วันอาทิตย์ที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

... อุแว้ อุแว้ ...

ย้อนหลังไปเมื่อ 26 ปี ก่อนพุทธกาล
อ๊ะ ไม่ใช่ !
26 ปี หลังจากปี 2552 นี้
เด็กน้อยตัวแดง อวบอ้วน หน้าเหี่ยว
ก็ได้ถือกำเนิดขึ้น
กุนี่แหละ 
พ่อเล่าว่า แม่ปวดท้องตั้งแต่วันที่ 16
ช่วงนั้นก็เป็นช่วงเปิดเทอมของโรงเรียนพอดี
เมื่อก่อน ไม่มีโรงพยาบาลแถวนั้น
พ่อก็ให้แม่นั่งซ้อนมอไซค์
อุ้มท้องโย้ ๆ ไปโรงพยาบาลอีกอำเภอหนึ่ง
( แม่งทรหดว่ะ )
แม่ปวดท้องร้อง โอ๊ย โอ๊ย ( ไม่ใช่เพลงนะ )
พ่อก็ไม่รู้จะทำไง เอ็ดแม่กุซะกุตกใจหมด
( แหม่ ได้ข่าวว่ามึงยังไม่คลอดมั้งอี่บลิว )
ตอนกุคลอด
พ่อกุรอหน้าห้องคลอดเมียงมองหาญาติพี่น้องก็ไม่มีซักคน
ก็จะให้มีได้ไง เพราะญาติพี่น้องทางพ่อ ก็อยู่แพร่
ญาติพี่น้องทางแม่ก็อยู่นครสวรรค์
พ่อแม่ทำงานพิษณุโลก
โอ๊ย แล้วแต่ก่อนทำอย่างกะว่าเดินทางง่ายนักแล
พ่อกุเลยแบบว่า แม่งใจแป้ว
น้ำตาลูกผู้ชายคลอเบ้าตา จะหลั่งรินออกมาก็มิกล้า
เสียเชิงชายอดีตนักมวยประจำหมู่บ้าน
จะมาทำอย่างงี้ม่ายด๊ายยยยยยย
และแล้ว กุก็ได้มีโอกาสเติบใหญ่
กุจำได้ครั้งหนึ่งว่าตอนกุอยู่แพร่
แล้วตรงกับวันเกิดกุ
พ่อกุซื้อเค้กมาให้เป็นเค้กแยมน่ากิ๊น น่ากิน
กุทนไม่ไหวแว้วววว น้ำลงน้ำลายไหลย้อย
อยากแดกเค้กแยมสุดฤทธิ์
วิงวอนฟ้าดิน " สาธู้ ขอให้ถึงเร็ว ๆ ไม่ได้เหยอค้า "
" วันนี้วันที่ 16 แล้ว ค่ำ เร็ว ๆ ไม่ได้เหรอค้า "
ตกดึกของวันที่ 16 กุตบะแตกอย่างสิ้นเชิง
บอกพ่อว่า ไม่ไหวแล้ว อยากกินเค้กอย่างมหาศาล
( กุนี่อยากแดกเว่อร์ อะ บ้ามาก )
พ่อ : " แล้วพรุ่งนี้จะเค้กไหนเป่า
" กุ : " ขอนิดเดียว ๆ "
พ่อจึงให้กุไปแบ่งเค้กมากินนิดนึง
เพราะสงสารลูกกุคิดว่าสงสารในทางสังเวช
ที่ลูกกุมันจะทนเหี้ยไรอีกนิดไม่ได้เชียวหรือ
ดังนั้น เมื่อถึงวันเกิดสภาพเค้กของกุ
จึงมีรอยแหว่งวิ่น หาใช่รอยจากคมมีดตัดแบ่งไม่
แต่นั่น คือรอยแหว่งจากการจกด้วยมือของกุเอง
ไม่เพียงแต่อุบาทว์ แต่ยังทุเรศได้ด้วยการแก้เผ็ดของพ่อกุ
พ่อกุอยากดัดสันดานลูก จึงนำข้าวเหนียวหนึ่งปั้น
( บ้านกุเรียกปั้นอะ หนึ่งกำมือปะ ?
ที่คนภาคอื่นเรียกกัน ?
ช่างแม่งเหอะ ไม่เข้าใจก็ช่าง กุจะไปแคร์ใครทำไมเนี่ย )
มาอุดช่องโหว่ของเค้ก
เป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้อย่างเนียน ๆ
ซึ่งนำความอับอายมาสู่กุอย่างมาก
ที่ได้สูตรของหนมเค้กแบบใหม่มาครอบครองเฉพาะตัว
เค้ก 3 ส่วน ข้าวเหนียว 1 ส่วน โปะให้เข้ากัน
งิงิ
หลังจากนั้น เมื่อกุย้ายไปเรียนที่พิษณุโลกไปอยู่กับพ่อแม่
เมื่อใดก็ตามที่เป็นวันเกิดกุ
กุก็จะได้กินเค้ก ช็อกโกแลต ที่แม่กับอาทำ
ไม่มีวิปปิ้งครีม ไม่มีอะไรเลย มีแต่เค้กที่อบเกรียม ๆ
ได้กลิ่นช็อกโกแลตอบอวล จนกุแทบจะลอยตามกลิ่น
( เหี้ย ! บรรยายซะจนอยากจะแดกเลยอะ )
- -"
มีอยู่ปีหนึ่ง กุจำได้ ทำเอากุน้ำตาจะไหล
ไม่ได้ซึ้งอะไร แต่โกรธ โกรธทำไมน่ะเหรอคะ
ต๊าย ... ถ้าไม่เขียนลงไป เกรงว่าจะเกิดอารมณ์หงุดหงิดค่า
