วันศุกร์ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2547

ไปไกล ... ตีน!

เมื่อวันพุธ หลังจากแด่กมู๋ทะกันกับเพื่อนๆ
(มีคนเลี้ยงอิ่มจังตังค์อยู่ครบจริงๆ)
กุก็กลับมาพิมพ์งาน วิชาโท จิตวิทยา พิมพ์ไปพิมพ์มา นั่งเล่นเน็ทไปด้วย
ชิบหาย!
กุนึกขึ้นได้ เวรแล้ว นี่มันดึกแล้วนี่หว่า พรุ่งนี้นัดเพื่อนเช้าสุดตีน ด้วย
ทำไงดีๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ คิดแล้วคิดอีก
ทำไรไม่ได้ สุดท้าย ... แม่ง ก็ต้องนั่งพิมพ์ จนรากแก้วงอกติดเก้าอี้
จนตี 3 กุขึ้นนอนแม่งเป็นไข้ ทั้งไอ ทั้งเจ็บคอ ทั้งหายใจไม่ออก
ทั้งจาม (ขี้มูกไหลเป็นเต้าส่วนแลดูน่ารับประทานจริงๆ)
แต่ขอโทษ กุหยิ่ง! ไม่แด่กยา โฮะๆ คิดว่า พรุ่งนี้กุก็ไปเรียนด๊ายย สบ๊าย!
อิห่า ที่ไหนได้ เช้ามา แรงควายที่เคยมี เสือกหายไป กลายเป็นนางเอก
ไม่สู้คน ไม่มีแรงทำเหี้ยไรเรย ต้องโทรบอกเพื่อน เห้ยกุไปไม่ได้นะมึง
ไข้แด่กค่ะ มึง กุขอโทษ มาเอางานที่กุพิมพ์ให้มึงด้วยแล้วกัน

... จากนั้น ...
กุก็ น็อค!
..........................................
ตอนเย็น
....................................................................

ย่ากุ : บลิว ใครมาหน้าบ้าน ออกไปดูดิ๊
กุ : อ้าว พี่โอ๊ต มาได้ไงเนี่ย มาๆ เข้าบ้านมาก่อน มีไรป่าวน่ะ มาซะเย็นๆค่ำๆ แบบนี้
พี่โอ๊ต : อ่อ บลิว วันนี้พี่มาหาเรานั่นแหละ คือพี่จะมาเสนอ
เกี่ยวกับเรื่อง ที่พี่ทำงานอยู่ บริษัท กิฟฟารีน นั่นแหละ
ค + ว + ย
ค่ะ
กุว่าแล้วไงคะ ว่าต้องมาชวนกุทำงาน นี้
เมื่อก่อน เพื่อนกุก็คนนึงแร้ว แม่งชวนคนนั้นคนนี้ มาบ้านกุ
เพื่อมาพูดเกี่ยวกับ แอมเวย์ กุก็ปฏิเสธไปแล้ว ตั้งหลายครั้ง แม่งก็ตื๊อ
กำลังขี้อยู่อย่างสบายใจ ชิบหาย ... พาใครไม่รู้เข้ามารอกุในบ้าน
อิเหี้ย ... ขี้ไม่สบายเรยมึง! พอรู้ว่ามีคนรอเนี่ย
... ขี้เกรงใจ ...

" มาๆ บลิว พี่จะพูดเกี่ยวกับแผนการทำงานพวกนี้ให้บลิวฟังนะ"
พี่โอ๊ต : บลิวเคยฝันไม๊ อยากมีบ้าน อยากมีรถ อยากไปต่างประเทศ?
กุ : อืมๆ (เข้าข่ายเหมือนแอมเวย์เด๊ะ)
พี่โอ๊ต : อืม ... ทุกคนล้วนแต่มีความฝันนะแต่อยากให้มันเป็นจริงไม๊
กุ : อืม แต่มันเป็นไปไม่ได้หรอกพี่ (เพราะกุเคยฟังมาแร้วโว้ย!)
พี่โอ๊ต : บลิว มันเป็นไปได้สิ นู๋อย่าคิดว่าเป็นไปไม่ได้
เนี่ยเด๊วพี่พูดให้ฟัง ว่าแผนทั้งหมดเป็นยังไง
แร้วพี่โอ๊ต ก็พูดๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ หูดับตับไหม้
ส่วนกุก็นั่ง อืมๆ ๆ ๆ ๆ
ไอ่หัวน่ะ ไม่ได้คิดตามที่พี่โอ๊ตมันพูดเกี่ยวกับแผนห่าดอกไรนั่นหรอก
เพราะกุเป็นไข้ ใครแม่งจะไปอยากใช้สมองคิดตามวะ
ถามไรกุก็ อืมๆ ฮื๊ออ ไม่ๆ อ่อๆ ค่ะๆๆ อืมๆๆ แร้วไงต่อ อ่อๆ เออๆ
ใจกุนี่ เมื่อไหร่มึงจะกลับๆๆๆ ทวนอยู่ในใจเป็นร้อยๆรอบ
เพราะกุก็จะตายห่าเอา แร้วเสือกแม่ง แผนเหี้ยนั่น
มันอะไรนักหนา ?

"บลิวคิดดูสิ เงินเราจะได้เป็นกอบเป็นกำ ดูตัวอย่างนะ
อย่างพี่คนนี้" **** แร้วพี่โอ๊ตก็ชี้ให้ดูภาพผู้ชายคนนึงกะลัง
ยืนเก๊กท่า หน้าตากวนสร้นตรีน! ด้านหลังมีรถเก๋งคันงามสีดำ
ด้านหลังรถเก๋งก็มีบ้านหลังใหญ่ๆ หลังนึง ****
"บลิวเห็นพี่คนนี้ไม๊ เค้าเคยเป็นคนขายขนมพวกทองหยิบ
ทองหยอด (ดอกทองไรนั่น ช่างแม่ง กุจำมะได้แระ)
แต่พี่เค้ารู้จักกิฟฟารีน ดูภาพนี้สิ **** พี่โอ๊ตชี้ไปที่รถเก่าๆคันนึง
คาดว่าจะเป็นรถที่ใช้ขายขนม ที่เราเคยเห็นกันบ่อยๆตอนกลางคืน
(ถ้าใครไม่เคยเห็น แสดงว่ามึงบ้านนอก รู้ตัวไว้ด้วยนะ)
มีไอ่หน้าสร้นตรีนคนเดิม ยิ้มอย่างสบายใจ ****
กุไม่เห็นหน้าตาจะทุกข์เหี้ยไรเรย กะการขายขนม
แร้วพี่โอ๊ต แม่งก็พูดๆๆๆๆๆๆ เอ้า มึงพูดเข้าปาย
ตากุก็จะปิดลง ปิดลง ทั้งง่วง ทั้งตัวร้อน
พูดไปพูดมา พี่โอ๊ต มัดมือชกกุ ด้วยการยื่นใบสมัครกิฟฟารีน
ให้กุ กุก็รับมา ด้วยความ งงๆ ง่าวๆ พี่โอ๊ตบอกว่า
"บลิวกรอกซะนะ แร้วเด๊วพี่จะมาเอา"
กุก็บอกพี่โอ๊ตว่า
"โอ้ย...ไม่เอาอ่ะพี่โอ๊ต บลิวยังไม่อยากทำ"
"บลิว มันไม่ใช่การขายสินค้านะ มันคือแค่การแนะนำ
เราไม่ต้องไปเดินขาย เพียงแต่เราใช้ผลิตภัณฑ์
แร้วเด๊ว คนอื่นเค้าเห็นว่า เราใช้ดี เค้าจะถามเราเอง
ไม่ต้องเหนื่อยเรย อีกอย่างนะบลิว ~~~~~~~~~~~~~ ฯลฯ

เราได้เงินเป็นหมื่นๆ แสนๆ !!!
แร้วบลิวดูหน้านี้นะ (พลิกอีกหน้านึง พรึ่บพรั่บๆ)
เนี่ยนะ เรามีแบ่งกันไว้เป็นขั้นๆ สำหรับคนที่ทำยอดได้สูงๆ
เท่าที่กุจำได้ก็จะมีขั้น จูปิเตอร์ เมอร์คิวรี ไรเนี่ยแหละ แร้วก็ ฯลฯ
ดีนะ ไม่มี เซเลอร์มูน ของกุด้วย อิวอก เยะเป็ด!
-----------------------------
กุจำไม่ได้ว่าพี่โอ๊ต สาธยายไปกี่ชั่วโมง
กุจำได้แค่ว่าในหัวกุนึกถึง ที่นอน ๆๆๆๆ ยา ๆๆๆๆๆ หลับ ๆๆๆๆ แค่นี้ ...
เหมือนสวรรค์มาโปรด พ่อกะแม่กุกลับบ้านมาพอดี
พี่โอ๊ต ก็เรยบอกว่า เด๊ววันหลังพี่มาใหม่นะ จะชวนให้พ่อแม่บลิวทำด้วย
กรี๊ดดดดดด ดดดดดดดดด ดดดดดดดดดดดด
นี่ชวนกุยังไม่พอใช่ไม๊? จะเอาพ่อแม่กุไปด้วยเรอะ!
แร้วพี่โอ๊ต ก็กลับไป กุก็เม้าท์ให้พ่อแม่ฟัง เค้าก็บอกว่า
"อืมๆ ฟังไปเหอะ แต่ไม่ต้องทำ มันเชื่อไม่ได้อยู่แล้ว"
เหตุการณ์แบบนี้ ทำให้กุนึกถึง เพื่อนบางคน ที่ชอบชักชวน
ให้กุกะเพื่อนๆ ในกลุ่ม ไปเข้าศาสนา ของเค้าด้วย
กุก็ปฏิเสธบ้าง ไปร่วมกิจกรรมบ้าง
ไม่เกรงใจกุบ้างเล๊ย จนกุต้องไปกะเค้า
เพราะกุเกรงใจที่เค้าชวนกุบ่อยเหลือเกิน
สมควรไม๊?
- -!

