
ของอิแมงปอ ไรนั่น อินุ่นถามกุว่า เห้ยบลิว มึงไม่คิดจะมีการแสดงอะไรบ้างเหรอวะ
นอกจากการที่เราจะแสดงละคร เกี่ยวกับเด็กพิเศษประเภทต่างๆเนี่ย กุอยากได้การแสดงว่ะ
กุเรยพูดติดตลกไปว่า เอ้ามึงจะให้กุทำไง ให้กุไปยืมชุดน้องเค้า แร้วก็ยืมเพลงน้องเค้า
ส่วนการแสดง กุคิดสดงั้นใช่ไม๊? มึงเอาไม๊? กุคิดว่ามันไม่เอา!
แต่มัน เอา! อิสาดดดดดดด ห่าเอ้ย กุ อิช่อ 2 คน รีบกุลีกุจอ ไปขอยืมอุปกรณ์การแสดงต่างๆ
จากพวกน้องๆเค้า ท่าเท่อห่าเหวไรกุก็ไม่มีท่าทางพวกกุต้อง สด! ตามสันดาน
กุคิดท่ากันเดี๋ยวนั้น ซักพัก หนุงหนิงเข้ามาบอกว่า ให้เราแสดงเป็นสมชายไม๊
กุกะอิช่อ เอา! จาก 2 คน เป็น 3 คน เอาวะ แล้วพวกกุก็ซักซ้อมกันใหญ่ ซักพัก อิอุ๋ย เดินมา บอกว่า
ทำไรกันน่ะ พอพวกกุบอก มันบอกว่า เห้ย ขอด้วยๆๆ อยากๆๆๆ พวกกุ เอา!
จาก 3 เป็น 4 สู้โว้ย! ซ้อมไปซ้อมมา ทุเรศตัวเองบ้าง หัวเราะกันเองบ้าง รอแล้วรออีก
แม่งเมื่อไหร่ พวกกุจะได้ขึ้นเต้น เรื่องอายเพื่อนพวกกุไม่เคยอาย แต่นี่ มาเต้นให้ชาวบ้าน
และพวกเด็กๆเค้าดู กุจะไปได้ไม๊ กุก็ไม่รู้ เพราะเต้น step ที่เป็นสันดานจริงๆ
พอพวกกุขึ้นไป เพื่อนๆกรี๊ดกันใหญ่ เต้นตาม step ที่วางไว้กัน ส่วนกุมันส์กว่าใคร
มันส์ชิบหาย ตาลุงแก่คนนึง ควักแบงค์ 20 ยื่นให้กุ กรี๊ดดด ยังกะคาเฟ่
กุรีบยกมือไหว้ขอบคุณ อิสัดนี่มันขอจับมือกุ กุนึกว่ามันจะเอาเงินคืน กุถามมันว่า
กุ : ลุงจะเอาเงินคืนเหรอคะ
อิลุง : อ่อ ป่าวๆๆๆ ขอจับมือหน่อยๆๆๆ
อิสาด โดนคนแก่หลอกจับมือ พวกกุเต้นกันสุดตรีนมากๆ เพื่อนๆกุกรี๊ดกันเกรียวกราว
พอพวกกุเต้นเสร็จ เป็นปลื้มว่ะ แม่งเห้อ มีแต่คนชอบ พวกน้องๆมัธยมที่กุยืมชุดเค้ามา
มาหาพวกกุ โหยพี่บลิว คิดได้ไงเนี่ย พวกนู๋อายเลย กุบอกน้องไปว่า อ่อ หน้าด้านๆเข้าไว้น้อง
อย่าไปอาย ถ้าอายก็ไม่ได้ทำไรกินหรอก อยู่ที่นู่น พวกพี่ยิ่งกว่านี้ - -"
(กิจกรรมเหี้ยไรก็พวกกุๆๆ)
กุรับจ๊อบแม่งหลายอย่างจริงๆ พอเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ กุก็ต้องไปแสดงละคร เป็นเด็กหูหนวก
อิวัยรุ่นผู้ชายแถวๆนั้น แซวกุ ฮิ้วๆๆๆ เต้นสุดๆไปเลยนะ แต่กุบ่ได้สนใจมากนัก
ช่างแม่ง กุได้มาตั้ง 20 บาท -"-
ตอนกุแสดงพวกมันก็เอาแต่เห่าหอน ส่งเสียงแซวกัน กุได้แต่คิดว่า อย่าใส่ใจๆๆ มันแค่เห่าหอน
แร้วการแสดงสดของพวกกุ ก็รอดตัวไป ฟู่ววววว แก้ผ้าเอาหน้ารอดซะจริงๆ!
ก่อนเข้านอน อ.เรียกพบทุกคน แระทบทวนสิ่งที่ทำไปแล้วว่าได้อะไรบ้าง
ผ่านพ้นวันแรกไปด้วยความอ่อนเพลีย พวกกุนอนหลับสลบไสล
วันที่ 2 อาจารย์เรียกพวกกุไปทำความเข้าใจกิจกรรมก่อนจะสอน แล้วพวกกุก็พาเด็กๆ
ทำกิจกรรมต่างๆ พวกกุให้เด็กๆ ปั้นในสิ่งที่ตนเองชอบ โดยมารับ แป้งปั้นสีต่างๆ จากพวกกุ
เด็กๆชื่นชอบกันใหญ่ เพราะสีสวย และมีกลิ่นหอม กุจำได้แค่นั้น นอกนั้น กุงีบหลับ
จะว่าไป เหมาะกับคำว่า แอบหลับซะมากกว่า เพราะถ้า อ. เห็น เป็นเรื่องแน่ๆ
เมื่อกิจกรรมทุกอย่างจบลง ในแต่ละฐาน
พวกกุ ก็จับกลุ่มให้เด็กๆเล่นเกม ไม่ว่าจะเต้น หนอนน้อย , ไก่ย่าง , ฯลฯ
ก่อนเที่ยง เมื่อกิจกรรมทุกอย่างเสร็จสิ้น พวกกุก็จับกลุ่มวงกลม แล้วร้องเพลง
สามัคคีชุมนุม
ร้องได้บ้างไม่ได้บ้าง กล้อมแกล้มไปแม่ง
พวกกุนอนรอรถหางปลาทู สุดแรง นานมาก กุเผลอหลับไป นานเท่าไหร่ไม่รู้
ได้ยินเสียงเพื่อนเห่า ว่า เห้ย รถมาแร้วว้อยยยยยยยย เท่านั้นแหละ พวกกุ
ตื่นกันอัตโนมัติ (อยากกลับบ้านไปอาบน้ำกัน เหนื่อย และก็เพลีย)
ก่อนกลับ พวกครู และน้องๆ ที่เข้ากิจกรรมฐาน มาส่งกุ พอพวกกุลาทุกๆคนแล้ว
ก็ขึ้นรถกัน แระรถก็ออกจากโรงเรียน เด็กบางคน โบกไม้โบกมือร่ำลาพวกกุกัน
พวกกุก็โบกมือ บ๊าย...บาย กุและเพื่อนจะไม่มีวัน ลืมวันนี้ไปเลย
กิจกรรมนี้ ทำให้กุมีความสุข ถึงแม้กุจะเสียใจเรื่องพี่เอกก็ตาม แต่กุร้องไห้ไม่ออก
ทั้งๆที่ใจก็อยากร้อง แต่กุต้องทำกิจกรรมกัน กุยังร้องไห้ไม่ได้
ภาษาเหนือวันละคำวันนี้ คำว่า เก้าไม่ อ่านว่า เก้า - ไม่
แปลว่า ต้นไม้
แต่งประโยค เก้าไม่แถวนี่ ร่มรื่น ดีเนาะ วันพูกเฮามานั่งยะงานตี้นี้ดีกว่า
แปลอีกทีว่ะ ต้นไม้แถวนี้ ร่มรื่นดีเนาะ พรุ่งนี้เรามานั่งทำงานที่นี่ดีกว่า
บ๊าย...บาย
นู๋บลิว เซเลอร์มูน ก๋ากั่น
ป.ล ตอนนี้กุกะพี่เอกเคลียร์กัน แระกลับมาคบกัน แต่ความรัก ก็ยังลุ่มๆดอนๆ
สัดดอก เชี่ยไรก็มีความสุข แต่ความรัก สร้นตรีนจริงๆ
แระอิห้อย (วุ้น) มันคือ เกย์ตัวหนึ่ง
ของต่างๆที่เด็กๆได้เข้าร่วมกิจกรรมในฐาน พวกกุยกให้เด็กๆ
เอากลับบ้านหมดเพราะถือว่าเป็นฝีมือของพวกเค้า ปลื้มจริงๆ