ทั้ง ๆ ที่วันนั้น เป็นวันเกิดกุ
คนข้างบ้านก็เอาของขวัญมาให้กุ
อ๊ะ ๆ มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรใช่ม้า ?
อะฮ้า อย่าคิดเช่นนั้น เรื่องที่ทำให้โกรธ ก็คือ
เค้ากลัวน้องสาวกุ เออ อี่โบ น่ะ
กลัวแม่งน้อยใจคือมีของขวัญให้กุ แต่อี่โบไม่ได้ อะไรประมาณนั้น
ดั๊นนนนน ให้ของขวัญกุเสร็จ เสือกมีให้อี่โบด้วย
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด
บลิวไม่ไหวแล้ว บลิวจะชน !!!
คือมึงเกี่ยวอะไรเนี่ย คือมันวันเกิดกุนะ
ทีวันเกิดมึง กุยังไม่ได้เหี้ยอะไรเลย ซักปี
แล้ววันเกิดกุปีนี้ มึงทำไมด๊ายยยยยยยยยย
หาาาาาาาาาาาาา
อารมณ์น้อยใจของกุ ล้นปรี่ น้ำตาเอ่อ
แต่ทำเป็นไม่ให้ใครเห็นทั้ง ๆ ที่ตอนนั้นกุก็เด็กนะ
แต่ความตอแหลในการแสดง มีเหลือล้นกว่า
จึงมิมีใครรู้ ในเรื่องที่กุน้อยใจ
ป่านนี้น้องกุมันก็คงไม่รู้หรอกว่า
กุน่ะ น้อยใจคนที่ให้ของขวัญมันด้วยอะ
คือวันเกิดกุเนี่ย กุให้ความสำคัญมาก
กุเป็นคนที่รู้สึกตื่นเต้นทุกปีที่จะมีวันคล้ายวันเกิด
รู้สึกมันเป็นวันที่พิเศษ
เหมือนกะว่า วันนี้เป็นวันของกุนะ
เป็นวันที่ทุกคนต้องใส่ใจกุนะ ต้องเต็มที่ กุเป็นนางฟ้า
มันรู้สึกยิ่งใหญ่กว่าวันไหน ๆ
บอกไม่ถูกเหมือนกัน เพราะกุก็ไม่เข้าใจตัวเอง
ยิ่งกุอายุเพิ่มขึ้นเท่าไหร่ ความบ้าในอัตตา ก็มีมากขึ้นเท่านั้น
รู้สึกถึงว่า มันมีค่าเสมอ มันมีค่าตลอดเวลา
ใครลืมไม่ได้ หากกุจะกลัวว่าใครลืม
กุจำเป็นต้องมาป่าวประกาศให้ทุกคนรู้
ดังนั้น อย่าได้แปลกใจ
หากใครมาเห็นว่ากุมาเย้ว ๆ ใน msn
หรือในเว็ปต่าง ๆ ให้ทุกคนรู้ว่า กุเกิดวันนี้นะ
สิ่งที่กุดีใจในวันเกิดอีกเรื่องหนึ่ง
ก็คงจะเป็นเรื่องของราศี
มันก็ไม่ใช่ว่ากุชอบราศีพฤษภ หรืออะไรมาก
แต่ว่า ... มันทำให้กุรู้สึกถึงความเป็นตัวกุอย่างน่าประหลาด
เป็นเพราะกุเกิดในกลางเดือน
จึงมีราศีเป็นของตัวเอง
ไม่จำเป็นต้องแชร์ราศีเกิดกับใคร
ไม่ต้องไปดูราศีเมษบ้าง ราศีพฤษภบ้าง อะไรบ้าง
ไม่ว่าตำราเล่มไหน กุก็เกิดราศีพฤษภแน่ ๆ
คนอย่างกุไม่ชอบอะไรวุ่นวาย ซับซ้อน
( นอกจากความคิดที่เสือกซับซ้อนอะนะ )
มันจึงเป็นสิ่งที่รู้สึกภูมิใจเล็ก ๆ เหมือนกันนะ
ที่ไม่ต้องไปทะเลาะกับตัวเองเมื่อจะอ่านดวง
5555
นี่กุโตแล้วจริงเหรอ ?
เมื่อโตขึ้น โตขึ้น อายุมากขึ้น
งานเลี้ยง งานฉลอง งานสังสรรค์ ต่าง ๆ
ก็หายไปทีละเล็กละน้อย
บางปี กุก็อยู่คนเดียว บางปี กุก็นั่งร้องไห้คนเดียว
บางปี มันก็รู้สึกโดดเดี่ยวและอ้างว้าง
บางปี มันก็รู้สึกว่าสนุกสนาน
กุก็ไม่คิดเลยว่า
วันเกิดของกุจะมีเรื่องเศร้า เคล้าน้ำตาปะปนด้วย
มันคงเหมือนแม่น้ำปิงที่ใสสะอาด
พอไหลมารวมกับแม่น้ำยมแม่น้ำวัง แม่น้ำน่าน
( แม่น้ำน่านนี่สกปรกมากค่า )
มันก็คงต้องเจือปนกันไป
ต่อให้ตัวเองใสแค่ไหน ก็ต้องทนยอมรับกับสิ่งที่เจือปนมาด้วย
( เอ๊ะ นี่มันเกี่ยวมั้ยเนี่ย ? กุเริ่มมึน )
กุก็เคยคิดเหมือนกันว่า ถ้ากุไม่มีใครในวันเกิดจริง ๆ
กุจะทำยังไง