กุไม่ได้ลบหลู่ศาสนา หรือ บริษัทของใครนะ
แต่การทำแบบนี้ ชักชวนให้เข้าโน่นเข้านี่ ไม่ว่า
จะเป็นอะไรก็ตามที่มันเป็นเครือข่ายแด่กต่อๆกันแบบเนี๊ยะ
มันทำให้กุเบื่อ ... กุเซ็ง กุเครียด ...
กุไม่ชอบโว้ยยยยยยยยยยยยยย อิเหี้ยยยยยยยยยยย
... ฉะนั้น ...
------------------------------------------------
ไปไกล ... ตีน!
***************************

ภาษาเหนือวันละคำวันนี้คำว่า ง่าว อ่านว่า ง่าว แปลว่า โง่ งี่เง่า stupid
แต่งประโยค ไอ่วอกนี่มันหยังมาง่าแต้ง่าวว่า สอนอะหยังกะบ่ฮู่เรื่องซักอย่าง
แปลอีกทีว่ะ ไอ่ห่านี่ทำไมมันโง่ชิบหาย สอนเหี้ยไรก็ไม่รู้เรื่องซักอย่าง

บ๊าย...บาย
นู๋บลิว เซเลอร์มูน ก๋ากั่น

ป.ล ใบสมัครที่พี่โอ๊ตให้ไว้ กุก็ไม่ได้กรอกสัดม๋าไรเรยซักอย่าง ปล่อยแม่ง!
โอ้ว...พี่โอ๊ตโทรมาพอดี จะให้กุไปนั่งฟังการบรรยายที่ไหนมะรุ้ววว
เกี่ยวกับสรรพคุณของกิฟฟารีน อิสันขวาน! กุไม่ไปว้อย
กุก็อ้างนู่นอ้างนี่ หุ้ย ... เบื่อสาดดดดดด

วันอังคารที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2547

หมอ...นู๋เสียว!

เมื่อคืนหลังจากบ่นกะเพื่อนๆที่แร่ดออนไลน์ด้วยกันว่า
กุเสียวฟัน! เสร็จแล้ว กุก็กะว่า เออวันนี้กุนอนเร็วหน่อยดีกว่า
พรุ่งนี้กุจะได้ตื่นแต่เช้ารีบไปเรียนให้ตรงเวลา
บอกแม่ตั้งแต่ตอนเย็นว่า
แม่เจ้า ซื่ออีโมฟอร์มมาฮื่อโตยเน่อ เสียวฟัน แอ่
(แม่จ๋า ซื้ออีโมฟอร์มมาให้ด้วยนะ เสียวฟันค่า)
ทั้งๆที่ทุกๆวันที่ผ่านมา อาการเสียวฟันก็อยู่คู่กับกุมาตลอดแต่ไม่ได้ปวดเหี้ยไรมาก
แต่พอเมื่อวานที่ฝากแม่ซื้ออีโมฟอร์มมา แร้วกุก็ใช้ แร้วกุก็ขึ้นนอน
อิห่า...นอนไปได้ซักพักพอเคลิ้มๆ เสือกปวดฟัน อย่างแรง! สุดยอด
กุปวดเหี้ยๆ นอนบิดไปบิดมา ร้องห่มร้องไห้ ทั้งคืน
เหมือนอีบ้าเรยกุ (ตอนไม่เป็นไรก็เหมือนอยู่แล้วนะนี่กุ)

ตอนแรกคิดว่าจะหายที่ไหนได้
อิดอก ... กุไม่ได้นอนแม่งเลย ยันเช้า ช่วงตี 4
 โทรหาเพื่อนแบบไม่เกรงใจเหี้ยไรมันเลย
ถามเพื่อนว่าทำไงดีๆๆ กุปวดฟันๆๆ กุยังไม่ได้นอนเลยทั้งคืนทำไงดีๆ
เพื่อนกุบอกว่า เห้ย มึงอมเกลือเด้ ไม่ต้องแด่กน้ำ อมเกลือไปก่อน
แร้วตอนเช้าค่อยไปหาหมอ เอ้า กุเชื่อเพื่อนค่ะ กุก็ไปเอาเกลือ
ที่อยู่ในกระโปก เอ้ย! กระปุก มาอมๆๆ สาดดดดดดดดเยะ แสบเหงือกโคตร
แต่เอาวะ กุต้องทนให้ได้ พรุ่งนี้เช้ากุจะไปหาหมอ
พอเช้าปุ๊บ กุเสือกหลับไปตอนไหนไม่รู้ววว อาการปวดห่าวอกนี่ก็ไม่มีแระ
เออดีแฮะ ดีจริงๆเรยกุ เมื่อคืนไม่ได้หลับเรย เสือกมาหลับได้ตอนเช้า
เพื่อนกุโทรมา เห้ยบลิวมึงเป็นไงบ้าง คุยกันไปได้ซักพัก เพื่อนบอกว่าเออไม่ต้องมาเรียน
วันนี้อาจารย์ไม่อยู่ กรี๊ดดดดดดดดดดดดดด โชคดีเยะเป็ดเรยว้อยไม่ต้องเขียนใบลา
ประมาณ10โมงกว่า แม่พาไปสาธารณสุข แต่มันปิดบริการแล้ว
บอกว่า "ตอนเที่ยงครึ่งจะเปิดอีกรอบนึงนะคะ" ชิบหาย คนก็เยอะ
แม่บอกว่าไม่ต้องรอหรอก แม่รีบไปเผาศพที่คอนหวัน ไปคลินิกดีกว่า
ว่าแล้ว แม่ลูกคู่ดูโอก็พากันไปคลินิก

หมอตรวจๆเช็คๆๆ ซักพัก ให้กุไปนอนที่เตียง
บรรยากาศภายในห้อง ทำฟัน!
หมอ : อาการเป็นไงเหรอคับ เสียวฟันเหรอคับ อืมๆๆ เด๊วหมอตรวจให้นะคับ
อ้าปากกว้างๆคับ อ้าๆ ใช่คับดีมาก อ้ากว้างๆ
กุ : อ้า อือ อา โอวว งื่อออ อื้มมมมมมม
~ คร่อกๆๆๆ แคว่กๆๆๆ ครืดดดดดดดดดดดดดดดดดดด ~
หมอ : นั่นแหละคับ อ้ากว้างๆ ใช่คับใช่ อืมๆ กว้างๆนะคับ
กุ : งื่ออ อุ๊ย! อ้า... ฮื่ออออออออออออ
หมอ : เสียวเหรอคับ เด๊วก็เสร็จแล้วนะ อ้ากว้างๆคับ
กุ : หมอคะ มันเสียวอ่ะ อื๊ออออออ งื่ออออ โอยยยยย
~ ตื๊ดดดด คร่อกๆๆๆๆๆ ติ๊ดๆๆๆๆๆๆ ฟู่วๆๆๆๆๆๆๆ คร่อกๆๆๆ ~

หมอ : เอ้าอีกแป๊บเดียวนะคับ ใกล้เสร็จแล้ว
เวลาผ่านไป เป็นชั่วโมง ไอ่ปากที่อ้ากว้างๆเพื่อคุณหมอนั่น ก็เริ่มจาค้างแระ

... และแล้ว ...
"เอ้าเสร็จแล้วนะคับ บ้วนปากได้เลยนะคับ แล้วก็ออกไปรอหมอข้างนอกนะ"
ต่อจากนั้น หมอก็สาธยายว่าได้ทำมิดีมิร้าย กะช่องปากของกุไว้ยังไงบ้าง
นี่นะครับ หมอจะให้ยาไปกินนะครับ
อันนี้ทานหลังอาหาร เช้า กลางวัน เย็น ก่อนนอน
ส่วนอันนี้ก็ทานหลังอาหาร เช้า กลางวัน เย็น นะคับ
อ่า ... ส่วนค่ารักษาทั้งหมดก็
ค่าอุดฟันซี่ใหญ่ ใหญ่มากนะคับ หมอคิดเป็น เงิน ...
ค่าอุดฟันซี่เล็กเหี้ยนี่ หมอคิดเป็น เงิน ...
ค่าขูดหินปูนฟลูออไรด์ห่าเหวนั่น หมอคิดเป็น เงิน ...
ค่ายา 2 ซอง นี้ หมอคิดเป็น เงิน ...

เบ็ดเสร็จที่แม่กุต้องจ่ายเงินคือ เก้าร้อยกว่าบาท ไอ่กว่าบาทห่าดอกนี่
กุขอไม่พูด พูดแล้วจะยิ่งปวดใจหนักเข้าไปอีก (ไม่ใช่ไรหรอก กุจำไม่ได้แระ)
ทั้งปวดฟัน ปวดใจ ชิบหาย เหยียบพันเรยกุ
"เออ ... น้องคับ ไม่ทราบว่าใช้อะไรบ้วนปากอยู่รึป่าว"
"อ่อ ใช้ค่ะ เมื่อวานซื้ออีโมฟอร์มมาบ้วนปาก แต่ใช้แล้วก็ปวดฟันมากเลย"
"ท่าทางจะแพ้นะคับเนี่ย ถ้ายังไง ลอง Colgate Total Plax Fresh ดูสิคับ
มันจะทำให้ช่องปากสะอาด ไม่เสียวฟัน อม 2 นาที และ ฯลฯ"
ห่ามากค่ะ คุณหมอ หลอกขาย น้ำยาบ้วนปากกุ
กุแระแม่ก็ต้องซื้อ เพราะกุใช้อีโมฟอร์ม แร้วแม่ง ห่วยแตก เหงือกพัง
ก็ต้องจำยอม

สร้นตรีน!
แค่มาให้หมอฟัน! เอ้ย ... แค่มาให้หมอรักษาฟันเนี่ย อะไรมากมายเนี่ยกุ
อิเหี้ย! ทำไมมันแพงอย่างนี้วะเนี่ย ก็ได้แต่คิดล่ะวะ
แม่บอกว่า ทำไงได้ ให้ไปรอที่นั่นก็นาน คนก็เยอะ
แค่นี้ก็ทำเพื่อลูกไม่ได้เชียวเหรอ
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดด แม่ขรา รักแม่จริงๆนะคะเนี่ย
จรุ๊บๆๆๆๆ

ในที่สุด กุก็พาเหงือกอันบอบช้ำ กลับบ้านมา ชอกช้ำระกำทรวงที่สุด
แด่กไรก็ปวดฟัน เสียวฟัน อยู่นั่น รำคาญจริงว้อยยยยยยยยยยย
เมื่อไหร่จะหายวะกุ๊ - -!