ส้มตำยกครก

หลังจากที่กุขี่รถผ่านร้าน ส้มตำยกครกอยู่บ่อยๆ แถวหน้าม.ใน แต่วันนี้ กุเข้าไปคุย
เรื่องการแข่งกีฬาระหว่างคณะศึกษาศาสตร์ของม.น กับครุศาสตร์ ของกุ
กับพวกเพื่อนๆสโมฯทั้งหลาย หลังจากคุยกันเสร็จ เพื่อนๆพากุไปกินส้มตำ ที่ร้าน"ส้มตำยกครก"
กุก็ว่า เอ๊ะ ... ทำไมคุ้นๆ ที่แท้กุเคยเห็นมันอยู่ตรงข้ามกะม.ในนี่หว่า
แต่กุเสือกได้มากินที่ม.นอก หุๆ เจ๋งว่ะ (ทำไมต้องเจ๋งวะ) - -"
เพื่อนๆสโมฯ ของม.น ได้แก่ เชษฐ์ ตู่ สร้อย แระใครอีกคนวะ กุจำชื่อไม่ได้แระ
ส่วนของพวกกุก็มี กุ อิห้อย(วุ้น) รุ่ง ต้อย แมว ขิม เชษฐ์ บอกว่า บลิวสั่งได้เลย
อยากกินไร ก็สั่งเลยนะ เขียนเลยๆๆๆๆ เอ้า...อย่านะ กุบ้ายุนะ เรื่องกิน อย่าได้
มาถาม กุแด่กกระจาย! กุอ่านเมนูไปๆมาๆ อยู่อย่างนั้น กุถามเพื่อนๆกุว่า เห้ย ช่วยกุหาหน่อย
กุหา ตำปูไทย ไม่เจอ กุเจอแต่ตำไทยปูม้า กุไม่อยากกินปูม้า กุอยากกิน
ปูเค็ม สุดท้าย กุก็ได้กิน ส้มตำปูม้าจริงๆ ใครสั่งวะ?
กุอ่านอยู่นาน ไปสะดุดตรงเมนู "ตำโล่งโจ้ง" เห้ย กรี๊ดดดด
ร้านนี้ ติดเรท ฤ? กุถามเพื่อนเชษฐ์ เพื่อนเชษฐ์บอกกุว่า เราไม่รู้วว
เพื่อนเชษฐ์มันเรยสั่ง "ตำโล่งโจ้ง" 1 ที่ เชษฐ์บอกว่า ไม่เคยกินเหมือนกัน
ส่วนกุนั่งอ่านเมนู ตาแหก ไม่รู้จะเอาไรกระแทกปากดี กุเรยเขียนส่งๆ
"ยำวุ้นเส้น" หืมมมมม กุน่าจะสั่งเหี้ยไรที่มีสาระมากกว่านี้นะ - -!
รอซักพัก ไม่นานเท่าไหร่ ส้มตำ ยกครกก็มาเสิร์ฟเต็มโต๊ะ กุขอบอกว่า เต็มโต๊ะจริงๆ
เหมือนกะว่า ครกใครครกมันเลยว่ะ อีกอย่าง ไม่ใช่เฉพาะส้มตำ ที่กุกินกัน ยังมีพวก
ขนมจีนเอย ต้มแซ่บเอย เนื้อย่างเอย ฯลฯ เยอะสัด กุไม่รู้เหมือนกันว่า ใครสั่ง!
แต่มันก็ทำให้ไส้กิ่วๆ ของกุที่ยัดก๋วยเตี๋ยวมา 2 ชามเต็มๆก่อนหน้าที่กุจะไปประชุมนั้น
ตึงเปรี๊ยะ! ครกน้อยๆ น่ารักชิบหายกุอยากจิ๊กกลับบ้าน
ทำให้กุนึกถึง เด็กๆเวลาเล่นขายของ ครกอันน้อยๆน่ารักดอกๆ
สุดท้าย "ตำโล่งโจ้ง" ติดเรท ของกุก็มาถึง สิ่งที่กุได้เห็น คือ ตำเหี้ยไรเนี่ย
เกิดคำถามขึ้นในใจ แต่ไม่ได้พูด แต่ใครคนใดคนนึงไม่รู้วว ถามเจ้เจ้าของร้าน
มันจึงได้คำตอบว่า "ตำโล่งโจ้ง ก็คือ ตำปูม้า ไม่ใส่เส้นอะไรเลยค่ะน้อง"
อีดอกกกกกกกกกกกกกกก!! กุว่าแล้ว มันต้องคิดเมนูสร้นตรีนนี่มา
เพื่อให้คนง่าวๆ อย่างพวกกุลองกันแน่ๆ
สุดท้าย "ตำโล่งโจ้ง" แม่งก็โล่งโจ้งกันจริงๆ เพราะไม่มีใครแด่ก
กุไม่ชอบปูม้า มันไม่สะระตี่ เหมือนปูเค็ม กุแด่กไม่เป็น
แด่กแต่เครื่องของมัน เพื่อนเชษฐ์บอกว่า พี่คับขอถุงหน่อย
ผมเขิลล์ ผมจะเอาปูม้าไปแทะเล่นที่หอ เออนะ ดูมัน
ซักพัก โจ้ เพื่อนชาวม.น อีกคนก็มา พร้อมกับ บอย เพื่อนใหม่ ที่พวกกุ
พึ่งจะรู้จักกัน ในครกส้มตำ เอ้ย! ในร้านส้มตำยกครก
วันนี้ กุเผลอทำทุเรศ น่าอายสัด กุทำแก้วเป๊บซี่ตก น้ำแข็ง กะเป๊บซี่
ร่วงเต็มจาน ขายหน้าชิบหาย แต่ไม่เป็นไร ยางอาย
แถวบ้านกุขาดตลาด กุเรยไม่ค่อยอายเท่าไหร่ หิหิ
พอพวกกุ อดอยากปากมัน และ อิ่มจังตังค์อยู่ครบกันแล้ว
พวกกุก็ขอตัวกลับเข้าเมือง กัน ประทับใจชิบหาย
มากับเพื่อนๆอย่างนี้ ทำให้กุลืมเรื่องบางเรื่องที่ไม่ค่อยอยากจะนึกถึง
ได้บ้าง แต่พอกุกลับบ้าน อะไรๆก็เหมือนเดิม
เมื่อกุกลับถึงบ้าน ก็เตรียมตัวไปท็อปแลนด์ เพราะกุมีจ๊อบงานแต่ง
(ใจก็หวังอ่อยเหยื่อ) หิหิ แต่คงทำแร่ดไปงั้นแหละ
ตอนนี้กุกลัวผู้ชาย ไม่รู้เป็นเหี้ยไร กลัวผู้ชาย
ให้กุบอกว่าไอ่ห่านี่ หล่อว่ะ กุทำได้ แต่ถ้าให้คบ กุไม่คบ กุกลัว
เออ ช่างแม่ง เด๊วไม่เข้า คอนเซ็ปต์ ส้มตำยกครก ไม่อยากเจิ่นไปเรื่องอื่น
ภาษาเหนือวันละคำวันนี้ กึ๊ดเติง แปลว่า คิดถึง
แต่งประโยค น่องบลิวบ่หันกั๋นเมินเลยเนาะ อยู่ปุ้นกึ๊ดเติงบ้านพ่องก่อ
แปลอีกทีว่ะ น้องบลิวไม่เห็นกันนานเลยเนาะ อยู่ทางโน้น คิดถึงบ้านบ้างไม๊จ๊ะ
บ๊าย...บาย
นู๋บลิว เซเลอร์มูน ก๋ากั่น
ป.ล ขอบใจเพื่อนโจ้ ณ ม.น ที่มาทีหลัง แต่โดนกุใช้ให้เติมเป๊บซี่ให้
ขอบใจเพื่อนๆม.น ที่เลี้ยงส้มตำยกครก!
ขอบใจเพื่อนเชษฐ์ที่สั่ง "ตำโล่งโจ้ง"
ทำให้พวกกุรู้ว่า มันโล่งโจ้ง ซะจริงๆ
ขอบใจตัวกุด้วย ที่จริงๆแล้วไม่อยากไป ม.น แต่นึกครึ้มเสือกอยากไป ซะงั้น!