ปีที่แล้ว ก็มีคนโทรมาอวยพรเหมือนกัน
แต่ว่า ... กุก็ไม่ได้อยู่บ้าน
สิ่งที่กุทำได้คือ ไปบ้านเพื่อน ไปอยู่กับเพื่อน
เพื่อนทำงาน กุนั่งเล่น นั่งเหงา
นั่งอารมณ์เดียวดายคนเดียว
คิด ๆ ไป หากกุเลียนแบบ MV ที่เค้าทำ ๆ กัน
จะเป็นยังไงนะ
เรื่องนี้กุคิดมาหลายครั้ง
สมมติว่า อยู่คนเดียว ไปซื้อเค้กมา
จุดเทียนแล้วร้องเพลงวันเกิดให้ตัวเอง
อธิษฐานเอง อวยพรเอง
เล่นเอง ชงเอง แดกเอง เช่นนี้กุจำทำได้มั้ย ?
กุจะอยู่ได้มั้ย ? น้ำตากุจะไหลมั้ย ?
แค่กุคิด ที่จะทำแบบนี้
จู่ ๆ น้ำตาก็ไหล พราก ๆ แล้วอะ
แต่ไม่แน่หรอก ชีวิตจริง ถ้าไม่ลองทำ
ก็ไม่รู้หรอกว่า ทนได้หรือไม่ได้
เมื่อก่อนเคยคิดว่า ถ้าเลิกกับคนที่เรารักมาก
รักจนหมดหัวใจกุคงเลิกไม่ได้ กุคงขาดเค้าไม่ได้
คงทนไม่ได้ ที่ไม่มีเค้าเคียงข้างกาย
แต่ ณ วันนี้ กุก็ยังคงเสียใจ ยังคงปวดใจ
ยังคงรู้สึกว่ามันเจ็บปวดอยู่มิวาย
แต่ ... กุก็ผ่านพ้นวันนั้นมาได้
ผ่านพ้น เพื่อรู้จักการเยียวยา รักษาตัวเอง
สัตว์ เวลาที่มันเจ็บ เป็นแผลเหวอะหวะขนาดไหน
มันยังรู้จักเลียแผลให้ตัวเองเลย
นับประสาอะไรกับกุล่ะ ที่จะไม่ได้
คิดได้ดังนี้ กุจึงลองก้าวเดิน เดินไปหาสิ่งที่คิดว่าทำไม่ได้
ทำได้ แต่ทนแทบไม่ได้ แล้วจะให้ทำยังไง ?
ในเมื่อชีวิตมันต้องทน ยังไม่ตาย
มันก็ต้องทนให้มีชีวิตอยู่รอด
กุก็ไม่ได้เก่ง ไม่ได้เข้มแข็ง แต่มันต้องทำ
มันต้องเรียนรู้มันต้องแก้ปัญหา
ถึงแม้จะเป็นการแก้เฉพาะหน้า
ก็ต้องทำ หากกุต้องอยู่คนเดียวจริง ๆ ล่ะก็
กุจะลองซักครั้ง กะอีแค่ เป่าเทียนวันเกิดคนเดียว
ร้องเพลงให้ตัวเองแค่นี้ทำได้ ก็จะทำต่อไป
ทำแล้วรู้สึกว่ามันแย่เกินเยียวยา ก็เลิกทำ
วันเกิดปีนี้ อยากได้นั่นอยากได้นี่
หวังที่จะได้นั่น หวังที่จะได้นี่
ตามแต่กิเลสที่กุมี
แต่สิ่งหนึ่งที่กุอยากบอก และอวยพรให้ตัวกุเอง คือ
กุอยากให้กุยืนอยู่ด้วยความคิดในมุมมองที่กุเป็น
ไม่ใช่กระเสือกกระสนดิ้นรนกับมุมมองคนอื่น
แล้วนำพามาเป็นตัวทำลาย
และขัดขวางการดำเนินชีวิตของตัวกุเอง
อย่างไรก็ดี จะดีหรือไม่ดี
กุ ก็ยังเป็นหนูบลิว น้องบลิว อี่บลิว ไอ้บลิว ฯลฯ
ของสิ่งแวดล้อมรอบตัวกุอยู่ดี
ขอบพระคุณพ่อแม่ ที่รักกัน ครอบครัว วงศาคณาญาติ
ที่มีผล มีปัจจัยทำให้กุได้เกิดมา
อสุจิตัวน้อยอย่างกุ อาจจะไม่ได้แข็งแรงเกินใคร
กุอาจจะโกงคนอื่นเข้าวินมดลูกแม่ก็ได้
ไม่ใช้หางตบตัวอื่น ก็อาจจะวางยาสลบตัวอื่น
เพื่อขัดขวางไม่ให้ตัวอื่น เข้าวินชนะกุ ฮ่า ๆ
ตอนนี้เกิดมาแล้ว ทำไรได้ กุจะทำ
ไม่ให้เสียชาติเกิดล่ะค่า
ภาษาเหนือวันละคำวันนี้ คำว่า หมาน อ่านว่า หมาน แปลว่า ลักษณะดี , เฮง
แต่งประโยค น่องคนนั่นเจื้อว่า ถ้าใส่เสื้อสีแดงตึงวัน เปิ้นย่ะหมานดีแต้
แปลอีกทีว่ะ น้องคนนั้นเชื่อว่า ถ้าใส่เสื้อสีแดงทุกวัน เค้าจะดวงดี เฮง ๆ
บ๊าย...บาย
นู๋บลิว เซเลอร์มูน ก๋ากั่น
ป.ล รักทุกคนที่รักนู๋เจ้า ขอบคุณที่สุด ขอกราบงาม ๆ
และกรวดน้ำทำบุญตอนเช้า
เผื่อว่าเจ้ากรรมนายเวร จะลดน้อยลงบ้าง ( ก็ดี )