ภาษาเหนือวันละคำวันนี้ คำว่า ไค่ลั๊บ อ่านว่า ไค่ - ลั๊บ แปลว่า ง่วงนอน
แต่งประโยค ตะคืนนี่บ่ได้ลั๊บได้นอนเจ๊บเขี้ยวง่าว วันนี่กะเลย ไค่ลั๊บขนาด
แปลอีกทีว่ะ เมื่อคืนนี้แม่งไม่ได้นอนเหี้ยไรเรยปวดฟันชิบหาย วันนี้เรยง่วงนอนโคตร

บ๊าย...บาย
นู๋บลิว เซเลอร์มูน ก๋ากั่น

ป.ล กุคงแด่กเหี้ยไร มะค่อยได้ไปอีกนาน กุจะดีใจหรือเสียใจกันแน่วะเนี่ย
แง้ T_T อยากร้องไห้

วันอังคารที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2547

เธอสวย

เสาร์ที่ 4 ธ.ค. 47
คณะกุมีกิจกรรมสานสัมพันธ์ฯ
ไปแต่เช้า ... รถมหาลัยก็ยังไม่มารับซักกะที
รอแล้ว ... รออีก รอจนรากแก้วกุจะงอกติดกะเก้าอี้
นัดน้องไว้ 7 โมงครึ่ง รถเหี้ยนี่ มาตอน เกือบ 9 โมงเช้า
ด้วยเหตุผลที่ว่า ... ลุงคนขับรถลืม! อิสาดดดดดดดดดดดดดด

กุอุตส่าห์ตื่นแต่เช้า ชิบหายยยยยย เสือกลืม เหตุผลดี ดีเหี้ยๆเรยมึง!
ไปถึง ก็มีพิธีเปิดโดยคณบดีของมหาลัยเจ้าภาพ
 แร้วก็มีการแสดงของมหาลัยกุ กับมหาลัยเจ้าภาพ
เริ่มแรกด้วยการแสดงของเจ้าภาพมาในเพลง dhoom dhoom ของ tata
มีกะเทย 2 คนออกมาเต้น พร้อมกับน้องผู้หญิงอีกคน


น้องผู้หญิงเป็นสาวลูกครึ่ง ตัวใหญ่ๆ ถึกๆ
เสียงตอแหลๆ แจ๋นๆ แปร๋นๆ
กุถามเพื่อนที่เป็นสโมฯ ฝั่งเจ้าภาพว่า "เห้ย น้องคนนี้ใครอ่ะ"
เพื่อนบอกกุว่า "อ่อน้องเอมมี่น่ะ น้องปี 2 เค้าจะดูแรงๆหน่อย
เพราะเค้าไปเรียนเมืองนอกมา ตอนแรกกุคิดว่า เป็นเด็ก AFS
ที่ไปเรียนแลกเปลี่ยนกับฝรั่ง มันแกว มะม่วง เหี้ยไรนั่นแหละ
แต่ไม่ใช่!

เชษฐ์บอกกุว่า น้องเค้าเป็นลูกครึ่ง โอ้วววว ไม่นะ อิห่านี่เนี่ยนะ
ลูกครึ่ง? เด็กลูกครึ่งในสายตากุจะต้องขาว สวย สูงโปร่ง น่ารัก
... แต่ ... อิเอมมี่ มันไม่ใช๊ ... กุไม่ได้ดูถูกคน แต่ดูท่าทางที่มันแสดงออก
โคตรตอแหล!!!!!!!
กุถามเชษฐ์ว่า "อ้าวแล้วพ่อหรือแม่เนี่ย เป็นฝรั่ง"
เชษฐ์บอกกุว่า "อ่อ พ่อเค้าเป็นฝรั่งน่ะ ส่วนแม่เค้าเป็นคนไทย เอ่อ...
แต่หน้าน้องเค้าอ่ะ จะออกไปทางแม่มากๆเลยล่ะ หน้าน้องเค้าเหมือนแม่"
ก๊ากกกกก ชิบหาย กุว่าแล้วไง ติดทางแม่เยอะไปหน่อยนี่เอง
เวลากุสั่งเชียร์อยู่ แม่งก็จะชอบเดินเข้ามาใกล้ๆ แล้วฟังพวกกุร้องเพลง
(มันเป็นพิธีกรภาคสนาม)
พอมันฟังว่าพวกกุร้องเพลงเหี้ยไรกัน มันก็ประกาศใส่ไมค์ เช่น
"อุ๊ยๆๆ ร้องบ้านทรายทองค่ะ"
"กรี๊ดๆๆ ไก่ย่างค่ะ"
ค่ะ
มึงจะบอกคณะมึงออกอากาศทำเหี้ยไรเนี่ย น้องกุร้องเพลงอยู่ดีๆเสียself เรยมึง!
ชิบหาย จะร้องเพลงเหี้ยไรทำไมต้องคอยมาสาระแนนัก
กุไม่เข้าใจว่า จะเสือกสร้นตรีนไรนักหนา กุรู้ว่าพิธีกรภาคสนามเป็นไง
แต่ไม่ต้องขนาดนี้ก็ได้ เหมือนกะว่า เออนะ ดูถูกว่าพวกกุเนี่ยนะ
ร้องเพลงกันไมได้เรื่องเรย ไม่ใหม่ ไม่เจ๋ง เหมือนของมัน เสียใจ กุเอามันส์!
กุไม่จำเป็นต้องร้องเพลงเจ๋งๆ ไพเราะเพราะพริ้ง เพราะกุต้องการ
ให้น้องกุมันได้ร้องเพลงเชียร์กีฬาที่กำลังแข่งอยู่บ้าง ก็เท่านั้น
เวลาเล่นแชร์บอล "น้องเอมมี่" เธอก็ลง ม.น ได้แต้มมากกว่าพวกกุ
ส่วนใหญ่ก็ฝีมือน้องเอมมี่ นั่นแหละ เพราะเธอ สวยถึกและบึกบึน
ตัวสูงหน่อย เพื่อนกุที่อยู่เอกคณิต ก็บอกกุว่า "เห้ยบลิวมึงไม่ลงบ้างเหรอวะ
ไปแข่งกะอิเสื้อส้ม" (อิเสื้อส้มคืออิเอมมี่)
กุบอกว่า "ไม่เอาล่ะ กุขอสั่งน้องข้างบนนี่ดีกว่า กุไม่อยากเทียบรัศมีคนสวย"
กุไม่ได้คิดดูถูกคนเรื่องสวยไม่สวย เพราะกุก็หน้าตาทุเรศเช่นกัน
เพียงแต่ว่า กุไม่ชอบที่ว่า ทำตัวแจ๋น ชอบมองคนอื่นแบบตอแหล
ขนาดกุไปนั่งกะพวกน้องๆ ปี 1 ของ ม.น น้องมันยังบอกเรยว่า
"พี่เอมมี่ เหรอ พวกนู๋ไม่ค่อยสนิทหรอกค่ะพี่ เพราะพี่เค้าไม่ค่อยยิ้มให้ใคร"
เหมือนว่า กุนี่นะ เด็กนอก เด็กลูกครึ่งนะมึ๊ง อย่าเข้ามาใกล้กุนะ
กุเด็กนอก ... แร้วไงวะ กุไม่เข้าใจ เด็กนอกนี่ กุต้องกราบเลยไม๊?
ไงมันก็คนเหมือนกันแหละวะ แต่ทำตัวดูถูกคนอื่น
คนนิสัยงี๊ รีบไปให้ไกลๆตีนกุเลยว่ะ กุโคตรเซ็ง -"-
พอการแข่งขันจบ น้องเอมมี่ดอกทองนี่ก็เดินเชิ่ดหน้า คอตรง
ออกจากสนาม ไปกะเพื่อนๆ กะเทย ที่เป็นเบ๊ มัน
(กุเดาเอา เห็นเดินตามตูดกันต้อยๆ ยังกะม๋าตามขี้)
จบงานพวกกุก็รอรถมารับ กุเอารถไปที่ ม.น กันเอง แต่ก็ยังกลับกันไม่ได้
เพราะน้องปี 1 ยังกลับไปหมด เนื่องจากรถมารับแค่คันเดียว
ส่วนอีกคัน ชิบหาย แม่งนานสัดๆ พวกน้องๆกุ
ก็เลยตีกลอง ร้องเพลง กัน ตามสันดานหน้าด้าน ที่พวกกุเสี้ยมสอนมา
เพื่อนๆที่ ม.น บอกว่า "น้องๆแกนี่ กล้าดีเนาะ ใช้ได้"
กุก็บอกว่า "เออ นึกไม่ออกเหมือนกันว่า ปี 1 มันยังขนาดนี้
พอขึ้นปี 3 เหมือนพวกชั้น ไม่รู้แม่งจะเป็นไง"
พาลทำให้นึกถึงตัวเองเหมือนกัน เพราะตอนปี 1 กุก็งี๊
พอปี 3 กุก็เป็นงี๊ แม่ง เหมือนส่องกระจกดูตัวเองเลยว่ะ ห่าเอ้ย!
เต้นแร้งเต้นกา กันอยู่นานมาก พวกที่เดินผ่านไปผ่านมา แม่งก็มอง
พวกเพื่อนๆ ม.น มันก็หัวเราะกัน แบบ ตลกที่น้องๆกุมันทั้งร้องทั้งเต้นไม่อายใคร
จนกุต้องตะโกนไปว่า "เห้ยน้องใจเย็น เก็บกดไรกันป่าวน่ะ"
พวกเพื่อนๆกุแม่งก็หัวเราะกัน ก๊าก เลย ช่างแม่งเหอะ
ในเมื่อมันไม่อาย แร้วกุจะอายทำไม ตัวมันยังไม่อาย เหอๆ
สุดท้ายรถมหาลัยก็มารับ พวกกุก็ส่งน้องขึ้นรถ
แล้วกุก็ลาเพื่อนๆ ม.น ที่ยืนส่งพวกกุ จนขี่รถ ออกจาก โดม
เสร็จสิ้นบริบูรณ์อีกหนึ่งงาน แม่งปวดเนื้อปวดตัว เต้นมันส์จัด
ไม่เต้นก็ไม่ได้ น้องร้องเพลงกันไม่ออก สาดม๋า
ลำบากกุอีก อิหัวขวด
ภาษาเหนือวันละคำ คำว่า ปั๊กกะตื่น อ่านว่า ปั๊ก - กะ - ตื่น แปลว่า ตำรา
แต่งประโยค ตุ๊ปี้คับ จ้วยเปิดปั๊กกะตื่นตั้งจื้อฮื่อลูกสาวผมจิ่มเต๊อะคับ
แปลอีกทีว่ะ หลวงพี่คับ ช่วยเปิดดูตำราตั้งชื่อให้ลูกสาวผมหน่อยเถอะคับ
ป.ล ขอบใจน้องเอมมี่ ที่ทำให้กุได้รู้ว่า เด็กลูกครึ่งใช่ว่า จะ ขาว สูง เซ็กส์ เสมอไป
ขอบใจที่ทำให้กุรู้ว่า เด็กนอกเอาขึ้นหิ้งบูชา ได้ด้วย
ระวังไว้เหอะมึง! จะโดนกุตบ ด้วย หางตา !! โฮะๆๆ
บ๊าย...บาย
นู๋บลิว เซเลอร์มูน ก๋ากั่น