วันศุกร์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2547

ฤๅกุจะไร้สาระ!


ไม่มีไรหรอกว่ะ กุแค่อยากให้รู้ว่า เวลาที่กุกำลังเรียนๆอยู่ แล้วกุชอบทำไรเท่านั้นเอง
กุโรคจิตไรมะรู้ ที่กุชอบขีดๆเขียนๆ ในสมุดเล่นๆ ไปงั้นๆ เพื่ออะไร?
กุก็ตอบไม่ได้ แต่กุไม่ได้เขียนในเรื่องมีสาระหรือวาดรูปเหี้ยไรหรอก
(เพราะกุไม่มีหัวเรื่องศิลป์) แต่ว่า ... กุชอบเขียนกลอน แร้วกลอนเหี้ยนี่
กุก็เขียนแม่งอยู่กลอนเดียว บางครั้งเขียนหลายๆกลอน แต่ทุกวิชา
แม่งก็กลอนซ้ำๆกันอยู่นั่น ไม่รู้เป็นห่าไร ทำไมกุไม่นึกถึงกลอนอันอื่น
หรือกลอนที่กุแต่งเอง อาจจะเป็นเพราะกลอนนี้ มันโดนใจกุมั้ง แร้วกุก็เสือกจำได้
กุเรยเขียนแม่ง ด้วยความไม่มีไรทำ กลอนที่กุชอบเขียนแก้ง่วง ก็เช่น
ว่างๆก็นั่งเขียน เพี้ยนๆก็นั่งฝัน
หัวเราะได้ทั้งวัน สนุกมันทุกเวลา
เหงาๆก็เศร้าหน่อย แต่ไม่บ่อยนักหรอกหนา
เสียดายหยดน้ำตา กว่าจะหามาได้ก็แทบตาย
กลุ้มๆทุบขมับ ตั้งท่าหลับเดี๋ยวก็หาย
หลับแล้วค่อยสบาย เรื่องมากมายเหมือนไม่มี
สักวารักอื่นให้ชื่นหวาน
แต่ใจเราร้าวรานเป็นไฉน
ก็รู้อยู่ว่าเขาเป็นของใคร
แต่ฝืนใจตัวเรามิได้เอย
เป็นต้น
ไอ่กลอนที่ 2 นี่ ไม่ใช่ตัวกุ เพราะกุไม่เคยอยากแด่กแฟนใคร
แต่ไม่รู้เพราะห่าไรเหมือนกัน กุหาข้อสรุปให้ตัวเองไม่ได้
ทำไมกุต้องเขียนกลอน (กุไม่ได้แต่งเองหรอก)
แต่กุชอบขีดๆเขียนๆ กุชอบเขียนแต่กุไม่ชอบบันทึก
กุชอบเขียนบรรยาย หรือเขียนจดหมาย กุช๊อบ...ชอบ
ใครจะรู้ว่าผู้หญิงอย่างกุเนี่ย จะหวานกะเค้าเป็นเหมือนกัลล์
เพราะถ้าให้กุยืนอยู่เฉยๆ หน้าตาไม่ต้องยิ้มแย้มหรือพูดอะไร
หน้าตากุจะน่าตบมาก! ฮ่าๆ เพราะหน้ากุมันร้ายจนน่าหมั่นไส้
ใครจะรู้ว่าใจกุมันละเอียด หุๆ กุไม่บอกใครหรอก กุไม่คอ่ยได้บอกใคร
เอ้า...วกกลับมาเรื่องกลอน ไม่ว่ากุจะเบื่อหรือกุจะหงุดหงิดจากการเรียนในวิชา
กุมักหาทางออกสำหรับตัวเอง คือกุจะเขียนกลอนเหี้ยนี่ ซ้ำๆซากๆ
เขียนไปนั่งแต่งลายมือตัวเองไป อ่านออกบ้าง อ่านไม่ออกบ้าง ตามประสา
หลายครั้งที่กุเขียนเนื้อเพลงที่กุร้องได้ (แต่ไม่จบ) กุน่าจะทำอะไรที่เป็นสาระมากกว่านี้
แต่กุก็ไม่รู้ว่าเมื่อกุเบื่อ กุจะทำอะไรเวลาที่กุดูอาจารย์ปิ้งแผ่นใส
ไปมากกว่าการที่กุเขียนกลอน ซ้ำๆซากๆนี่ไปวันๆ
กุอยากมีอะไรใหม่ๆบ้าง แต่กุหาแล้วมันก็ไม่มี ไปกว่าการขีดๆเขียนๆใส่สมุด
ไปแบบนี้ ไม่ว่าจะนึกห่าไรได้ กุก็จะเขียนๆๆๆ แต่มันไม่ใช่สาระ
ซักเท่าไหร่ บางทีกุครึ้มๆ กุก็จะเขียนชื่อกุ เต็มหน้ากระดาษ
เพื่อนกุเห็นแม่งก็จะบอกว่า เห้ยมึงทำเหี้ยไรเนี่ย
พ่อมึงรวยเหรอ ทำสมุดขายรึไง แม่มึงคงเยี่ยวเป็นน้ำหมึกล่ะสิ
(กุไม่อยากจะบอกเลยว่าความจริงกุคิดเอง แต่เอาเพื่อนมาอ้าง
แต่ที่มันถามกุว่ากุทำไรน่ะ มันพุดจริงๆนะ อิอิ)
เออ กุก็ไม่รู้ แต่กุโรคจิต กุชอบเขียน เขียนเหี้ยไรก็ได้ ที่กุนึกออก
เพราะกุเบื่อ กุง่วงนอน กุเซ็ง วิชาเหี้ยไร กุก็เซ็งแม่งหมดแหละ
ระบายห่าไรไม่ได้ กุก็ระบายทางปากกากับสมุดเนี่ยแหละ
พูดถึงเรื่องเรียนแม่ง กุพาลนึกไปถึง คำขวัญของนายก
ที่เคยบอกไว้ว่า เรียนให้สนุก เล่นให้มีความรู้ ว่ะ
กุอยากให้อาจารย์มีไรให้กุเล่นบ้าง ดีกว่ากุมานั่งเก้าอี้ 4 ชั่วโมง
จนรากงอกติดเก้าอี้แล้วอ่ะ กุเบื่อ การปิ้งแผ่นใส กุเบื่อทุกอย่างที่มันเป็นตัวหนังสือ
กุอยากทำกิจกรรม เห้ย กิจกรรมนะ ไม่ใช่ กิจกาม เออ
กิจกรรมอ่ะ กุชอบ มันสนุกดี ไม่ให้กุเครียด แล้วก็ง่วงนอน
ถ้ากุได้เป็นครูเมื่อไหร่ กุจะให้เด็กของกุเรียนแบบมีกิจกรรม
จะได้ไม่เครียด กุเบื่อว่ะ ไม่สวย แร้วก็ยังสอนน่าเบื่ออีก เชอะ!
(แร้วขี้กลากก็จะขึ้นหัวกุ)
บาปชิบหาย
ภาษาเหนือวันละคำวันนี้ ผ่อ แปลว่า ดู , มอง , เบิ่ง ,แหกตาเบิ่ง
แต่งประโยค วันนี้มีลิเกมาแถวบ้านเฮา เฮาไปผ่อกั๋นก่อ เดียวฮาย่ะเอาสาดไปปู๋โตย
แปลอีกทีว่ะ วันนี้มีลิเกมาแสดงแถวบ้านเรา เราไปดูกันมะ เด๊วกุเอาเสื่อไปปูด้วย
บ๊าย...บาย
นู๋บลิว เซเลอร์มูน ก๋ากั่น