วันเสาร์ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

กัลยาณีแบบกุ

หงุดหงิดใจ ทั้งอากาศร้อนระอุ และมวลร่างกายเดือด
บลา บลา บลา

หาอะไรอ่านเล่นในเว็บ
พลันสายตาก็ไปปะทะกับเรื่องน่าอ่านเรื่องหนึ่ง
เป็นเรื่องประวัติของนางวิสาขา ในสมัยพุทธกาล
อันที่จริง กุเคยได้ยินเรื่องนางวิสาขานี่นานมากแระ
แล้วก็เชื่อเฉกเช่นเดียวกันกับคำบอกเล่า ว่านางวิสาขาคนนี้
เป็นสตรีที่พร้อมด้วย คำว่า เบญจกัลยาณี คือ สตรีที่มีความงามห้าประการ
โอ้วแม่เจ้า ... เมื่อก่อนกุอาจจะรู้เท่าไม่ถึงการณ์
เมื่อใครเล่าให้ฟัง กุก็ยิ่งอยากจะเป็นหญิงงามห้าประการเหมือนกันแฮะ
พอเติบใหญ่ คิดลึก คิดมาก คิดฟุ้งซ่าน ได้อีก
กุจึงใคร่ครวญ และสังเคราะห์เรื่องเล่าเรื่องนี้
จึงเป็นเหตุให้กุหงุดหงิดใจว่า เหตุใดคนเราจึงเชื่อได้เชื่อดี
กับคำบอกเล่า เห็นแค่คำพูดที่ว่า หญิงนี้ดี สตรีนี้ดี ก็เชื่อกันไปแล้วว่า คงดี
แต่ทำไมไม่มองไปว่า จริง ๆ แล้วนี่ ดีจริงเหรอวะ ?

เท่าที่กุอ่านประวัตินางวิสาขาดูเนี่ย
ไอ่ความงามห้าประการอะไรนี่
มันเป็นการพูดส่ง ๆ ของบุรุษเพศนายหนึ่ง
ซึ่งโดนพ่อแม่รบเร้าให้แต่งงาน แต่บุรุษเพศนายนี้
มิได้ใคร่อยากแต่งงานเท่าไหร่
ใครเคยได้อ่านประวัตินางวิสาขา มาก่อนคงจะได้รู้ว่า เรื่องราวยิบย่อยเป็นมายังไง
ซึ่งกุขี้เกียจเล่า กุเคยอ่านแล้ว กุเขียนบล็อกกุ ฉะนั้นกุเข้าใจแล้ว
ใครเข้ามาเสือกแล้วไม่เข้าใจ ไปหาอ่านก่อนแระกัน
เอ๊ะ ก็กุบอกว่ากุไม่เล่าแล้วไง อีห่า ตบฟว่ำ
( ใครเซ้าซี้ให้กุเล่า คนนั้นเป็นหมา หุหุ )