วันจันทร์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2547

... แจ่ม ... นรก!

ตอนปิดเทอมช่วงซัมเมอร์ กุทำงาน คาเฟ่รอยัล
กุ อิห้อย และต้อย เป็น บัสบอย แระ บัสเกิร์ล
กุข้องใจมาก ว่าทำไมต้องเรียกว่า บัสบอย กะ บัสเกิร์ล
รู้คร่าวๆว่ามันก็คือเด็กเสิร์ฟ ที่ต้องแอคทีฟตลอดเวลา ต้องคอยเก็บ คอยเสิร์ฟ
เหมือนรถบัส แหละ อะไรประมาณนี้ กุจำมะได้แระ ช่างแม่ง! อย่าเสือกรู้อะไรมากนักเลย
ตอนไปเข้างานวันแรก กุกะต้อยไปไม่ถูก ฝ่ายบุคคลมันก็เลยพาพวกกุ
มาปล่อย (ย้ำ! มาปล่อยจริงๆ) ที่คาเฟ่ โดยที่พวกกุก็ไม่รู้ห่าไรเรย
(อิห้อยได้เข้างานก่อนหน้ากุกะต้อย แถมซัมเมอร์ที่แล้วมันก็เคยทำเรยรู้งาน)
ส่วนพวกกุสองคน ไม่รู้เหี้ยไรเรย ฝ่ายบุคคลเลยพากุไปหา ป้าแจ่
(ป้าแจ่มมีตำแหน่งเป็น ซูเปอร์ไวเซอร์ แปลว่าไรนั้น
ไปหากันเอง หาได้แล้วมาบอกกุด้วย เพราะกุก็ไม่รู้ววว)
ในสายตากุตอนนั้น ป้าแจ่มเป็น หญิงสูงวัย น่ารักมากๆ ทำตัวคิขุ กาโม่
บอกว่า "เอ้ามาเลยจ้าเด็กๆ ให้วุ้น มันสอนงานแล้วกัน เป็นเพื่อนกันไม่ใช่เหรอ"
แล้วก็ยิ้มให้พวกกุ เออ ดี ... กุกะต้อยคิดว่า ทำงานคงไม่มีปัญหาห่าเหวไรแน่ๆ
พอทำงานไปเรื่อยๆ นานเข้าๆ ป้าแจ่ม เริ่มออกลาย
ขี้บ่นชิบหาย กุไม่รู้หาเรื่องเหี้ยไรนักหนามาบ่นพวกกุ
ซึ่งพวกกุก็ไม่ได้ทำผิดสร้นตรีนไรเรย แม่งก็มาบ่น
จนบางครั้งพวกกุก็น้อยใจกัน ว่า เออนะ ห่าเย็ด กุไม่ได้ทำผิด แม่งก็มาบ่นกุด่ากุ
ที่ทำงานกุ เค้าจะแบ่งออกเป็น Station ก็จะมี Sp S2 S3 S4 ไม่มี 1
(กุบอกไว้ก่อน เผื่อควายตัวไหนเข้ามาอ่าน แร้วข้องใจว่าทำไมถึงไม่มี 1)
กุเห็นพวกพี่ๆเค้าอู้งานกันที่ S2-3 ส่วนกุทำงานอยู่ที่ Sp
ตอนเช้าๆ Sp คนยังไม่ค่อยเข้ามานั่ง กุก็เห็นว่า เออนะ จานเต็มโต๊ะ
กุไม่เห็นจะมีเหี้ยตัวไหนมาเก็บ กุเรยเสือกเข้าไปเก็บให้เค้า
เพราะถ้าขืนกุปล่อยไว้ แขกคนอื่นเค้าจะ คอมเพลน เอาได้ว่า
พนักงานไร้คุณภาพไม่จัดการโต๊ะให้สะอาด มันจะเสียหมดทุกคน
กุก็เก็บๆๆๆๆ เช็ดๆๆๆๆ อิแจ่มแจ๋ว มันเห็นกุเข้าไปเสือกมั้ง
มันเรยมาบอกกุว่า
อิแจ่ม : บลิว! เราอยู่ Station ไหนอ่ะ
นู๋บลิว : บลิวอยู่ Station p อ่ะค่ะป้า
อิแจ่ม : อ้าว แล้วนู๋มายุ่งอะไร Station 2-3 ล่ะ ไปดู Station
ของตัวเองซี่ ไม่ต้องมายุ่งStation คนอื่นเค้า
นู๋บลิว : ป้า...เมื่อกี๊จานมันเต็มโต๊ะ แล้ว Sp บลิวยังไม่มีแขกมานั่งเลย
บลิวก็เลยมาช่วยพี่เค้าเก็บ ก็เท่านั้นเอง
อิแจ่ม : ไม่ต้องมายุ่งเลย รับผิดชอบ Station ของตัวเองไปเลย
เท่านั้นแหละ กุซึมเป็นส้วมเลย กุต้องเรียกต้อยมาคุยกะกุ
ห่ามากค่ะ กุร้องไห้เลยแม่งเห้อะ ความเสือกของกุ
ที่คิดว่า เออนะ กุทำดีที่สุดแล้ว แม่งก็ยังมาว่าให้กุอีก
ทั้งๆที่กุแม่งก็ไม่อยากเสือกหรอก แต่พนักงานโรงแรม
ถ้าทำไรไม่ดี แม่งก็ต้องโดนแขกคอมเพลน แร้วใครเสีย ก็พนักงานทุกคนนั่นแหละ
แล้วก็อู้งานกันชิบหาย จะให้กุยืนอยู่เฉยๆ แม่งก็ไม่ใช่สันดาน
กุก็ต้องเข้าไปเสือกอยู่ตลอด คอยเก็บนั่นเก็บนี่ เดินขาขวิด
พออีกวันนึง มีแขกเป็นผู้หญิงมากะลูกชาย อิห่านี่กะลูกชายมัน
เรื่องมากกันโคตรๆ กุก็หมั่นไส้มากๆ ได้แต่เก็บไว้ในใจ
อินี่มันก็ถามกุว่า "น้องคะ พนักงานไปไหนกันหมดแล้วเนี่ย
ไม่เห็นมาเก็บจานโต๊ะนี้บ้างเลยเนี่ย"
(กรุณาทำเสียงกระแดะๆ เพราะมันพูดแบบตอแหลมากๆจนกุอยากเอาตรีนยัดปาก)
กุก็คิดว่า เห้ยไรวะ ด่ารึป่าว คอมเพลนเหรอ? กุคิดไปต่างๆนานา
กุก็บอกว่า "อ๋อ...พวกพี่ๆเค้าก็คอยเก็บจานอยู่มั้งคะ ไม่เป็นไรนะคะ
เดี๋ยวนู๋จะคอยมาเก็บให้ตลอดนะคะ"
แระอิเหี้ยนี่มันก็ทำหน้าตาไม่พอใจ กุก็เริ่มใจเสียแระ
ซึ่งความจริงแล้ว ที่ๆอิห่าดอกนี่นั่ง ก็ไม่ใช่ S ของกุ๊
แต่ก็ด้วยความที่กลัวว่า บริการจะไม่ประทับใจแขก
กุก็ต้องคอยเสือกข้าม Station ของกุมา เพื่อบริการแขก
เพราะไอ่ห่าพวกนั้น มันหลบไปไหนกันไม่รู้ อู้งานกันมากๆ
เออนะ
กุก็เสียใจ เศร้ามาก ก็เอาไปบอก อิแจ่ม ว่า เออ แขกเค้าว่ามา
กุทำท่าเหมือนจะร้องไห้อีก เพราะอัดอั้นมากๆ กุไม่ได้ทำเหี้ยไรผิด
แม่งก็โดนด่าๆๆๆๆๆๆๆๆ รึหน้ากุมันเหมือนส้วมก็ไม่รู้ ชิบหาย!
แม่งต้องเอาเรื่องขี้ๆ มาลงที่กุตลอด
อิแจ่มก็ถามว่า ไหน โต๊ะไหนคนไหน กุก็บอกไป
"นั่นไงเค้าเดินออกไปแล้ว เค้าเช็คบิลแล้วเดินออกไปตรงประตูแล้ว"
อิแจ่มแจ๋ว รีบวิ่งตามออกไป โอ๊ย...ประทับใจกุมากๆ
กุคิดว่า มันต้องไปขอโทษให้กุแน่ๆ กุก็เริ่มใจชื้นขึ้นมาบ้าง
พออิแจ่มแจ๋วกลับมา มันก็ยิ้มแป้น กุก็งง เอ๊ะ...อะไรของมัน
มันก็บอกว่า เนี่ยนู๋รู้มะ คนเมื่อกี๊เค้าชมนู๋น๊า ว่านู๋อ่ะขยัน
ทำงานคนเดียว แต่ขอโทษกุไม่แจ่ม ไปกะมัน
เพราะคนที่ได้หน้ามันไม่ใช่กุ๊ แต่เป็นอิแจ่ม
เพราะมันรู้จักเค้า แล้วรีบวิ่งไปเอาหน้า สาดม๋ามาก คงจะพูดว่า
ป้าเทรนด์มาเองแหละค่ะ เด็กพวกนี้ โฮะๆๆๆๆ อี ดอก!
กุกะต้อยเข้างานกันตอนเช้าๆ คิดว่าจะได้ยินเสียงสวรรค์
นรก! มาก อิแจ่มวีนแตกแต่เช้า ทั้งๆที่เป็นเรื่องเล็กๆ
พี่หนุ่ย(ผู้ชาย)ที่ทำงานกะพวกกุบอกว่า
ชิบหาย อิแจ่ม แม่ง บ่นเหี้ยไรนักหนาวะ กุอยากจะชกหน้ามันจริงๆ
หรือบางครั้ง อิแจ่มมันก็จะชอบแอบเอากาแฟที่เตรียมไว้ให้แขก
เอาไปแด่กเอง ซุ่มตั้งนาน เป็นเงาๆ กุกะต้อยก็สงสัย เอ๊ะ...
ใครมาหลบๆอยู่ตรงนั้นวะ ที่แท้ อ้อ...อิแจ่ม!
นับวัน กุกะต้อยแระอิห้อย ก็ยิ่งจะรู้สึกแย่ กะอิแจ่มนรก นี่ ทุกวันๆ
บางครั้งกุก็เอามันมานินทา หรือไม่ก็สาปแช่งกันสุดๆ
พี่กิ๊ฟเคยเล่าให้กุฟังว่า อิแจ่มหาว่าพี่กิ๊ฟอมทิป
อะไรวะ ... แก่จะตายห่า แล้วแม่งก็ยังเสือกหวงทิป
พี่กิ๊ฟก็บอกกุอีกว่า โอ๊ย...กะอิแจ่มน่ะเหรอ ใครๆเค้าก็
ไม่ใส่ใจกันหรอก สันดานมาตั้งแต่ไหนแต่ไร เค้ารู้กันหมดแล้ว
ไม่ต้องไปสนใจไรมันมาก น้องเอ้ย อยู่ไปนานๆจะรู้
เวลาแขกที่อิแจ่มมันรู้จักมา มันก็จะเข้าไปเทคแคร์
ท่านคะ ท่านขา โอ๊ย...กุว่านะ ถ้ามีคณะกรรมการตัดสินการ
ประกวดมารยาทไทยมาเห็น กุว่า เค้าคงให้คะแนนอิแจ่ม เต็ม 10
เพราะเวลาท่านของอิแจ่มจะไป หรือว่า เช็คบิลเนี่ย
อิแจ่มจะไหว้แบบกุลสตรีไทย ย่อเข่าซะเกือบติดพื้น
ก้มไหว้ซะจนลิ้นจะเลียตีนแขกอยู่แล้ว โถ...อิห่า
กุว่านะ ... มันกลับบ้านไป คงเคล็ดขัดยอกน่าดู
เพราะอายุอานามแม่งก็บ่งบอกว่าเป็นสาวแรกแย้ม
แย้มฝาโลง!
พวกกุเป็นเด็กใหม่ แม่งก็ต้องทำใจ เพราะคิดว่า
อีกไม่กี่เดือน ก็จะเปิดเทอม กุก็จะลาออก
แล้วก็จะได้ ไปไกลๆ จาก อิแจ่ม นรก! นี่ซะที
(นับวันรอเลยกุ)
ภาษาเหนือวันละคำวันนี้ คำว่า กล้องดูด อ่านว่า กล้อง - ดูด แปลว่า หลอด
แต่งประโยค ปั๊ดโธ๊ววว! กล้องดูดชาไข่มุกมันหยังมาใหญ่แต้ใหญ่ว่า
แปลอีกทีว่ะ โอ้ว....ทำไมหลอดของชาไข่มุกมันใหญ่โคตรๆขนาดนั้นวะ
บ๊าย...บาย
นู๋บลิว เซเลอร์มูน ก๋ากั่น

