วันอังคารที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2548

เพียงชายคนนี้ ... ที่พิเศษ


โอ๊ะ ... วันนี้กุตื่นมาด้วยความเมื่อยล้า
ก็จะทำไงได้วะ เมื่อคืนกุเล่นกลัวผีซะหมดทั้งคืน
กุเรยมานอนได้อิตอนเช้า
กร๊ากกก
หน้าเหี้ยๆ ก็ยังเสือกกลัวผีอีก ตอนแรกคิดไว้ว่า
วันนี้กุจะตื่นมาไหว้พ่อแบบสวยๆ แต่ไม่ทัน
พ่อก่าแม่กุไปร่วมพิธีถวายพระพรตั้งแต่เช้าตรู่
ขนาดอิโบว์น้องกุมันยังบอกว่า วันนี้พ่อกะแม่ไปกันเช้าแสดด
มันก็ไม่ทันเช่นกัน ก๊าก สมหน้ามึง
ตื่นก่อนแต่เสือกบ่ได้กราบตรีนพ่อ คริ คริ คริ
( จริงๆแร้ว กุสันดานกว่าแต่เสือกสมหน้าคนอื่นอีก )
กุคิดว่าวันนี้พ่อก่าแม่ต้องใส่ชุดปกติขาวไปแน่ๆ
ชุดปกติขาวคือความใฝ่ฝันของกุเพราะมันเท่ห์แสดๆเรย
ในความรู้สึกของกุ นี่คืออีกเหตุผลนึง
ที่กุอยากเป็นข้าราชการเพราะกุอยากใส่ชุดปกติขาว
อย่างพ่อกะแม่บ้าง
( แต่คงบ่มีปัญญา กุโง่ จะสอบบรรจุได้เป่าบ่ฮู้ )
แต่กว่าพ่อกุจะได้ใส่ชุดเท่ห์ๆแบบนี้ได้
พ่อกุก็ต้องฟันฝ่าอุปสรรคมานักต่อนัก ครอบครัวของพ่อและแม่กุ
บ่ได้สวยเริ่ดหรู ฟู่ฟ่า ไฮโซ โอ้ว ... ลัลล้า
เหมือนครอบครัวบางครอบครัว
ปู่ย่าตายายของกุ ล้วนแล้วแต่เป็นชาวนาทั้งสิ้น
ทำนากันไปเหอะ หลังขดหลังแข็งก็ต้องทำ
ย่ามีลูกทั้งหมด 6 คน ตายในท้อง 1 คน ตายตอนเด็กๆ
ด้วยโรคคอตีบอีก 1 คน น่าสงสารชิบหายเรย
ถ้ากุอยู่ในเหตุการณ์นั้นกุต้องร้องไห้แน่ๆ
เด็กดิ้นพราดๆไม่มีใครช่วยอะไรได้เรย รันทดโว้ย
อ้ากกกกกก
พ่อเป็นผู้ชายคนเดียวในบรรดาลูกๆที่เหลือของย่า
พ่อกุกับอาคนสุดท้าย ได้เรียนหนังสือ จนจบ ม. 6
ส่วนป้ากับอาผู้หญิงอีกคนนึง ได้เรียนไม่เท่าไหร่ก็ออกหางานทำ
เพราะไม่มีเงิน
( แต่ตอนนี้ได้เรียน กศน. จนจบ ม. 6 ได้นานริ้ว ฮิ้ววว ดีใจด้วยจัง )
พ่อกุไม่เค้ย...ไม่เคย ได้เรียนอะไรที่เกี่ยวกับการเป็นครูเรยแม้แต่น้อย
ตอนแรกพ่อก็เรียนเหมือนชาวบ้านชาวเมืองเค้าทั่วไป
แร้วตอนนั้นก็มีโรงเรียน การช่างชาย
ซึ่งถ้าเรียกติดปากสมัยนี้ก็คือ เทคนิคฯ