มาเข้าประเด็นก็คือ เมื่อบุรุษผู้นี้ไม่อยากแต่ง ก็คิดแล้วว่า
กุจะทำเหี้ยไรดีวะ ให้พ่อแม่กุไม่บังคับให้แต่งงาน
ซึ่งกุก็ไม่ทราบเหมือนกันว่า เหตุใดจึงไม่อยากแต่งงาน
เพราะกุก็ไม่จำเป็นต้องรู้เรื่องชาวบ้านขนาดนั้น
ดังนั้น จึงบอกพ่อแม่ว่า เออถ้าหาผู้หญิงได้ตามที่ต้องการ
ก็จะยอมแต่งงาน จึงได้กำหนดสเปคมาห้าประการ
กุว่านะ ... ที่จริงแม่งก็คงคิดแหละว่า หาไม่ได้หรอกในโลกนี้
แต่ดันมีหญิงงามครบตามห้าประการที่กำหนดไว้ซะด้วยสิ
ก็เลยต้องได้แต่งงานกัน
อันว่า ... ความงามห้าประการ ที่กุก็แอบหมั่นไส้ มีดังนี้

ข้อหนึ่ง หญิงที่มีผมงามถึงสะเอว และปลายผมงอนขึ้น

ข้อสอง หญิงที่มีริมฝีปากแดงดุจผลตำลึงสุก และเรียบชิดสนิทกันดี

ข้อสาม หญิงที่มีฟันขาวประดุจสังข์ และเรียบเสมอกัน

ข้อสี่ หญิงที่มีผิวงามละเอียด ถ้าดำก็ดำดังดอกบัวเขียว
ถ้าขาว ก็ขาวดังดอกกรรณิการ์

ข้อห้า หญิงที่แม้จะคลอดบุตรถึง สิบ ครั้ง ก็ยังคงสภาพร่างกายสาวสวย
ดุจคลอดครั้งเดียว


โอเว่อร์ !

กุก็กลัวบาปเหมือนกัน แต่คงจะไม่ถึงขนาดนั้น
เพราะของอย่างงี้ อ่านแล้วไม่คิดตาม อาจจะกลายเป็นความโง่เขลาได้
นี่มันสเปคของคน ๆ เดียว แล้วจะมาอ้างได้ไงวะ
ว่านี่คือหลักของหญิงงาม
แล้วทำไม ? หญิงที่งามไม่ครบตามกล่าวอ้างเนี่ย
แล้วแม่งจิตใจดี ๆ ไม่มีเหรอ ?
ถ้าลองมาเป็นยุคนี้ กุคิดว่า ... แม่งศัลยกรรมพิมพ์เดียวกันหมดก็ได้แระ
ไม่ต้องเอาแค่ห้าหรอก กุว่าได้เป็นร้อย ๆ ข้อ กันเลยทีเดียว

ที่กุมาเขียน ณ ตอนนี้ กุไม่ได้คิดว่ากุถากถางพุทธศาสนา หรืออย่างไร
แค่กุอยากให้คนที่อ่านได้คิดบ้าง คนที่ได้เรียน ก็คิดกันบ้าง
สักแต่จะเชื่อ ๆๆๆๆ กุรำคาญ !
คนเราแม่ง ค่านิยมผิด ๆ มาหลายร้อยชาติปีแล้ว
ถึงเวลาที่จะต้องใช้ความคิดของเราเองแระ
เวลามีคนมาพูดเหี้ยไร แม่งก็โหยยย เชื่อซะ
" ตายแล้ว ช่างเป็นหญิงที่ควรแก่การบูชา "
" อุ๊ย ดีจังเลยค่ะ อยากเป็นอย่างนางวิสาขาบ้างค่ะ "
" ผมอยากเจอผู้หญิงแบบนี้จังครับ ผมจะรักเธอมาก ๆ
ไม่ชอบเลยผู้หญิงกร้านโลกเหมือนทุกวันนี้ "
ฯลฯ