ความแตกต่าง

วันนี้ กุรับจ๊อบเป็นเด็กเสิร์ฟงานแต่งงานที่โรงแรม มันก็ไม่ใช่ครั้งแรกอะไรของกุหรอก
ที่กุทำจ๊อบนี้ แต่ว่า ... สิ่งที่กุได้เห็นบ่อยๆ จนเป็นเรื่องชินตาก็คือ
สังคมใหญ่ๆ ไฮโซโก้เก๋ ห่าหอกไรนี่ ต่างหาก ทุกๆครั้งที่กุ
ได้สัมผัสกับพวกนี้ กุรู้สึกว่าคนพวกนี้อยู่สูงและห่างไกลจากตัวกุเป็นอย่างมาก
กุพยายามหลายๆครั้งแล้วว่า มึงอย่าคิดมากนะ เค้าก็แค่เป็นแขกของงานนี้
มึงอย่าไปคิดไกลว่า อนาคตของมึงต้องมาร่วมอยู่ในวงสังคมนี้นะ
กุเฝ้าบอกกับตัวเองตลอดเวลา ความจริงมันไม่ใช่กงการสร้นตรีนไรของกุหรอก
แต่กุเห็นว่าเค้าชอบใส่หน้ากากเข้าหากัน บางคนในชีวิตจริง
แม่งก็ต้องกูหนี้ยืมสินเค้ามา แต่ในงานชั้นก็ต้องสวย ต้องเริ่ดไว้
มันก็ไม่ได้มีแค่งานแต่งงานไรหรอก แต่เท่าที่กุได้มาสัมผัส
มันเป็นงานแต่งงาน แล้วกุก็คิดกับตัวเองว่า เห้ยบลิว
มึงจะไปเสือกเรื่องห่าไรของเค้า เค้าจะเป็นเหี้ยไรก็ช่างเค้าดิ่
เออใช่ เค้าจะเป็นยังไง หรือทำตัวยังไงไม่ได้เกี่ยวกับกุ
เพียงแต่กุโรคจิต กุทนไม่ได้กับพฤติกรรมแบบนี้ กุจะเลี่ยงกุก็เลี่ยงไม่ได้
อีกอย่างสิ่งที่กุอยากเลี่ยงที่สุดคือตอนที่กุต้องเสิร์ฟเหล้า
กุไม่อยากเสิร์ฟเหล้า ใครจะว่ากุกระแดะก็ช่างแม่ง กุไม่อยากสัมผัสกับมัน
มะใช่กุไม่เคยจะแด่กเหล้านะ แต่ว่า ... กุมี
ความรู้สึกผิดไงมะรู้ที่ต้องเสิร์ฟเหล้า เออ กุมันโรคจิตจริงๆด้วย
พวกแด่กเหล้าแม่งก็ห่ากัน ชอบแทะโลมกุด้วยคำพูดบ้าง
สายตาสัดๆ บ้าง แล้วแต่ว่า มันจะมีสันดานแบบไหน
แหม...เห็นพวกกุเป็นนักศึกษาหน่อยไม่ได้ ไส้เดือนบนหัวนี่แม่งดอกทองขึ้นมาเชียว
กุก็คิดว่า เออช่างแม่งมัน ถือว่าทำบุญทำทานไป แต่อย่ามาแต๊ะอั๋งกุแร้วกัลล์
ไม่งั้นกุเอาถาดฟาดหน้าแหก! แน่ๆ สิ่งที่กุรู้สึกสะท้อนใจกุทุกครั้งเลยก็คือ
กับข้าว อาหารต่างๆ ที่เหลือๆ แล้วเค้าก็ต้องเก็บทิ้งกันไป ทุกๆงาน
กุจะคอยนึกถึงเด็กๆตาดำๆ ที่ไม่มีจะกิน กุคิดว่าอาหารพวกนี้
ที่ถือว่าเป็นสิ่งที่จะต้องทิ้ง ถ้าเอามาให้เด็กๆที่ไม่มีอะไรจะกินได้กิน
กุว่าพวกเด็กๆคงจะต้องดีใจแล้วก็คิดว่าอาหารที่พวกเค้ากินนั้น
เป็นสิ่งโอชะ เป็นแน่ ขนมเค้กเหลือบานเบอะไม่มีคนแตะเลยนั้น
ถ้าเราเอาไปให้พวกเด็กๆล่ะ พวกเค้าคงจะกระโดดโลดเต้น ดีใจ
ปลื้มใจ โคตรๆเลยว่ะ กุนึกแล้วกุก็สะท้อนใจจริงๆว่ะ
กุอยากมีเงินซักก้อนนึง กุอยากให้เด็กพวกนี้ ได้เรียนหนังสือ
ได้มีขนมอร่อยๆกิน กุอยากให้พวกเค้ามีเสื้อผ้าได้ใส่ มีที่ให้นอน มีเพื่อน
ที่กุเคยเห็นครั้งล่าสุดเวลากุไปออกกำลังกายที่สวนชมน่านกุจะเห็น
ผู้ชายคนนึงไม่ใส่เสื้อ กางเกงแม่งก็เอ๊ว ต๊ำ...ต่ำ กุเห็นแร้วหวิวๆ