วันพุธที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2547

เหา

หลังจากที่พวกกุได้ไปติดต่อโรงเรียนเอาไว้ เพื่อจะไปทำการสอน ในวิชาต่างๆ
ที่แล้วแต่ว่าอาจารย์ในแต่ละสายชั้น จะมอบหมายให้
กรี๊ด ... กุชอบมาก กุได้สอนวิชาภาษาอังกฤษ
(กุก็ไม่เก่งอังกฤษเท่าไหร่หรอก แต่ก็ยังดีกว่าให้กุสอนคณิตศาสตร์ กุโง่ชิบหาย)
แต่ว่า ... กุไม่ได้เตรียมการสอนไป เพราะตอนแรกกุก็ยังไม่รู้
ว่าเด็กต้องเรียนวิชาเหี้ยไร พวกกุเรยคิดว่า จะลองมาสังเกตดูก่อน
ที่ไหนได้ พวกกุต้องลงมือสอนกันเลย อ.ที่นี่ก็ต้อนรับเป็นอย่างดี
เด็กๆนักเรียนก็น่ารัก บางครั้งก็จังไร เอ้ย! แก่แดดกันไปนิสส์
กุก็ไม่ถือหรอก เพราะกุรักเด็ก
เอาวะ ... กุกล้อมแกล้มนำเข้าเรื่อง โดยการถามเกี่ยวกับ
วันลอยกระทง เป็นภาษาอังกฤษ และสอนพวกกริยา 3 ช่อง
กร๊ากกกกกกกกกกก กุก็สอนแบบยกตัวอย่างไปนิดหน่อย
เด็กผู้ชายที่นี่ จะแก่นและแก่แดดกันนิด แต่ก็โอเค
เด็กผู้หญิงก็น่ารัก ให้ความร่วมมือดี
กุสอนป.6มีนักเรียนเรียนร่วม 4 คน ที่เป็นเด็ก L.D
L.D แปลว่าอะไรนั้น ไปหาความหมายเอาเอง กุขี้เกียจอธิบาย ว่ะ
... แต่ ...
เด็กผู้หญิงคนนึง "คุณครูขา ... นู๋จองคุณครูคนนี้แล้วนะ"
พูดอย่างเดียว มันคงจะไม่สะแด่ว
อินู๋คนนี้ ก็วิ่งมากอดกุ ฟัดกุอยู่พักนึง
กรี๊ดดดดดดด อิชิบหาย ตกใจมาก
หัวอินู๋ มีแต่ไข่เหา!!! โอ้ว...สุดตีนค่ะ
กุรักเด็กนะ แต่กุไม่ได้รักเหา - -"
อินู๋ห่านี่ แม่งก็กระชากลากถู กุ ไม่ยอมปล่อย ลากกุจะให้ไปสอนห้องมัน
แต่กุไปสอนมะได้ กุต้องสอนห้องที่กุต้องรับผิดชอบ
กุไม่ได้ว่าอะไรที่เด็กมันเข้ามากอดรัดฟัดเหวี่ยงกุ
แต่ ... กุกลัวติดเหา ... เวลามันเอาหัวที่เต็มไปด้วยตัวอ่อน
ของอิเหาห่านี่มาใกล้หัวกุ กุก็จะทำเป็นเบี่ยงตัว
ออกอีกด้านนึง (ทำเป็นหาสิ่งเร้าความสนใจของเด็กในเรื่องอื่นจะได้เอาหัวหลบทัน)
กุบอกแล้วไงกุไม่ได้เกลียดเด็ก
แต่กุขี้เกียจต้อนรับเหาเข้ามารู้จักชีวิตในรั้วมหาลัยของกุ
สมัยกุเด็กๆ กุก็เคยเป็นเหา
จะว่าไปแล้ว เด็กผู้หญิงกับเหา แม่งมันต้องเป็น เนื้อคู่ กันแน่ๆ
กุไม่เคยเห็นว่า เด็กผู้หญิงคนไหน จะไม่มีประสบการณ์ การเป็นเหา
ถ้าใครไม่เคยเป็น จะถือว่ามึงเป็นคนที่เชยมาก ๆ
ที่ไม่เคยมีเหา เป็นของตัวเอง เวลาเพื่อนคุยกันเรื่องเหา
ก็จะไม่มีเพื่อนร่วมกลุ่ม เพราะไม่เคยเป็นเหา
ฉะนั้น ... ใครไม่เคยเป็น มึงพึงสังวรณ์ไว้ ว่ามึงน่ะ "เชย"
เหา อยู่คู่เรามาตั้งแต่ตอนไหน กุไม่รู้วววว
กุรู้แค่ว่า สมัยที่กุเคย เป็นคู่รัก คู่เดท ของเหามาก่อน
กุบอกได้แค่ว่า มันคันชิบหายยยยยยยยย
คันหัวตลอดต้องเกาหัว แกรกๆ จนหัวเป็นแผล ทรมานสัดๆ
ลักษณะของเหาที่กุเคยเจอ แบ่งแย่งประเภทได้ดังนี้
1. ไข่น้อยๆสีน้ำตาลที่ชอบติดอยู่ตรงเส้นผม เส้นต่อเส้น
เวลาที่ รูด (เห้ย ไข่เหานี่เวลาจะเอามากำจัด เค้าเรียก รูดไข่เหา นะ)
ไข่เหาออกมาแล้ววางในที่ที่เหมาะสม ใช้เล็บของเรา
ที่เป็นสมาชิกของหัวแม่โป้งมือเราน่ะ กำจัดมันให้ตาย
เสียงของมันไพเราะมาก "แต๊บ!" "แปร๊บ" สุดแร้วแต่ว่าใครจะเสือกได้ยินว่าไง
2. ลิตเติ้ลเหา ลักษณะมันจะตัวน้อยๆ จ้อยๆ สีน้ำตาล
มีความคล่องตัวสูง วิ่งได้เร็ว อาศัยอยู่ตามหนังศีรษะ
และจะกลมกลืนกับเส้นผมได้ รู้จักการหลบหลีก ต้องคอยแหวกเส้นผมออก
ถึงจะได้เจอ แม่ง
3. อิตัวใหญ่ หรือ โคตรเหา แม่ง อิห่านี่ตัวแม่งจะเขื่องๆ
สีดำมัน และกลมกลืนกับเส้นผมเช่นเดียวกันกับ ลิตเติ้ลเหา
แทบจะแยกไม่ออก ยิ่งกว่าอิตัวลูก
วิธีสังเกตว่า เหาตัวไหนตะกละที่สุด คือ
ตัวไหนที่มีสีดำ เงางามที่สุด ตัวนั้นแหละ แด่กเลือดกุไปนักต่อนักแระ
วิธี ค้นหา อิเหาเหี้ยนี่ คือ
หวีเสนียด จัญไร อะไรนั่นแหละ ที่เค้าเรียกๆกันน่ะ
สางมันไปเหอะ สางๆๆๆๆๆๆๆ ถ้ามีเยอะ แม่งก็จะเจอเยอะหน่อย
ถ้ามีน้อย มึงสางไปเหอะ สางจนหัวแทบจะหลุด
ก็จะเจอซักตัว 2 ตัว พอได้ประทังชีวิต เอ้ย! ให้ได้กำจัด
วิธีการรักษา และกำจัด
กุลองหมดทุกวิธีแระไม่ว่าจะเป็น
น้ำมันก๊าช ผสม ใบน้อยหน่า โขลกผสมกัน แล้วเอามาหมักหัว
เหม็นชิบหายยย แต่ต้องทน เพราะอยากให้อิเหาสัดดอกนี่ หมดไป
หรือว่า อาจจะใช้หวีเสนียด สางๆๆ เข้าไป แต่ก็เมื่อยแขนชิบหาย
เพราะสางอยู่นั่น กว่าจะหลุดออกมาได้ซักตัว เลือดตาแทบกระเด็น
แต่การรักษาห่าดอกนี่ก็ไม่เป็นผลสำหรับกุเลย กุไม่หาย!!
มีคนเค้าเคยบอกว่า การที่จะกำจัดเหาได้ชะงัดที่สุด
คือ "โกนหัว" แม่งเลย ทนอายเพื่อนนิดหน่อย แต่หาย!
แต่กุคงไม่ทำเหี้ยไรอย่างนั้นแน่นอน หน้ากุตอนเด็กๆยังไม่ด้านพอ
กุเลยต้องทนคันหัว มาตลอด
แต่กุก็ไม่เข้าใจว่า อิเหาเหี้ยนี่ มันหมดไปตั้งแต่เมื่อไหร่
โดยที่กุไม่ทันจะรู้ตัวเลยซักนิด
อิห่าคิดจะมาก็มา คิดจะไปก็ไป ไม่ร่ำไม่ลา
เห็นกุเป็นอะไร ไม่นึกถึงบุญคุณที่กุเคยชุบเลี้ยงซักนิด
อิเหาอกตัญญู!
ถึงตอนนี้ กุก็ไม่เคยได้ใช้ชีวิตร่วมกับเหาอีกเลย
แต่กุกลัวว่า อินู๋หลายๆคน มันจะไม่ปล่อยกุง่ายๆ
กุกลัวว่า กอดรัดฟัดเหวี่ยงกันไปแบบนี้ ตลอด
มีหวัง กุคงได้จับมือทำความรู้จักกับ "เหา" อีกครั้ง
พิมพ์ไปพิมพ์มา กุก็คันหัวชิบหาย
หวังว่า กุคงไม่ได้เป็นผู้รับอุปการะชุบเลี้ยง อิเหาเหี้ยนี่ อีกนะ
ขอเป็นกำลังใจให้คนเป็นเหาทุกคน ถ้าโตขึ้น อิเหาห่านี่ ก็จะหมดไปเอง
กุคิดว่างั้นนะ - -!
(วิธีนึงที่กุเคยคิดเล่นๆคือ ไปนั่งให้ลิงมันหาเหาให้
เพราะกุเคยเห็นพวกมันหาเห็บแด่ก กุเรยคิดว่า ถ้าให้หาเหานี่คงเวิร์ค
รับเป็นอาชีพเสริมได้สบาย ถ้ามันไม่ปู้ยี่ปู้ยำกุไปซะก่อน)
ภาษาเหนือวันละคำ คำว่า เกิบ อ่านว่า เกิบ แปลว่า รองเท้า
แต่งประโยค ป้อซื่อเกิบมาฮื่อน่องตัง งามไบ้งามง่าว
แปลอีกทีว่ะ พ่อซื้อรองเท้ามาให้น้องตัง สวยโคตรๆเลยแม่ง
บ๊าย...บาย
นู๋บลิว เซเลอร์มูน ก๋ากั่น
ป.ล กุไม่ได้เกลียดเด็กจริงๆนะ แต่กุเกลียดเหา สาบาน!