ทำไมไม่คิดบ้างวะว่า นี่คือคนที่โดนพ่อแม่บังคับให้แต่งงาน
แล้วก็พูดเพื่อที่ว่า ... จะได้ไม่ต้องแต่ง เผื่อว่าหาไม่ได้ในโลกนี้
แม่งอึดอัดตายห่า ถ้ากุจะต้องใช้ชีวิตแบบ หญิงงามทั้งห้าประการแบบนั้น
ชีวิตลูกผู้หญิงมีเท่านี้เหรอวะ ? ไอ้ที่เรียกกันว่าคุณค่าน่ะ
ชีวิตวัยเด็ก ซุกซนมากไม่ได้ ไม่เป็นกุลสตรี
วัยรุ่น ร่าเริง แรด ร่าน ไม่ได้ ไม่งาม
ส่งตาหวานให้ผู้ชายไม่ได้ อ่อยไม่ได้ อยากมีผัวตัวสั่นไม่ได้ ฯลฯ
เลยวัยรุ่น ขึ้นมา ก็ต้องคอยมองหาผู้ชาย
รอว่าเมื่อไหร่จะมีคนมาสนใจ มาจีบ
( ทั้ง ๆ ที่ รักใครชอบใครก่อน ก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องผิดนี่หว่า )
มาให้ความรัก เพื่อจะได้แต่งงาน
ชั้นจะรักคนเดียว รักคนเดียว
( ในชีวิตจริง อย่าง เรา ๆ มันหาได้ทุกคนมะ )
พอแต่งงาน มีลูก หุ่นไม่เฟิร์ม แดกเยอะ เพราะต้องเผื่อให้ลูก
พอคลอด แดกน้อยไม่ได้ ต้องให้น้ำนมลูก
ส่วนผัวที่บอกว่ารักกันนักหนา
เทียวไล้เทียวขื่อ ตอนยังจีบกันใหม่ ๆ
ก็ไปสำเริง สำราญ กับกระหรี่บ้าง เมียน้อยบ้าง หรือนางบำเรอ
หรืออาจจะเป็นเมียใหม่ ได้อีก
ในทางกลับกัน ผู้หญิงแต่งงานแล้ว มีแฟน มีกิ๊ก มีผัวใหม่
หาว่า ขี้เงี่ยน ดอกทอง ไม่รู้จักพอ วันทอง กากี ส้นตีนอะไรไม่รู้
กุว่า ต่อให้กี่ข้อของกัลยณี ก็ต้องจบแบบเจ็บปวด รวดร้าว
... เหมือนกันหมด ...
ไอ่คู่รักที่แม่งรักกันจริงจังน่ะ กุไม่เชื่อหรอกว่าไม่เคยทะเลาะกัน
ไม่เคยเจ็บปวด ไม่เคยต้องเลิกรา
ไม่เคยต้องอดทน ไม่เคยต้องอดกลั้น หรือร้องไห้ เสียน้ำตา
ความรักแบบที่ ญ ช รักกันปานจะกลืนกินตลอดชีวิต
จนกว่าจะตายห่ากันไปข้างนึง มันไม่มีจริง !
นอกจากเราจะเขียนในนิยาย หรือกำหนดเองในห้วงจินตนาการ
แต่มนุษย์เรา กำหนดไม่ได้กับเรื่องชีวิต
เรื่องความรัก เรื่องต่าง ๆ นานา
แม้จะทำดีแค่ไหน แม้จะสวยแค่ไหน
แม้จะร่ำรวย หรือเป็นอะไรที่คนอื่นอิจฉา
สุดท้าย ทุกอย่างก็พังทลายได้ ในเมื่อคนอีกคนไม่คลิกกับเรา

เห็นมะ !!!

สุดท้าย พวกกุ ที่เป็นผู้หญิงก็โหยหาความรัก ความเอาใจใส่วันยังค่ำ
กุก็ไม่รู้ว่าแต่งตัวสวยไปทำไม ถ้าหากว่า ไม่ต้องการความรักจากผู้ชาย
ไม่ต้องการความแข็งแกร่งจากอ้อมแขน ความอบอุ่นที่อ่อนโยนจากอีกฝ่าย
ผู้ชายสามารถที่จะจีบ แล้ว ฟัน ฟันแล้วก็ทิ้ง หาความสำราญ จากเกม
ฟุตบอล กีฬา การท่องเที่ยว กินเหล้า เพื่อน ฯลฯ
แล้วพวกกุมีเหี้ยอะไร ? สวย เริด เชิด หยิ่ง เพื่อ ???
ถ้าคนเรามีการให้เกียรติในแต่ละเพศ และทำหน้าที่ของเพศตนเอง
ให้ถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็นลักษณะของสัญชาตญาณก็ตาม
แต่นั่น ก็ควรใช้สมอง ในการบังคับ หรือคอนโทรลการกระทำกันบ้าง
เพราะนี่คือคน หรือมนุษย์
ก็ไหนว่า คนเราต่างจากสัตว์ก็ตรงที่เรามีความคิดมากกว่า
แต่กุก็ไม่ยักกะเห็นว่าใครมีความคิดในด้านนี้เท่าไหร่
ยิ่งสังคมกว้างมากขึ้น กุกลับได้มองเห็นเรื่องเหี้ย ๆ ตลอดเวลา
บังเอิญ กุก็เคยเปิดเจอสารคดีเหมือนกัน
สัตว์ตัวผู้มักจะเป็นฝ่ายเข้าหาสัตว์ตัวเมีย
นั่นคือเรื่องธรรมชาติ และมนุษย์ก็เช่นเดียวกัน
ถ้าทำตามสันดานดิบในตัวเอง
มันก็เป็นอย่างนั้น ธรรมชาติกำหนดมาอย่างนั้น