ลุ้นอยู่ในใจ หลุด หรือ ไม่หลุด เอ๊ะ! รึจะหลุด เอ๊ะ! รึจะไม่หลุด
ถ้าเป็นคนธรรมดาเค้าคงจะรู้สึกแล้วก็คงจะดึงกางเกงขึ้นมา
แต่นี่คงไม่ใช่เค้าคงเป็นผู้ชายคนนึงที่สติไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่
กุเห็นคนอื่นหัวเราะเค้า กุสำหรับกุ กุไม่ได้หัวเราะเค้า
มันไม่ใช่สันดานของกุ ที่เค้าเป็น ใช่ว่าเค้าอยากเป็น บางครั้งกุเห็นว่า
เค้านอนกับพื้น นอนขดตัว ด้วยความหนาวเหน็บ แล้วกุจะเข้าไปช่วยเค้ายังไง?
กุทำไม่ได้ กุได้แต่คิดว่า สังคมที่กุเคยเห็น กับผุ้ชายคนนี้ มันแตกต่าง
กันโดยสิ้นเชิง มันคือความเหลื่อมล้ำในสังคมที่ใครๆก็เห็นกันจนชินตา
คนบางคนเห็นก็คิดว่า เห้ย ไอ้บ้า! แต่สำหรับกุ กุว่าเค้าไม่ใช่คนบ้า
เค้าคือคนที่ไม่ปกติ เค้าขาดในสิ่งที่เรามี เค้าต้องการในสิ่งที่พวกเรามี
และเราก็ไม่เคยคิดถึงคุณค่าของมัน เค้าต้องการเพียงแต่อาหารให้อิ่มท้อง
เค้าต้องการเพียงแค่ที่นอนอุ่นๆ เค้าต้องการเพียงแค่มีเสื้อผ้าใส่ แล้วเค้ามีอะไร
มีแต่ตัว และกางเกงตัวเดียว กุไม่รู้ว่าเค้าเดินไปไหน บางครั้งกุจะไปเรียนที่ทะเลแก้ว
กุเห็นเค้าเดินผ่านไป กุก็แปลกใจว่า เอ๊ะ...เค้าเดินมาไกล
ขนาดนี้เชียวเหรอวะ แล้วเค้าจะไปไหนวะ พอตกเย็น กุไปออกกำลังกายสวน
ชมน่าน แม่งกุก็เห็นเค้าเดินผ่านมาอีก เค้าไม่ได้ต้องการรถเก๋ง
เค้าไม่ได้ต้องการเงินทอง เค้าไม่ได้ต้องการบ้านหลังใหญ่โต
เค้าต้องการเพียงแค่สิ่งที่กุบอกไปแล้ว แค่นั้นเอง กุก็ไม่เข้าใจว่ะ
ว่ากุน่ะไปเสือกเรื่องห่าไรของเค้า แค่กุอยากระบายก็เท่านั้น
มันเป็นสิ่งที่กุคิดมาตลอด กุอยากทำเพื่อสังคมเน่าๆนี้บ้าง
ไม่ใช่แค่วัยรุ่นต้องแด่กเหล้า เมายา เคล้านารี กันเหมือนปัจจุบัน
กุไม่อยากเป็นวัยรุ่นดอกทองพวกนั้น กุเกิดมากุอยากทำเพื่อสังคมที่มันเริ่มวิบัตินี้
กุอยากช่วยเด็ก กุอยากทำเพื่อใครซักคนที่เพียงแค่เห็นอาหาร
หรือมีที่หลับนอนอุ่นๆ แล้วเค้าก็ยิ้มเพราะความดีใจ เท่านี้แหละ แค่เท่านี้
แค่รอยยิ้มเล็กๆของคนพวกนี้ จะทำให้กุมีความสุข ทำให้กุรู้สึกชื่นใจ ที่กุเห็นเค้ามีความสุข
เงินทองคือตัวกำหนดคุณค่าของคนงั้นเหรอวะ มันคือความเหลื่อมล้ำทางสังคมโว้ย
เหี้ยเอ้ย กุอยากมีเงินนนนนนนนนนนน
ภาษาเหนือวันละคำวันนี้เสนอคำว่า เมิน แปลว่า นาน , ช้า
แต่งประโยค ว่าจ๊ะใดปี้หนานยะหยังอยู่ตี้ไหน บ่ได้ป๊ะกั๋นเป๋นเมินเนาะ กึ๊ดเติงขนาด
แปลอีกทีว่ะ ว่ายังไงพี่ทิดทำไรอยู่ที่ไหน ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ คิดถึงโคตรๆเพ่!
บ๊าย...บาย
นู๋บลิว เซเลอร์มูน ก๋ากั่น

วันจันทร์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2547

"หมอเจ็บ"