วันอังคารที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2547

คนขายจิตวิญญาณ

ใครคือคนตาบอด ?
หากท่านไม่เห็นคนเป็นคน
แต่เห็นเพียงความพิการ
ใครล่ะที่ตาบอด
หากท่านไม่ได้ยิน
เพื่อร้องขอความเป็นธรรม
ใครล่ะที่หูหนวก
หากท่านไม่พูดคุย
กับผองน้องพี่
แต่แยกเขาแยกเรา
ใครล่ะที่ปัญญาอ่อน
หากท่านไม่ลุกขึ้นยืดหยัด
เพื่อสิทธิของปวงชน
ใครล่ะที่เป็นง่อย
เจตคติของท่าน
ที่มีต่อคนพิการ
อาจเป็นความพิการรุนแรงที่สุด
ที่ท่านหยิบยื่นให้เขา
โดย ... Tone Wone (กวีพิการชาวอัฟริกัน)
ข้อความทั้งหมดนี้อยู่ในสมุดที่อาจารย์ต้องแจกให้พวกเอกกุทุกๆปี
เป็นสมุดของเอกการศึกษาพิเศษโดยเฉพาะ
ข้อความนี้บาดลึกกินใจกุมาก อ่านแล้วกุพูดไม่ออก
ได้แต่นิ่งเงียบ ปล่อยความคิดให้ล่องลอย ไปตามข้อความที่กุได้อ่านทุกครั้ง
ครั้งนี้กุหยิบสมุดขึ้นมาเพื่อจดงาน พอกุปิดสมุดพลิกกลับมาดู
ด้านหลัง กุก็อดไม่ได้ที่จะอ่านข้อความนี้อีก
ประจวบเหมาะกับมีเหตุการณ์ที่ทำให้กุได้คิดตามข้อความนี้
ตามที่อาจารย์ประจำชั้นของพวกกุ
ได้ให้พวกกุไปติดต่อขอทดลองสอน ในโรงเรียน เรียนร่วมต่างๆ
เพราะเป็นชั่วโมงที่กุต้องเรียนกะอาจารย์ แต่อาจารย์
อยากให้พวกกุมีประสบการณ์ การสอนก่อนไปฝึกสอนจริงในปีหน้า
กลุ่มของกุไม่มีปัญหาอะไรมากนัก ถือว่าโรงเรียนยินยอม
อาทิตย์ก่อน หนุงหนิง ได้เล่าให้กุฟังว่า
หนิงไปติดต่อโรงเรียนวัดคูหาสวรรค์กับเพื่อนๆอีกกลุ่มนึง
รู้สึกแย่กับพฤติกรรมของคนที่เรียกตัวเองว่า "ครู"
หนิงบอกว่า ครูไม่ให้ความร่วมมือกับนักศึกษาเลย
ไม่ว่าจะถาม จะติดต่ออะไร ก็รู้สึกแย่ไปหมดทุกอย่าง
ถ้าไม่อยากให้มาสอน ก็น่าจะปฏิเสธกันตั้งแต่แรก
และหนิงก็เล่าเหตุการณ์ที่กุคิดว่ามันเลวที่สุด ในจรรยาบรรณของความเป็นครู
อิครูคนนั้นถามพวกหนิงว่า ในนี้น่ะ ไม่รู้หรอกว่า ใครกันบ้าง
ที่เป็นเด็กพิเศษ มีให้สอนก็สอนไป ไม่อยากจะถามเด็กหรือตรวจสอบอะไรมาก
ปกติแล้ว เด็กพิการ หรือเด็กพิเศษในประเภทต่างๆนั้น
จะมีงบ ให้ 2,000 บาท (เป็นคูปองไม่ใช่เงินสดนะ) สำหรับซื้อสื่ออุปกรณ์
ในการเรียน ซึ่งให้ครูเป็นผู้รับผิดชอบ
เมื่อหนิงไปติดต่อ จู่ๆ ครูก็บอกว่า เออ ดี!! จะได้ ได้เงิน อิสัด!
หมายความว่าไง กุไม่เข้าใจเหมือนกันว่า
อิครูห่านี่ จิตใจมันทำด้วยอะไร
ไอ่ที่มันมาสอนอยู่ทุกๆวันนี่ มันไม่ใช่ผู้ประสิทธิ์ ประสาทวิชา
ให้แก่เด็ก คำว่าครูมันเป็นแค่คำเรียกเพียงเท่านั้น
ในความคิดกุ มันไม่ใช่ครู มันเป็นแค่ผู้สอน
คำว่าครูมันยิ่งใหญ่ และไกลเกินไป สำหรับมัน
เพื่อนบางกลุ่มมาเล่าให้กุฟังเช่นเดียวกันว่า
ไม่ให้การต้อนรับเลย แล้วก็บอกคล้ายๆกันว่า ไม่อยากจะค้นหาเด็ก
ว่าเด็กคนไหนเป็นเด็กพิเศษบ้าง เพราะขี้เกียจ
ไม่น่าให้เด็กพิเศษมาเรียนร่วมกับเด็กปกติเลย
เพราะเป็นภาระ และทำให้เหนื่อยเพิ่มมากขึ้น นี่หรือครู!!
กุไม่เข้าใจว่า แค่มาสอนแล้วรับเงินเดือน เท่านั้นเหรอ?
คนที่จะเป็นครู มันต้องเป็นทั้งกายและใจ ต้องมีจิตวิญญาณความเป็นครู
ไม่ใช่คนที่เห็นแก่ได้ หรือเห็นแก่ความสบายของตัวเอง
เมื่อเด็กมีปัญหา ครูต้องพร้อมเสมอที่จะช่วยเหลือ
ต้องมีความเสียสละ เพื่อให้เด็ก ได้มีความรู้
ไม่ใช่แค่เพียง วันนี้กุมาสอนแล้วนะ มึงจะได้วิชาห่าไร กุไม่สน
กุแค่มาเซ็นชื่อตอนเช้าว่ากุมา กลางวันกุก็แด่กข้าว ส่วนตอนเย็น
เลิกเรียน ปุ๊บ กุก็เซ็นชื่อกลับบ้านปั๊บ
กุไม่เข้าใจว่า ทุกวันนี้ มันเป็นเหี้ยอะไรกันหมด
การศึกษา ของเด็กไม่พัฒนา ประเทศชาติก็ไม่เจริญก้าวหน้า
แค่รัฐบาลแม่งก็โกงกินกันจะแย่แระ คนที่คอยแต้มสี
ให้กับผ้าขาว มันยังไม่มีคุณธรรม จริยธรรมเลย
ต่อไป เยาวชน จะเติบโต และพัฒนาได้ยังไง กุนึกภาพไม่ออก
กุไม่ชอบที่กุเห็นคนเป็นครู แล้วทำตัวเหี้ยๆแบบนี้ เห็นแก่ได้
อะไรที่ไม่ใช่ผลประโยชน์กับตัวเอง แม่งก็ไม่ทำ ไม่ใช่เรื่องของกุ
สิ่งที่ทำให้กุมาเรียนครู เพราะกุได้รับแรงบันดาลใจจากพ่อกับแม่
กุอยากทำให้ได้อย่างพ่อกับแม่
กุรับการปลูกฝังจากพ่อแม่ โดยที่เค้าไม่ต้องพูดออกมา
แต่เค้าปลูกฝังให้กุได้เห็นว่า คำว่า "ครู" นั้น มันยิ่งใหญ่แค่ไหน
กุเห็นพ่อกับแม่ของกุ กลับบ้านกันดึกดื่น
ทำงานที่โรงเรียน เป็นภารโรงถึงผู้อำนวยการ
(พ่อกับแม่กุอยู่โรงเรียนเดียวกัน)
โรงเรียนของพ่อกับแม่กุ มีครูอยู่ 4 คน (เป็นโรงเรียนบ้านนอกไกลอำเภอเมือง)
บ้านกุอยู่อำเภอเมือง พ่อแม่ต้องขับรถไปสอนเด็กที่บางระกำ
ใช้เวลาจากบ้านไปถึงโรงเรียน ก็ 2 ชั่วโมง ประมาณนั้น
โรงเรียนมีนักเรียน ชั้นอนุบาล ถึงป.6
(แต่ตอนที่กุยังเล็กๆ เค้าไม่ได้สอนโรงเรียนนี้ เค้าสอนอีกที่นึง)
ผลจากการที่พ่อแม่ของกุมีความเป็นครูอยู่ในจิตวิญญาณ
ชาวบ้านทุกคนต่างก็รักพ่อแม่กุ ไม่ว่าผู้ปกครองของเด็ก
จะเชิญให้ไปไหน พ่อกับแม่กุ ว่างหรือไม่ว่างก็ต้องไป
บางครั้งต้องทำงานที่โรงเรียน จนต้องหอบเสื้อผ้า ที่นอน หมอน มุ้ง
ไปนอนที่โรงเรียน เวลาน้ำท่วมโรงเรียน ชาวบ้านหาปลาได้
ก็จะแบ่งตัวโตๆที่สุด แอบเอามาให้พ่อกะแม่กุ
โดยที่ครูคนอื่น ได้แค่ปลาตัวเล็กๆ
แม่กุเคยพูดว่า แม่จะไม่ลืมบุญคุณของชาวบ้าน ที่ดีแบบนี้เลยในชีวิต
ไม่ใช่ว่ากุชมครอบครัวตัวเองแต่กุคิด และเปรียบเทียบ
กันกับคนที่เป็นครู อยู่ในเมือง สะดวกสบาย
แต่กลับให้ความหมายคำว่า "ครู" ที่เหมือนมีแค่ป้ายเอาไว้แขวนคอ
กุเรียกคนประเภทนี้ว่า "คนขายจิตวิญญาณ"
ครูห่าซึ่งไม่ได้ทุ่มเทเหี้ยไรเลยแก่เด็ก เป็นแค่ผู้มาสอน
ในสิ่งที่หลักสูตรได้ระบุเอาไว้ว่าเด็กต้องเรียนอะไรในแต่ละชั้นปี
แค่นี้ใช่ไม๊? การที่จะทำให้เด็กในประเทศเจริญต่อไป
ยิ่งเป็นเด็กพิเศษด้วยแล้ว ไม่ต้องพูดถึงว่า การดูแล
จากคนขายจิตวิญญาณพวกนี้ จะเป็นยังไง
กุไม่ต้องการให้เด็กๆผิดหวัง และรู้สึกแย่
เมื่อเจอกับคนประเภทนี้
เด็กไม่มีการพัฒนาการในด้านต่างๆตามศักยภาพได้เลย
คนเหี้ยๆ แบบนี้ กุขอให้มันตกนรก กุขอให้มันทำเหี้ยไร ก็ไม่ขึ้น
กุขอให้มัน ได้รับกรรมที่มันได้ทำกับเด็กตาดำๆ
เด็กๆที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ เด็กที่รอการขัดเกลา
ที่ถูกต้องจากคนที่มีจิตวิญญาณความเป็นครู
ไม่ใช่อิงี่เง่าห่าลากที่ไหนไม่รู้ ทำเพื่อตัวเอง ไม่มีความรัก
ความเมตตา กรุณา และคิดแค่ คำว่าครู คือสอนแล้วรอคอยเงินเดือน!
กุล่ะเซ็ง ... เถลิงประเทศชาติไทยทวี มีตังค์ ไชโย!
ภาษาเหนือวันละคำวันนี้ คำว่า ละอ่อน อ่านว่า ละอ่อน แปลว่า เด็ก หรือ เรียกวัยที่อ่อนกว่า
แต่งประโยค วันนี่ฮาหันละอ่อนอนุบาลวิ่งเล่นกั๋น น่าฮักดี
แปลอีกทีว่ะ วันนี้กุเห็นเด็กอนุบาลมันวิ่งเล่นกัน แม่งน่ารักดีว่ะ
บ๊าย...บาย
นู๋บลิว เซเลอร์มูน ก๋ากั่น
ป.ล กุแค้นมานานแร้ว แต่ไม่รู้จะระบายยังไงดี เยะเป็ด! เชี่ยๆๆๆ