กุไม่เถียง

แต่พอพูดอย่างงี้เหอะ ก็ต้องมีผู้หวังดี อันไม่ยอมรับธรรมชาติ
เถียงกุทุกครั้งไปว่า

" ไม่จริง ! ผู้ชายดี ๆ มีอีกตั้งเยอะ "
" ผู้ชายมีความคิดก็มีนะ "

เวิ่นเว้อ ! ยิ่งพูดก็ยิ่งเข้าข้างความเป็นเพศตัวเองมากขึ้น
กุเข้าใจ เรื่องธรรมชาติ แต่ถ้ามีความคิดจริง มันคงสงบสุขกันมากกว่านี้
ผู้หญิงเรา ก็ฝันซะเหลือเกินว่าอยากเป็นพรหมจรรย์ตามหลักหญิงไทย
หญิงงาม หญิงที่เป็นกุลสตรี
มึงฝัน !

อย่าได้คิดฝันแบบนี้อีก เพราะอย่างที่กุบอกไว้ข้างต้นนั้น
กุคิดว่า ต่อให้เก็บไว้ตอนแต่งงานยังไง
ก็โดนทิ้งอยู่ดี ไอ่ความสำคัญที่ผู้ชายให้น่ะ มันตอนแรกค่า
อยู่ ๆ กันไป ถ้าสันดานดิบออกมา มันก็ต้องไขว่คว้าหาอีกไม่รู้จบ
สิ่งที่จะกำหนดความรู้สึกได้ คือ สมอง ย้ำ สมอง !
เมื่อเราขาดเค้าไปแล้ว เราก็เคว้งคว้าง
อยู่อย่างเดียวดาย เลี้ยงลูกไปวัน ๆ หนังเหี่ยวยาน เป็นอีแก่
โดนดูถูก โดนหัวเราะเยาะ ต่อให้เป็นนางเอก แล้วมีความสุขเหรอ ?
เค้าเหยียบย่ำเรา ยังยิ้มได้อีกเหรอ ?
กุนี่ก็แม่งคำถามเยอะนะ วันนี้กุดีใจที่คิดแบบนี้
และกุก็ไม่รู้ด้วยว่า อนาคต อะไรจะเกิดขึ้นกับกุบ้าง
แต่เมื่อกุกลับมาอ่านอีกครั้ง กุก็จะได้รู้ว่า
ชีวิตที่ใกล้วัย 26 ขวบ ในอีกไม่กี่วันนี้
ณ วันนี้ ณ เวลานี้ ณ ตอนนี้

กุได้อะไรเยอะแยะ กับเรื่องความคิด เรื่องค่านิยม
ซึ่งเราอาจจะถูกหรือผิด ก็ไม่มีทางรู้ได้ ที่แน่ ๆ เราได้ให้เกียรติ
ความเป็นตัวเองของเรามากน้อยแค่ไหน ก็เท่านั้น
ถึงแม้เรื่องที่กุคิด ซักวันหนึ่ง คนจะมองว่า เป็นเรื่องไม่ดี เรื่องเลว
แต่กุภูมิใจ เพราะอย่างน้อย ครั้งหนึ่งกุเคยเชื่อตามที่คนอื่นคิด
แต่คราวนี้กุได้วิเคราะห์ และสังเคราะห์ด้วยตนเองได้
นี่ก็เพียงพอแล้ว สำหรับกุ แถมคิดได้ก่อนจะได้ไปนอนในโลงศพ
พนมมือกุมดอกบัวเหี่ยว ๆ ร่างกายแข็งทื่อ แล้วโดนแผดเผาโดยเปลวไฟ
เป็นควันสีดำเจือเทา ลอยขึ้นอากาศไป
อ้อ กุนึกออกอีกเรื่อง ของนางวิสาขา
ตอนฝนตก มีนางวิสาขาคนเดียวที่ไม่ยอมวิ่งหลบฝน
พอโดนตั้งปุจฉา นางจึงตอบว่า
" การวิ่งหลบฝน มันถือว่าไม่งาม เพราะเป็นสตรี "

แล้วเป็นเหี้ยไร ทีกุเดินตากฝนตอนเด็ก ๆ กุถึงได้โดนตี วะ
นี่คือ พ่อแม่ พี่น้องกุห่วงใย กลัวกุเป็นหวัดสินะ
แล้วนางวิสาขา ทำไมตอบแบบนี้อะ ?
ไม่กลัวพ่อแม่ตบกะโหลกเอาเหรอ ?
หรืออากาศเมื่อก่อน มันไม่มีมลพิษ ทำให้ตากฝนก็ไม่จำเป็นต้องกลัวหวัด
กุชอบฝนตกนะ แล้วก็อยากเล่นน้ำฝนใจจะขาด
แต่ก็กลัวพ่อแม่พี่น้องทั้งปวง เป็นห่วงนั่นแหละ
อีกอย่าง เป็นหวัดเป็นไข้ขึ้นมาก็ต้องเป็นภาระให้คนอื่นอีก

คิดแบบกุเนี่ย มันผิดมะ ?