กุไปบริจาคเลือดมาตั้งแต่วันที่ 4 มั้ง ถ้ากุจำไม่ผิด
หรือว่า วันที่ห่าไรมะรู้นะ กุขี้เกียจรื้อฟื้นแระ
แต่เอาเป็นว่ามันก็นานเหี้ยๆแล้วล่ะ
ก่อนกุจะเข้าไปกุเกิดอาการนิดๆ เพราะกุเห็นหมอผู้ชายเว้ย
ปกติ กุมะค่อยเห็นหมอผู้ชายจะมาเจาะเลือดซะเท่าไหร่
ครั้งนี้เป็นครังที่ 2 ที่กุจะได้มาบริจาค กุไม่แน่ใจว่า
ตัวกุ จะเลือดลอยรึป่าว ช่างแม่ง กุคิดงี๊
กุภาวนาขอให้กุได้บริจาคเถอะว้อย เพี้ยงๆๆ และแล้วเลือดกุจม!
กุสามารถ i can do กุทำได้ มีพี่คนนึงเค้าบอกกุว่า
หมอสุดหล่อคนเนี๊ยะ มือเบาสาด เออนะ กุก็ไม่หวั่น
กุคิดว่าจะเป็นเหมือนที่พี่แกบอก ห่าเอ้ย
หมอแม่งเจาะเลือดเจ็บสัด กุก็เออนะ คิดว่า เห้ย ยาชายังไม่ออกฤทธิ์มั้ง
จนเลือดกุเต็มสุดตีนแร้ว หมอก็จะเอาเข็มออกจากแขนกุ
ปรากฏว่า เหี้ยๆๆ เจ็บโคตร ทำไมวะ กุไม่เข้าใจ กุก็คิดว่า
เออ มันคงเป็นงี๊เองแหละ หมอคงไม่ได้ตั้งใจ
แต่พวกมึงรู้ไม๊ กุกลับมาบ้าน พอตกกลางคืนกุจะเอาพลาสเตอร์ที่แปะรอยออก
ชิบหายแล้ว รอยแดงเป็นจ้ำๆ เหมือนเลือดมันแตกกระจาย
ยังกะปานแน่ะ แล้วเป็นรอยน่าเกลียดน่ากลัวชิบหายว่ะ
กุบริจาคเลือดครั้งแรก กุยังไม่เป็นแบบนี้เลย กุตกใจมาก เช้ามา
เพื่อนๆกุก็ถามว่า เห้ย แขนมึงไปโดนเหี้ย
ไรมาวะ กุก็เล่าให้มันฟัง กุก็พูดติดตลกไปเหมือนกุไม่
ซีเรียสกับรอย ทั้งๆที่ใจกุแม่ง เคืองหมอห่านั่นมาก
กุก็บอกเพื่อนกุว่า แม่งเจ็บใจว่ะ ถ้ากุไม่ติดว่าหมอแม่งหล่อนะ
กุด่าไปแร้วววว เหอะๆ จนป่านนี้ อิรอยเหี้ยนี่ยังไม่หายไปจากชีวิตกุเลย
ผลบุญกุ กุว่าตอนนี้เหลือแต่บาปว่ะ ใจกุแม่งเคียดแค้นหมอสุดหล่อนั่นมาก
ห่าเอ้ย ใช้หน้าตาเป็นอาวุธกรีดกุอย่างเลือดเย็น
หมอมันจะรู้ไม๊ ว่าคนที่มันเจาะเลือดวันนั้น ยังอาฆาตมันอยู่
แต่ช่างแม่งเหอะ รอยมันก็เริ่มจาหายไปเป็นบางส่วน
แต่ก็เสือกเหลือรอยเหี้ยนี่ไว้ให้กุดูต่างหน้าซะนานโคตร
กุอยากให้มันหายไปเร็วๆ เพราะมันเหมือนปาน หรือว่า
กุโดนใครเค้าซ้อม ถ้าใครไม่รู้จักกุ มันอาจจะคิดว่ากุโดนผัวซ้อมก็เป็นได้
เพราะลักษณะเหมือนชิบหาย กุแม่งเคยเห็นในทีวี ที่มันแต่งหน้า
เขียวๆม่วงๆ ช้ำๆ เลยละ ช่างแม่งเหอะ หายเมื่อไหร่
กุจะโพสเล่าอีกที
ความจริงกุอยากตั้งชื่อเรื่องว่า หมอ (กุ) เจ็บ มากกว่านะนี่ อิอิ
ภาษาเหนือวันละคำวันนี้ คำว่า มะเก่า อ่านว่า มะ - เก่า
มะเก่า แปลว่า โบราณ คร่ำครึ ประมาณว่า แนวๆ พีเรียด ไรเงี๊ยะว่ะ
แต่งประโยค ฮาย่ะซื่อบ้านหลังนี้ล่ะวะ ฮาว่ามันมะเก่าดี คิงว่าจะได
แปลอีกทีว่ะ กุจะซื้อบ้านหลังนี้แหละว่ะ กุว่ามันดูเก่า โบราณดี มึงว่าไงวะ
บ๊าย...บาย
นู๋บลิว เซเลอร์มูน ก๋ากั่น

วันอาทิตย์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2547

เทคโนโลยี กับความโง่ของกุ

ตั้งแต่กุเข้ามาเขียน blog ของกุ กุใช้ห่าไรไม่เป็นเลยซักอย่าง กุเห็นของพวกพี่ๆเค้า แม่งเก่งสัด แต่กุก็ไม่รู้ว่า ทำไมของกุมันห่วยขนาดนี้ แต่ไม่เป็นไร กุถือว่า นี่คือส้วมของกุ กุจะทำไงของมันก็ได้ กุไม่เคยคิดอยากเรียนรู้เหี้ยไรเลย กับพวกเทคโนโลยีห่าๆเนี่ย กุใช้คอม เพื่อพิมพ์งาน กุเล่นเน็ทเพื่อแช็ทกับเพื่อน อ่านกระทู้ด่าดารา หรือไม่ก็พวกข่าว หรือไม่ก็อ่านบทความ แต่กุไม่เคยเลยที่จะใช้ความคิดสร้างสรรค์ในตัวกุให้มีประโยชน์ แต่พอกุได้มาเห็นของพวกพี่ๆที่เค้าเขียน เค้าทำของเค้าได้เจ๋งมากๆ ซึ่งกุไม่ได้คิดจะเลียนแบบอะไรเค้าหรอก เพียงแต่ว่า กุก็อยากมีของกุบ้าง ที่กุใช้หัวขี้เลื่อยๆ ของกุคิดเอง กุมันมีแต่หัวคิด แต่กุแสดงออกไม่ได้ กุอยากวาดรูปการ์ตูน กุอยากสื่ออารมณ์ของกุในบางครั้งออกมาเป็นภาพ เป็นสิ่งที่กุอยากสื่อ อยากแสดง แต่กุแม่งก็ทำห่าไรไม่ได้ เพราะกุไม่ได้สนใจว่า เทคโนโลยี มันเป็นยังไง แต่กุก็หวัง หวังว่าซักวัน กุจะสนใจขึ้นมาบ้าง ซึ่งตอนนี้ หัวกุก็เริ่มคันๆ ไม่ได้เป็นรังแคหรอกว่ะ กุคันในรอยหยักเว้ย กุกะลังมีความคิด กุอยากแสดงออกด้านความคิด ให้มันเป็นประโยชน์มากกว่าที่กุเป็นในตอนนี้ อย่างเวลากุเข้ามาสมัคร blog กุก็เข้ามางั้นๆ กุมั่วๆเข้ามา แล้วแม่งกุก็ได้เข้ามานั่งขี้ในนี้ พวกมึงรู้ไม๊ กุแม่งโคตรดีใจว่ะ เพราะกุไม่คิดว่า กุจะทำได้ สำหรับ สมองอันน้อยนิดของกุ ใช่ดิ่ พวกมึงอาจจะคิดว่า ไรวะ แค่สมัครแค่เนี๊ยะ ง่ายจะตายห่า เห้ย แต่กุไม่นะ กุว่ามันยากสำหรับกุ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า "ผู้ไม่รู้ย่อมไม่ผิด" ใช่กุไม่ผิด แต่กุเรียนรู้ได้ แต่กุเสือกเบื่อ และ เซ็ง กุไม่ถนัดด้านนี้ แต่อย่างที่กุบอกพวกมึงแหละ กุมีความคิดมากมายก่ายกอง แต่กุเอาออกมาใช้ไม่เป็น กุเกลียดศิลปะ กุไม่ชอบ ซักวันเหอะมึง กุจะทำ blog ของกุสวยๆ น่ารักๆ
เชอะ! กุต้องทำได้ i can do กุทำได้ แน่นอนอิอิ แต่ตอนนี้ กุทำไม่ได้ กุยังไม่ทำ ช่างแม่ง ใครจะว่าไงก็ช่างแม่ง blog ของกุ ใครว่ากุเชยก็ช่างแม่ง เสือกเข้ามาอ่านของกุทำไม อิอิ หลอกด่าซะงั้น
เอาล่ะ นี่ไม่ใช่การแก้ตัวของกุ เพียงแต่เผื่อว่าพวกมึงอยากถามกุว่า ทำไมของกุกระจอกสัดๆ พวกมึงจะได้เข้ามาอ่านเอง กุขี้เกียจตอบ กุเบื่อ