วันจันทร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2547

ลิฟท์ Vol.2

ในชีวิตกุ ครั้งแรกที่กุได้ทำงาน เป็นจริงเป็นจังกะเค้าขึ้นมา
งานนึง ก็เป็นช่วงปิดเทอมใหญ่ที่ผ่านมา ใครไม่รู้ว่า ปิดเทอมใหญ่
คือเดือนอะไร ก็ไม่ต้องเสือกถามกุนะถ้าอยากรู้มึงไปค้นคว้าเอาเองแล้วกัน
กุขี้เกียจอธิบายเข้าเรื่อง ... กุและเพื่อนๆไปสมัครทำงานช่วง
ปิดเทอมใหญ่ ที่โรงแรมท็อปแลนด์มี กุ อิห้อย ต้อย และ รุ่ง
กุ อิห้อย และต้อย ได้ทำงานที่ คาเฟ่รอยัล (cafe royal)
ส่วนรุ่ง ก็ทำงานที่ ร้านระเบียงไม้ อยู่ส่วนของห้าง
ซึ่งคนละส่วนกะพวกกุพวกกุทำงานเกี่ยวกับห้องอาหารซึ่งเป็นแบบ buffet
อ่า ใครไม่เข้าใจคำว่า buffet บ้างคะ? เอ่อ...buffet นี่ก็คือการทานอาหาร
แบบไม่จำกัด มึงอยากตักเหี้ยไร ตัก อยากแด่กเหี้ยไร แด่ก
แต่เวลาจ่ายเงิน ก็แล้วแต่ว่า เค้ากำหนดให้จ่ายเท่าไหร่
ไม่เกี่ยงว่าจะ ตะกละตะกลามแค่ไหนเราจะไม่ว่าคุณไงคะ
แค่นี้เข้าใจรึยังคะ อิควายยยยยยยยยย
พวกกุทำงานกันด้วยความตั้งใจ บางครั้งพวกกุก็ท้อแท้
เพราะเพื่อนร่วมงานที่เป็นพนักงานประจำ
เห็นเด็กพาร์สไทม์อย่างพวกกุขยันทำงานกัน
พวกมันก็อู้งานกันเป็นประจำทำให้พวกกุต้องเหนื่อยกันชิบหาย
อิสัดดอก บางครั้งพวกกุก็จับกลุ่มนินทาพวกมันกัน เพราะสุดจะทน
เมื่อทำงานกันไปได้ช่วงระยะนึง พี่แอน (ผู้ชายนะ) หัวหน้าของพวกกุ
ก็บอกให้กุกะอิห้อย ขึ้นไปช่วยงานพวก Banquet
ใครไม่รู้จัก Banquet? โง่จริงๆนะ มากุแปลให้ ก็พวกเด็กจัดเลี้ยงนั่นแหละ
เพราะเค้ามีประชุมกัน พวกพี่ๆก็ต้องจัดโต๊ะให้คนที่มาประชุม
นั่งแด่กข้าวกัน ตอนแรกกุว่าจะขึ้นลิฟท์ของทางโรงแรม
ที่จัดไว้สำหรับพนักงานเท่านั้น (โรงแรมห้ามพนักงานใช้ลิฟท์ของแขก)
กุก็กำลังจะเดินไปกดลิฟท์ อิห้อยก็มาคว้าแขนกุไว้
แระมันก็บอกกุว่า เห้ยอิบลิว กุจะพามึงไปอีกที่นึง
กุก็งงว่า เห้ย มันจะพากุไปไหนวะ แต่ก็เดินๆตามมันไป
ระหว่างทาง มันก็บอกกะกุว่า เนี่ย ในห้องครัวนะมึงมีลิฟท์อีกตัวนึง
มึงยังไม่เคยขึ้นล่ะสิ มาๆ มากะกุนี่ กุจะพามึงขึ้นเอง
ตอนนั้นกุก็คิดว่ามันอำรึป่าววะหน้าตาแม่งเชื่อถือไม่ได้ด้วย
กุก็ถามมันว่า เห้ย ไรวะ มีลิฟท์ในห้องครัวด้วยเหรอ
(ไม่นับลิฟท์ขนอาหารนะ เพราะอันนี้กุรู้แร้วว่ามันต้องมี)
มันก็บอกกุว่า เห้ยมีเด้ ลิฟท์ขนคนเนี่ยแหละ แต่มันอยู่ในห้องครัว
พอกุเข้าไปในห้องครัว พวกพี่ๆที่เป็นพวกกุ๊กที่อยู่ในห้องครัว
แม่งก็ปากมาก แซวกุ เพราะถือว่าเป็นนักศึกษาตัวเมียที่พึ่งเข้าทำงาน
มันก็เรยเป็นอาการปกติของที่ตัวผู้ที่มะค่อยได้เจอเด็กใหม่ๆ
ซึ่งกุก็ไม่ได้คิดไร คิดซะว่า กุไม่น่าเดินเข้ามาเรย
เพราะกุเป็นคนขี้อาย!
ไม่รอช้า กุกะอิห้อยก็รีบผลุบตัวเข้าไปในลิฟท์ ทันที! ก็บอกแล้วไง
ว่ากุทนเค้าแซวไม่ได้ กุขี้อาย!
บรรยากาศในลิฟท์เหี้ยนี่ แม่งมีแต่กลิ่นอาหาร เพราะมันเป็นลิฟท์
สำหรับคนครัวขึ้นลงเพื่อไปทำอาหารในแต่ละชั้น
อิห้อยบอกกุว่า เห้ย แม่งเหม็นว่ะ มีแต่กลิ่นอาหารว่ะ
กุว่าเปิดพัดลมดีไม๊? กุก็บอกว่า เห้ย มึงไม่ต้องกดเหี้ยไรหรอก
กุแม่งกลัวลิฟท์ค้างว่ะ อิหัวขวด ไม่ทันซะแร้ว ก่อนกุพูดจบด้วยซ้ำ
อิห้อยแม่งเสือกไปกดปุ่มเหี้ยไม่รู้ ที่คิดว่า เป็นปุ่มพัดลม
จู่ๆ ไฟในลิฟท์ทำท่าจะดับ และปุ่มกดชั้นที่มันมีตัวเลขบอกชั้น
ที่เท่าไหร่น่ะกลายเป็นไฟแว๊บๆ ถ้าเคยดูเกมโชว์ทางทีวี
แม่งก็จะเข้าใจว่าเวลาไฟที่พวกดารามันกดน่ะ มันกระพริบแว๊บขึ้นๆลงๆ