เผลอ ๆ เสร่อไปเล่นน้ำฝนผิดที่ผิดทาง ฟ้าผ่าขึ้นมา
กุก็ดับอนาถได้อีก คนข้างหลัง เสียใจ ร้องไห้ เจ็บปวดเพราะกุตาย
เออ ถามอีกครั้ง ถามใครไม่ได้ ก็ถามตัวเองนี่แหละว่า

คิดแบบกุเนี่ย มันผิดมะ ?

ผู้หญิงที่กุศรัทธา ไม่ใช่แบบกัลยาณี แบบนางวิสาขา
แต่สำหรับกุคือ

หญิงที่ไม่ต้องยอมสยบแทบเท้าบุรุษ
มีความคิด ความอ่านเป็นของตนเอง
กล้าคิด กล้าลอง กล้าทำในสิ่งที่คิดว่าเป็นผลดี มีประโยชน์
ถึงแม้จะผ่านการมีลูก แล้วอ้วนตุ๊ต๊ะยังไง
ก็คิดถึงลูกไว้ก่อน กลัวลูกจะไม่มีน้ำนมแดก
ยังไงก็ขออ้วนไว้ ไม่ลดน้ำหนักตามค่านิยม
นี่สิ ... ความเป็นแม่ ความอดทนของแม่
เพศแม่ เพศหญิง ที่กุให้ความเคารพ


อย่าไปสน หากใครจะมองว่าเป็นหญิงกร้านโลก
เพราะมันก็ต้องกร้านโลกทุกคน
ไม่เช่นนั้น จะยืนหยัดบนโลกนี้ได้เหรอวะ ?
โดนเหี้ยไรหน่อยเดียว แม่งไม่ฆ่าตัวตายไปเลยเรอะงาย ?

จงดำเนินชีวิตโดยสัญชาตญาณของตนเองบ้าง
ไม่ใช่แต่จะรอให้เพศผู้ มันจวกแล้วจวกอีก
ทำห่าไรก็ต้องให้คนอื่นมาตัดสินใจ
เพราะสุดท้าย ถ้าเราคิดว่าตัวเรามีคุณค่า
มีความงามหลายร้อยประการในตนเอง
เมื่อนั้น ต่อให้กี่หมื่นล้านคนหาว่าเราไม่มีความเป็นกุลสตรี
หรือเบญจกัลยาณี ก็ตาม เราก็จะมีความสุข
ในแบบสตรี ที่เราเป็น เข้าใจคน เข้าใจธรรมชาติ
เข้าใจบทบาทหน้าที่ตัวเอง พอแล้ว จบแล้ว
แล้วก็ไม่ต้องมาคุยกับกุเลย เรื่องกัลยาณี
ที่เชื่อต่อ ๆ กันมาว่าควรเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนี้
กุเป็นกุ สตรีเยี่ยงกุ ประพฤติตนด้วยประสบการณ์
ตั้งแต่เด็กจนโต ความคิดความอ่านมีเปลี่ยนแปลง
การกระทำก็เปลี่ยนแปลงเช่นกัน ต้องปรับ ต้องเปลี่ยน
เพื่อให้ดำเนินชีวิตอยู่ได้
ขอภาวนาให้ผู้หญิงเรา ดำเนินชีวิตตามที่ตนเองใฝ่ฝัน
และได้เป็นตัวของตัวเอง หากต้องยืนอยู่ลำพัง
กุก็ขอให้ยืนอยู่ได้ด้วยกำลังใจ ที่มีจากตนเอง
ไม่ต้องรับอานิสงส์จากใคร เพราะนั่น คือการทำให้ตนเองมีทุกข์
จากการรอคอยใครต่อใครมาแบ่งปัน
หากการเป็นกัลยาณีมันทุเรศเกินรับได้
ก็ให้เป็นกัลยาณมิตรกับทุกคน ก็เกินพอ

ภาษาเหนือวันละคำวันนี้ คำว่า แก้จุ้น อ่านว่า แก้ - จุ้น แปลว่า แก้ผ้า , เปลือยกาย
แต่งประโยค อี่น้องคนนี้มันหยังมาบ่อายผีอายสาง มาแก้จุ้นเล่นน่ำฝนอยู่ได้
แปลอีกทีว่ะ นังนู๋นี่มันทำไมไม่อายผีอายสางนะ มาแก้ผ้าเล่นน้ำฝนอยู่ได้
บ๊าย...บาย
นู๋บลิว เซเลอร์มน ก๋ากั่น
ป.ล กุชอบผู้ชาย กรี๊ดผู้ชาย
แต่สุดทนกับพฤติกรรมของผู้หญิงที่ดูถูกคุณค่าของตนเอง
และพฤติกรรมของผู้ชายบางคน
เหลือแดกจริง ๆ พ่อคุณ !