ภาษาเหนือวันละคำวันนี้

ขะยม อ่านว่า ขะ - ยม

ขะยม แปลว่า เด็กวัด

แต่งประโยค

วันนี่มีญาติโยมเอาของมาฮื่อตี้วัดจ๊าดนักเนาะ ไผกะได้ ไปฮ้องขะยมมาเก๊บของกำดุ๊

แปลอีกทีว่ะ

วันนี้มีญาติโยมเอาของมาถวายที่วัดเยอะมากใครก็ได้ ไปเรียกเด็กวัดมาเก็บของหน่อยซิ

บ๊าย...บาย
นู๋บลิว เซเลอร์มูน ก๋ากั่น

บ่น

แจ๋วมาก สำหรับที่ขี้ของกุ กุเคยอยากได้ที่ขี้ มานานแระ ตอนนี้กุก็ได้แระ ดีใจม๊าก ขอบคุณเพื่อนกุที่เอาเว็บนี้มาให้
เข้าเรื่องดีกว่า เด๊วติดลม
ตั้งแต่กุซ้อมเชียร์เด็กปี 1 มาเนี่ย ขากุดำสัด เพราะอะไร อยากรู้ใช่ไม๊ ... เพราะว่า เอกที่กุเรียนน่ะ
เค้าให้ใส่เครื่องแบบ ถูกระเบียบเป๊ะ ยาวไม่ได้ สั้นมากไม่ได้ เวลากุขึ้นซ้อมเชียร์รุ่นน้อง ขากุเรยดำ กุอยากจะบอกไอ่คนที่มันเสือกกำหนดเครื่องแบบของนักศึกษาที่ถูกระเบียบว่า มึงไม่ลองมาใส่เองล่ะ มึงจะได้รู้ว่า สิ่งที่พวกกุเป็นในตอนเนี๊ยะ มันลำบากแค่ไหน เสื้อต้องตัวโคร่งๆ กระโปรงต้องทรงเอ รองเท้าแม่งก็ต้องแบบคัชชู กุถามหน่อยเหอะ เวลาที่จะต้องเดินไปไหนต่อไหนเนี่ย รองเท้าคัชชูนี่มันโหดมากเลยนะสำหรับพวกกุ มึงไม่ลองมาเดินเองล่ะวะ มึงจะได้รู้ กุอยากจะบอกว่า กุลำบากเหี้ยๆ กุเจ็บตีน ตอนกุอยู่ปี 2 ใหม่ๆ กุปวดฉี่แค่ไหน กุต้องใส่รองเท้าคัชชูวิ่ง แล้วมึงรู้ไม๊ กุทนไม่ไหว มันเจ็บตีน + กับอาการที่กุปวดฉี่ (เรียกให้ดูดีหน่อยก็ "เก็บดอกไม้") กุเลยต้องรีบถอดคัชชูออกแล้วก็ถือเอา ขากุก็รีบจ้ำอ้าว เจ็บตรีนแบบถอดรองเท้านี่ยังดีกว่า ใส่แร้ว มันกัดว่ะ และ ยังดีกว่ากุเยี่ยวราด - -" อากาศเมืองไทยเนี่ย มึงรู้ไม๊ว่ามันร้อนแค่ไหน แล้วมึงก็ยังเสือกบอกว่า ต้องใส่กระโปรงทรงเอ แล้วเวลาขี่รถล่ะ กุต้องโดนแดดสร้นตรีนนี่ แผดเผาน่องกุ จนดำ ตอนนี้ ขากุ ท่อนล่างจากน่องลงไป ดำ ส่วนข้างบน (อย่าคิดทะลึ่งกุไม่ได้หมายถึงช่วงใกล้สะดือ) มันขาวกว่า กุเลยตั้งชื่อให้ขาของกุว่า ขาทูโทน เพราะทำให้กุนึกถึง กุลิโกะทูโทน ที่กุชอบกิน ทำไมมันไม่ออกแบบว่า ให้ใส่กระโปรงยาวได้ เพราะเห็นใจที่อากาศเมืองไทยมันเผาขาของลูกศิษย์ได้ ไรเงี๊ยะ เออนะกุเซ็งเวลาที่สิ่งที่เป็นความจริง ที่ตรงกับเหตุการณ์ปัจจุบันของเมืองไทย แม่งก็ไม่แหกตาดู ก่อนจะออกกฎบ้าบอไรเนี่ยมา แต่แม่งเวลาห่าไรที่เห่อกันนะ แม่งก็ว่าดูดี ดูอย่างพวกเด็กดอกที่เข้าโรงเรียนนานาชาติห่าไรน่ะ ใส่ชุดเด็กญี่ปุ่น อุ๊ย ...น่าร๊ากก เลียนแบบเค้าเข้าไป มึงไม่คิดถึงอากาศเมืองไทยกันบ้าง ว่า มึงเสร่อเลียนแบบเด็กญี่ปุ่นน่ะ ขามึงจะดำกันไม๊ แต่งกันเข้าไป ลองมองดูสภาวะของบ้านเมืองเรากันบ้างเห้อะ มัวแต่เอาปัญญาไปคิดเรื่องไรกันก็ไม่รู้ กุล่ะเซ็ง
เออแม่งเห้อะ กุอยากโพสรูปว่ะ เค้าทำยังไงกันวะ มันเป็นแต่ภาษาอังกฤษ กุแม่งโคตรเก่ง กะอีแค่กุเข้ามาสมัคร blog เนี่ย กุก็ว่ากุเก่งสาดๆ แล้ว กุอยากโพส รูปเซเลอร์มูน ของกุจัง เด๊วจะขาดฉายากุว่า
นู๋บลิว เซเลอร์มูน ก๋ากั่น อิอิ
เห้ยขอบใจว่ะ ที่เข้ามาอ่าน ถึงแม้ไม่มีใครอ่าน กุก็จะขอบใจตัวกุเองที่ เสือกเข้ามาโพส แล้วก็อ่านของตัวเอง หะหะ กุคิดไว้แล้ว ว่า blog ของกุ จะต้องมี ภาษาเหนือ วันละคำ หรือวันละหลายๆคำ แล้วแต่อารมณ์ของกุ เพราะกุคนเหนือ

ภาษาเหนือวันละคำวันนี้

"ก้าย" อ่านว่า ก้าย
ก้าย หมายถึง เบื่อ , เซ็ง , รำคาญ

แต่งประโยค บะอยากผ่อแล่ว ซีดีน้องแน็ทนี่ กุก้ายแล่ว ผ่อมาเมินแล่วกะมีแต่นมยานๆ
แปลอีกทีว่ะ ไม่อยากดูแล้ว ซีดีน้องแน็ทเนี่ย กุเบื่อแล้ว ดูมาตั้งนานแล้วก็มีแต่นมยานๆ