เป็นยังไง ชิบหายแร้วกุ เกิดอะไรขึ้น
ตึ้ง!!!! เสียงลิฟท์ดัง เห้ย แม่งอิเหี้ย ไฟดับหมดเลย
พัดลงพัดลมสัดดอกไรก็ดับหมด นี่มันคืออาการลิฟท์มันค้างใช่ไม๊
โอ่ย...กุแระอิห้อย ตกใจกันชิบหาย
มองหน้ากันเลิ่กลั่ก แง้ๆๆๆๆ กุร้องไห้เลยคนแรก ก่อนที่จะทำอะไร
ด้วยความตกใจ อิสาดในใจกุคิดว่า ชิบหาย ทำไมกุจะตายในนี้
ใช่ไม๊? ทำไมกุไม่ตายดีๆหน่อยกุไม่อยากขาดอากาศหายใจว้อย
กุนึกถึงในหนังได้ว่า ถ้าลิฟท์ค้างในรีบนั่งลง จะได้มีอากาศหายใจ
กุก็บอกให้อิห้อยว่า มึงอ่ะ นั่งลงสิวะ อิสัดม๋า มึงจะยืนทำเหี้ยไร
อิห้อยหัวขวดนี่ มันก็ไม่ยอมนั่งลง แต่ตอนนั้นมันเก๊กแมนเต็มที่
อิห้อย : ปั้งๆๆๆๆ (ทุบประตูลิฟท์) ช่วยด้วยคับๆๆๆ ลิฟท์ค้างคับ ช่วยด้วยๆๆๆ
(ช่วยทำเสียงแบบเก๊กแมนเต็มที่ จะได้อรรถรสมากๆ)
กุ : แง้ๆๆ ช่วยด๊วยยยยยยยย ลิฟท์ค้างค่า แง้ๆๆๆ (กุนั่งร้องไห้อย่างเดียว)
เรียกกันอยู่นานสองนาน กุได้ยินเสียงคนข้างนอกพูดว่า
เห้ยๆๆ ลิฟท์ค้างโว้ยๆๆๆ กรี๊ดดดด กุจะดีใจ ดีไม๊ เค้าจะรู้ไม๊ว่า
พวกกุอยู่ชั้นไหนกัน แล้วเค้าจะมาช่วยกุทันไม๊
กุไม่รู้จะคิดเหี้ยไรแร้ว เพราะตอนนั้น กุตกใจสุดขีด สุดตรีนจริงๆ
กุไม่รู้ว่า นานเท่าไหร่ที่กุนั่งร้องไห้ แล้วใจก็คิดไปต่างๆนานา
กุกลัวจริงๆ เพราะเกิดมา กุแม่งก็ไม่เคยติดอยู่ในลิฟท์ เลย
ครั้งแรกที่กุเจอกับตัวเอง ทำให้กุแย่มากๆ แย่เหี้ยๆเลย
สุดท้าย กุได้ยินเสียงคนข้างนอก ดัง เออๆๆ รู้แล้วๆๆ กำลังช่วยอยู่ๆ
อิสาดดดดด แม่งเห้อะ กุดีใจมาก กุไม่ตายแร้ว เค้ามาช่วยแร้ว
ซักพัก ประตูลิฟท์ก็เปิดออก เย้ๆๆๆๆ กุไม่ตายแล๊ววววว
คนมาช่วย คือ ร.ป.ภ 2 คน คนนึงแก่ อีกคนนึงยังเป็นหนุ่มอยู่
กุรีบยกมือไหว้งามๆ งามที่สุดเท่าที่กุคิดว่ามันงามแล้ว
เพื่อขอบคุณเค้าที่เค้ามาช่วยชีวิตกุแระอิห้อย
และกุก็รีบวิ่งขึ้นไปเล่าให้พวกพี่ๆจัดเลี้ยงฟัง พวกพี่ๆบอกว่า
เห้ย พี่ไม่เคยเห็นใครตายเพราะติดลิฟท์มาก่อนเลยนะ
โหย...ถ้าใครเป็นอย่างกุแม่งจะรู้สึก ว่า อากาศแม่งก็เหี้ยตั้งแต่แรกแล้ว
แระยังเสือกติดอยู่ในนั้น โดยไม่มีอากาศถ่ายเทเลย สมองจะสั่งการทันทีว่า
นี่กุต้องมาตายในนี้ใช่ไม๊
เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องโจ๊กไปเลยสำหรับพวกที่รู้ข่าว
กุกะอิห้อยอายชิบหาย อายสุดๆ และเป็นอุทาหรณ์ให้กุกะอิห้อยว่า
กุจะไม่ขึ้นลิฟท์เหี้ยนี่อีกเรย ส่วน ร.ป.ภ 2 คนที่มาช่วยกุ
ไม่ว่ากุเจอเค้าที่ไหน กุจะยกมือไหว้เค้า
พร้อมทั้งเรียกเค้าว่า คุณลุงผู้มีพระคุณ และ คุณพี่ผู้มีพระคุณ
เวลากุอยู่กะเพื่อนๆ กุจะบอกเพื่อนๆว่า เห้ยเนี่ยแหละ ผู้มีพระคุณของกุ
กุมารู้ทีหลังว่า ลิฟท์วิปโยคนี่ มันชื่อ "ลิฟท์กวางเจา"
และอิลิฟท์เหี้ยนี่ มันก็ค้างบ่อยๆด้วย ซึ่งพวกกุเป็นเด็กใหม่กัน
ไม่รู้ห่าไรเลย ไม่มีใครบอกด้วย แม่ง ซวยๆๆๆชิบหาย
เกือบจะเป็น "ลิฟท์กวางเจา เผากุ" ซะแล้ว
ภาษาเหนือวันละคำวันนี้ คำว่า หนาน อ่านว่า หนาน แปลว่า บุคคลที่ได้บวชเป็นพระมาแล้ว (ทิด)
แต่งประโยค ว่าจะไดปี้หนานจัย ไปเจียงใหม่ม่วนก่อคับ
แปลอีกทีว่ะ ว่าไงพี่ทิดชัย ไม่เชียงใหม่มา สนุกดีไม๊คับ
ป.ล ขอบใจภาพประกอบอภินันทนาการจากไอ่ห่าบิว Begin
ขอบคุณพี่แอนนี่ ศรีอิสาน ที่กรุณาสอนกุเรื่องโพสรูป
ขอบคุณคุณลุงและคุณพี่ ร.ป.ภ ที่มาช่วยพวกกุ รอดตาย มาปากม๋าได้ ถึงทุกวันนี้
บ๊าย...บาย
นู๋บลิว เซเลอร์มูน ก๋ากั่น