พ่อกุเรียนก่อสร้าง จึงมีฝีมือในการเขียนแบบบ้านอยู่เล็กๆน้อยๆ
น่ารักจริงๆ พ่อกุ อิ๊อิ๊อิ๊
แต่ก็เรียนไม่จบ ด้วยการเงินที่ฝืดเคือง
พ่อจึงไปแสวงหาโชคที่บางกอก ไปเป็นกระเป๋ารถเมล์อยู่พักใหญ่ๆ
ช่วงนั้นพวกวัยรุ่นส้นตีนก็มีเหตุต้องตีกันบ่อยๆ
เพื่อนของพ่อก็เลยพาพ่อกุไปสักยันต์ โอ้ว เย่ มันเท่ห์มาก
พ่อกุสักยันต์เพื่อให้หนังเหี่ยว เอ๊ย ! เพื่อให้หนังเหนียว
เพราะมีเรื่องกันบ่อยๆ อาจจะตายได้
พ่อกุสักรูปเสือเผ่นที่หน้าอก หูยยยย สุดยอดริ้ววว
คงเจ็บน่าดูแต่ก็ท่าทางจะขลัง
แต่พ่อก็ไม่ได้สักยันต์ถึงขนาดบ้าบอคอแตก สักแม่งทั้งตัวขนาดนั้น
พอพ่อเลิกเป็นกระเป๋ารถเมล์แล้ว
ด้วยความที่อยากได้งานทำที่มั่นคงพ่อกุจึงไปสมัครเป็นทหาร
เพื่อหวังว่าจะได้เงินเดือนดีๆ ได้เป็นข้าราชการ
แต่ก็ไม่ได้เป็น เพราะช่วงนั้นเค้าไม่รับคนที่สักยันต์
พ่อกุเรยแห้วแด๊กอยู่พักนึง ด้วยความที่พ่อกุ
เป็นคนมุมานะพยายาม ขยันอ่านหนังสือ
พ่อกุรู้ว่าที่พิดโลกจะมีการสอบบรรจุครู
แต่ทำไงได้ พ่อกุบ่มีเงิน พ่อกุก็กลับแพร่
แต่พ่อกุมีเพื่อน เป็นคนมีเงิน มีฐานะ
พ่อจึงได้ไปอาศัยอ่านหนังสือที่บ้านเพื่อนเสมอๆ
( ซึ่งตอนนี้ตายไปละ )
พ่อกุไม่ใช่คนเรียนเก่งอะไร
พ่อคิดว่าขยันอ่านหนังสือไป ก็คงจำได้
คิดๆไปก็แม่ง เหมือนเรื่องกระต่ายกับเต่าว่ะ ห่า
พอพ่อมาสอบที่พิดโลก ขึ้นรถไฟ ปู๊นๆ มากันกับเพื่อน 4 - 5 คน
พ่อกุก็หวั่นๆใจ ดูผลสอบจากข้างล่างขึ้นบน
พ่อกุเริ่มใจแป้วเพราะดูชื่อเท่าไหร่ ก็ไม่มีชื่อพ่อกุซ้ากที
พ่อกุเรยหมดหวังพอดูขึ้นไปเรื่อยๆๆ ใจก็แป้วอีกเรื่อยๆ
เพราะมันไม่เจอชื่อ สุดท้าย พ่อกุเจอชื่อตัวเอง
อยู่อันดับที่ 1 กรี๊ดดดดดดดดดดดพ่อกุ๊ พ่อของกุ๊ เย้ๆๆ
พ่อกุสอบบรรจุเป็นครู ได้อันดับที่ 1
ในตอนนั้นเพื่อนๆทั้ง ญ ช พากันกอดพ่อกุกันใหญ่
( กุว่าพ่อกุได้กำไรตอนสาวกอดนี่แหละวะ เอิ๊กๆ )
จะว่าไปแร้ว ตัวกุเองติดนิสัย ความใจร้อน
มาจากพ่อกุอย่างเห็นได้ชัด
แร้วที่ใครๆชอบบอกกุเหลือเกินว่า ชอบรูปปากของกุ