บ๊าย...บาย
นู๋บลิว เซเลอร์มูน ก๋ากั่น


วันเสาร์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2547

ทำไมต้องรัก

โอ้ว... วันนี้ มี blog ครั้งแรกเว้ย แม่งสะใจสัด ปัญหาที่หนักหัวเหี้ยๆ ในตอนนี้คือ เรื่องความรัก ทำไมวะ ไม่ว่ากุจะทำเหี้ยไร ทำไมจะต้อง คิดๆๆ เรื่องเหี้ยๆนี่ด้วย ไม่เข้าใจเหมือนกันเมื่อก่อน โอ๊ย... อะไรก็หอมหวาน โลกงี๊ สีชมรู เอ้ย! สีชมพู แต่ในตอนนี้ จะทำห่าไรก็คิดๆๆๆ ซักผ้ากุกะคิด ไปเรียน กุกะคิด จะหลับกุกะคิด ทำไมวะ เอาความร่าเริงแจ่มใส กุคืนมาเรยนะ ใครก็ได้ช่วยกุด้วย กลุ้มใจห่าๆ ใช่ซี่ เมื่อก่อนนี้ กุร่าเริงแจ่มใส
กุไม่ค่อยได้ยุ่งวุ่นวายกะชีวิตใครนี่หว่า แต่ว่า...กุก็ต้องการพ่อของลูกกุให้มันดูดี มีชาติตระกูลกะเค้าบ้าง
ไม่ใช่ว่าห่าไร แม่งก็บอกว่า มันเป็นเรื่องปกติของผู้ชาย เห้ย กุไม่เข้าใจว่ะ ทำไมผู้ชายแม่งต้องเที่ยว ต้องแดกเหล้า ต้องแดกเบียร์ ต้องดอกทอง มันต้องออกไปแร่ดกลางคืนกันด้วยวะ กุไม่เข้าใจ แร้วเสือกแม่ง บอกว่าเป็นเรื่องปกติของผู้ชาย กุถามหน่อยเหอะ แร้วทีพวกกุ ที่เป็นผู้หญิง แม่งเห้อะ ก็มาด่าพวกกุว่า โมรา กากี วันทอง ดอก! ไรเนี่ย พวกกุไม่มีสิทธิ์เป็นเรื่องปกติของผู้หญิงบ้างเหรอวะ แร้วที่พวกกุตามหึง ตามหวง น่ะ เพราะกุรักหรอก พอพวกกุไม่รัก แม่งก็ว่าพวกกุใจร้าย ทำไมผู้หญิงสมัยนี้มันเลวแบบนี้ อิสาดดดดดด
ก็พวกผู้ชาย สร้นตรีน อย่างพวกมึงนั่นแหละ ที่ทำร้ายใจพวกกุก่อน (แต่กุไม่ใช่เด็กเที่ยวนะกุแค่เล่าให้ฟัง)

ตัวอย่าง ...

Before :
ตัวผู้ : รักนะ ไม่เคยรักใครเท่านี้เลยจริงๆ
ต้วเมีย : ไม่จริงหรอก เด๊วพี่ก็ต้องได้เจอใครอีกเยอะแยะ
ตัวผู้ : ไม่หรอก ถ้าพี่รักใคร พี่ก็รักจริง พี่อยากมีครอบครัวที่อบอุ่น
ตัวเมีย : อืม คิดเหมือนกันเลย ถ้ามีความรัก ก็อยากจะมีครอบครัวที่อบอุ่นเหมือนกัน
ตัวผู้ : เป็นแฟนพี่ไม๊
ตัวเมีย : (เขิน สัด)
ต่อไปความรักก็สุกงอม

After :
ตัวเมีย : เมื่อก่อน บอกว่าไม่ได้ชอบเที่ยวนี่ แล้วทำไมอ่ะ ทำไมต้องทำให้หลงเชื่อด้วย
ตัวผู้ : คนเรามันเปลี่ยนแปลงกันได้ พี่ก็ไม่ได้เที่ยวทุกวันซักหน่อย
ตัวเมีย : ก็เออ ก็เป็นห่วงไง ในเมื่อผู้ชายก็อยากได้แม่ที่ดีของลูก แล้วทำไม ผู้หญิงจะไม่อยากได้ พ่อที่ดีของลูกบ้างล่ะ เป็นห่วงว่า ถ้าเกิดไปพลาด เมา แล้วพลาด ขึ้นมา ใครจะรับผิดชอบ ก็พูดได้สิว่า ผิดไปแล้ว อยากเลิกก็เลิก ใช่ดิ่ ก็ไม่เห็นคุณค่ากันแล้วนี่
ตัวผู้ : เออ ขี้เกียจเถียงว่ะ รำคาญ
ตัวเมีย : (เออใช่ดิ่ ก็กุมันเก่า)
ฯลฯ
เห้ย แม่ง กุไม่เข้าใจว่ะ ทำไมวะ คนที่รักใครรักจริงอย่างกุ ที่หวังว่า เออนะ เค้าคิดเหมือนกุ เมื่อก่อนกุคิดว่ะ
ว่า ผุ้ชายไม่หล่อ แม่งต้องไม่ทำให้กุเสียใจ ใช่กุคิดมาตลอด แม่งเห้อะ ... คิดผิดสาดดด ผู้ชายหล่อไม่หล่อ ก็เหมือนกันทุกคน กุลืมไปว่า มันคือตัวผู้ กุเสือกเอง ที่กุรักมากเกินไป แต่กุอยากจะบอกจริงๆ ไอ่ตัวผู้ทั้งหลายที่มันประสบความสำเร็จต่างๆนานา น่ะ เป็นเพราะมีเจ๊ดันโว้ย เจ๊ดัน ที่ว่า ก็คือ เมียมันนั่นแหละ เพราะผู้หญิงจะคิดการณ์ไกลกว่า เค้าเรียกว่า "Vision" ว้อย เข้าใจกันบ้าง ถ้าไม่รักกุ ก็บอกกุตรงๆ หรือแม่งมีใคร ก็บอกตรงๆ กุไม่อยากเป็นควาย กุไม่อยากเป็นคนโง่ แต่กุทำตัวเหมือนกุวิ่งตามเค้า ทำไมวะ
มีคนบอกว่า กำลังใจจากใครก็ไม่มีความหมายนอกจากกำลังใจที่เกิดจากตัวเราเอง เออว่ะ มันก็จริงนะ
หลายๆคนบอกว่า หน้าอย่างกุเนี่ย (กุก็ไม่ได้สวยห่าไรมากหรอก) ยังหาได้ดีกว่านี้ เออนะ อันนี้กุไม่วอร์รี่
แต่กุคิดว่า เออไม่หล่อก็ช่างแม่ง ขอให้มันเป็นคนดี อย่างที่เคยพูด หะหะ แร้วไงวะ ทำร้ายจิตใจกุซะงั้น แร้วให้กุคิดว่าไง? เออ อยากมีครอบครัวที่อบอุ่น แร้วไง ทำได้ยัง ทำไมวะ ทำไมกุต้องไปเอาใจ เค้า ทั้งๆที่ตัวกุเนี่ย อยากให้คนอื่นเค้าเอาใจจะตายไป วู้ เซ็งเว้ย กุอยากระบาย กุคงระบายได้แค่นี้ นอกนั้น กุเก็บไว้คิดเอง คิดหัวระเบิดแม่ง หะหะ อยากไปหาหมอโรคจิตว่ะ วู้ แพงไม๊วะ
ขอบคุณที่ทำให้กุได้บ่น กับตัวเอง ซึ่งจริงๆแล้ว กุมะค่อยได้คุยกะตัวเอง ซะเท่าไหร่ นอกจากการคิดกับตัวเอง ไม่ค่อยได้ระบายอะไรกับตัวเอง ส่วนใหญ่ กุชอบให้คนอื่นมาฟังกุขี้ พอกุขี้เสร็จ กุก็กลับมาเป็นเหมือนเดิม