ปากกุสวยอย่างนั้น อย่างนี้ เป็นรูปกระจับกระเจิบอะไรนั่น
กุก็ถอดรูปปากกระจับนั้นมาจากพ่อกุเช่นกัน
สมัยก่อนตอนพ่อกุยังหนุ่มๆ วัยรุ่นๆ พ่อกุเป็นนักมวยเก่าซะด้วย
ขึ้นชกก็หลายเวที มีชงมีชื่อ ฉายา อะไรกุจำบ่ได้
ลืมถามพ่อว่ะ
-"-
แระด้วยความที่พ่อกุเคยเป็นนักมวยเก่า แถมยังเป็นเพศชาย
พ่อกุจึงสอนวิธีป้องกันตัวให้กุกับอิโบไว้ว่า
"อย่าไปทำร้ายใครก่อน แต่ถ้าคนอื่นมันทำร้ายเรา
แล้วเราทนบ่ไหวก็ให้สู้สุดตีนไปโลด
ถ้าเป็นตัวผู้ ก็ให้บีบไข่แม่งเรย มันจะจุก"
ช่วงนั้นเป็นช่วงบ้าระห่ำบีบไข่ผู้ชายของกุอย่างแรง
ด้วยความอยากลอง อยากเรียนรู้ วิชาที่พ่อสอน
เวลาผู้ชายมากวนตีนใส่กุ แร้วแกล้งกุ
กุจะใช้ไม้ตาย บีบไข่สังหาร จัดการแม่งทันที
ปรากฎว่า พวกตัวผู้ ก็หน้าเขียว กันทุกๆคน
สะใจชิบหาย กร๊ากกก

พ่อกุเคยถูกผู้ใหญ่บ้าน ทำโทษด้วยการไปขุดหน่อไม้ที่ป่าช้า
เพราะตอนนั้นพ่อกุเป็นพระเอกสาด
เหมือนผู้ผดุงความยุติธรรม
มีหนังมาฉายแถวหมู่บ้าน แร้วพ่อกุคิดว่า เค้าไม่น่าจะเก็บเงินเด็ก
พ่อกุสงสารเด็กที่จนๆ ไม่มีเงิน พ่อกุเรยนำทีมเด็กๆ
เข้าไปดูหนังโดยที่ไม่จ่ายเงิน
สุดท้าย พ่อกุไปมีเรื่องตีกันกับพวกเก็บตังค์
เพราะพวกมันจะให้เด็กจ่ายเงิน แต่เรื่องอะไร
พ่อกุเป็นพระเอกนี่ พ่อกุเรยมีเรื่องกับพวกมันซะ
แร้วญาติๆกุตอนนั้น ก็ผู้ชายเยอะ
ญาติๆรุ่นเดียวกับพ่อกุก็มาช่วยกันใหญ่
เลยถูกทำโทษให้ไปขุดหน่อไม้ที่ป่าช้า
จึงเป็นเช่นนี้แล ... เป็นกุ กุไม่อยู่แม่งแร้ว
น่ากลัวจะตายห่า แค่นอนที่บ้านยังกลัวผีเรย
พ่อกุเป็นคนที่รับผิดชอบต่องานมากๆ

จากเคยเรียนก่อสร้าง แร้วไม่จบ ก็กลายเป็นกระเป๋ารถเมล์
จนชีวิตพลิกผันสอบบรรจุได้อันดับ 1 มาเป็นครู
แร้วก็ดั้นด้น เรียน จนจบปริญญาตรี
ในช่วงที่กุเรียน อยู่ประถม แร้วพ่อกุก็ตัดสินใจไปเรียน ปริญญาโทต่ออีก
พ่อกุรับปริญญาของปริญญาโท ช่วงที่กุอยู่ ม. 4
น่าเสียดายที่กุไม่ได้ไปร่วมแสดงความยินดีกับพ่อ
เพราะกุต้องทำกิจกรรมของโรงเรียน ถ้าใครไม่ทำ ก็ไม่ผ่าน
เยะเป็ด !

ใครคิดว่า อาจารย์ใหญ่ เรียน ปริญญาโท
จะมาขับรถยี่ห้อเก่าๆ ปุเลงๆ ไปโรงเรียนหรือไปเรียน มหาวิทยาลัย
แต่พ่อกุ คือคนๆนั้น พ่อกุทำได้พ่อขับยนต์คันเก่าๆ
ไปเรียนในช่วงเสาร์ อาทิตย์ เพราะวันธรรมดาก็ไปสอนเด็กนักเรียน
เพื่อนๆพ่อบางคน ก็บอกให้เปลี่ยนๆๆ แต่พ่อกุก็รู้อยู่แก่ใจว่า
ตอนนี้ก็ต้องส่งลูกให้เรียนหนังสือ
ต้องใช้จ่ายเงินทองอีกหลายอย่าง
ฉะนั้นพ่อกุจึงเลือกที่จะไม่แคร์คำพูดของใคร
พ่อกุจะต้องแอบหนีออกมาเมื่อเรียนเสร็จ
รีบกลับมากินข้าวที่บ้าน อยู่กับครอบครัว
เพราะพวกเพื่อนๆของพ่อกุ ถ้าเรียนเสร็จ
แม่งก็จะหาพรรคพวกไปแร่ดไปกินข้าวบ้าง
ไปหาสาวมาปรี้ กันบ้าง
ก็ตามประสาพวกผู้ชาย ที่ชอบตามใจ ค + ว + ย
พ่อกุพูดเสมอว่า ถ้าอยู่กับเพื่อนๆแร้วเห็นเพื่อนๆ
ก้อร้อก้อติกสาวๆ พ่อจะนึกถึงลูก
พ่อจะคิดว่า เห็นผู้หญิงมาทำงานแบบนี้ แล้วลูกเราล่ะ ?
พ่อเป็นห่วงลูก พ่อคิดว่า พ่อคนอื่นก็คงคิดเช่นนี้
พ่อกุเรยบ่มีนิสัย ตามใจ ค + ว + ย เหมือนเพื่อนๆ
พ่อบอกว่า เก็บตังค์ให้ลูกใช้ดีกว่า
ใครจะเป็นไงก็ช่างหัวแม่ง

พ่อกุเพิ่งมาซื้อรถใหม่ ก็เมื่อไม่กี่อาทิตย์
เพราะรถคันเก่า มันเก่าสุดๆ พ่อกุกลัวอุบัติเหตุ
ก็เรยตัดสินใจซื้อรถใหม่ซักที เออดี กุลุ้นอยู่นานแระ
ตอนแรกกุคิดว่าพ่อจะเอารถเก๋งสวยๆซักคัน
เหมือนครูคนอื่นๆที่เค้ามีรถเก๋งขับ แต่ไม่ใช่
พ่อกุเลือกที่จะออก D - Max 4 ประตู
กุบอกว่าทำไมไม่เอารถเก๋งล่ะ ?
พ่อบอกว่า รถกระบะน่ะ เด็กๆเวลาไปแข่งกีฬา
พ่อจะได้รับเด็กๆขึ้นรถได้ แต่รถเก๋ง
พาเด็กๆไปแข่งกีฬา หรือไปไหนไม่ได้
โอ้ว ... ทะมัยพ่อกุยังห่วงเรื่องเด็กๆอีกวะ
ทีคนอื่นแม่งทำไมยังเสือกห่วงแต่ตัวเอง
ไม่เคยนึกถึงเด็กๆ แม้แต่นิดเดียว
พ่อกุจะชอบบอกว่า เรามีเงินอยู่ทุกวันนี้
ก็เพราะวิชาชีพที่เรามีอยู่ ความเป็นครู คือสิ่งที่เลี้ยงเรามา
ทำให้เรามีเงินใช้จ่ายพ่อจึงเลือกวิธี
ที่จะทำประโยชน์ให้กับโรงเรียน และเด็กๆได้อย่างสูงสุด
กุก็ไม่ได้ขัดอะไร กุก็ไม่เคยอาย
หรือคิดว่าครอบครัวกุทำไมเป็นแบบนั้นเป็นแบบนี้
ทำไมมะค่อยมีเงินใช้จ่ายหรูหราเหมือนครอบครัวคนอื่นๆ
แต่กุพอใจ แระกุก็มีความสุข ครอบครัวกุอบอุ่นดีมากๆ
จนคนอื่นๆอิจฉา
พ่อกุเป็นคนที่ไม่กินเหล้า และไม่สูบบุหรี่
พ่อกุเป็นผู้ชายที่รักครอบครัว สุดๆ
พูดจาติดตลก จนชาวบ้านรักและชื่นชมพ่อกุ
ขนาดย้ายออกจากโรงเรียนเดิม ชาวบ้านร้องห่มร้องไห้แทบขาดใจ
ถึงแม้พ่อจะไปอยู่อีกโรงเรียนนึง
ชาวบ้านก็ยังห่วงหาอาทรพ่อกุเสมอ
รักและเข้าใจว่าต้องไปโรงเรียนที่มันใหญ่กว่าเดิม
พ่อกุจะได้ขยายความก้าวหน้าของตัวเองบ้าง
เพราะพ่อก็ไม่เคยจะเรียกร้องอะไรเลย
ชาวบ้านก็เข้าใจพ่อกุ น่ารักจริงๆ

กุชอบอ้อนพ่อ ถ้ากุอ้อนพ่อเมื่อไหร่ พ่อก็จะยิ้ม
เพราะพ่อแพ้ลูกอ้อนกุ แต่กุก็ต้องดูอารมณ์พ่อก่อน
ไม่ใช่พ่อหงุดหงิด แร้วกุไปอ้อนๆ
กุอาจจะโดนตีนพ่อก็เป็นได้
กุโตเป็นควายขนาดนี้แร้วพ่อเพิ่งจะหยุดตี กุ
ตอนกุอยู่ ม. 6 นี่เอง
กุเป็นคนชอบเถียง จะดีจะเหี้ย กุเถียงไว้ก่อน
พ่อกุเรยชอบตี เหะๆแต่ตอนนี้ บ่ได้เถียงอะไร พ่อเรยบ่ตี
ก็หยุดการตีมานานแระ ส่วนแม่ มะค่อยตี
แม่จะระเบิดเป็นครั้งเป็นคราว แระพ่อกุจะขี้บ่นมากๆ
ขี้บ่นยิ่งกว่าแม่ซะอีก
พ่อกุชอบเลี้ยงไก่ชน ไม่ได้เลี้ยงไว้ตี เหมือนคนอื่น
แต่เลี้ยงไว้ดูเล่น เนื่องจากเมื่อก่อนบ้านจนมาก
เห็นไก่คนอื่น ก็ชอบไปยืนดู
พอพ่อได้ทำงาน หาเงินเองได้ พ่อก็หมดกับการซื้อม้า
( ให้คนอื่นไปนานแระ )
ซื้อไก่มาเลี้ยงไว้ดูเล่น พ่อกุจับไก่ หรือทำแผลให้ไก่เก่งมาก
ไม่ว่าไก่จะเป็นอะไร พ่อกุแม่งรู้ทุกอย่าง
ส่วนกุแระคนในบ้านก็โคตรรำคาญมากๆ
พ่อไม่ชอบให้ไก่อยู่ในสุ่ม แต่พ่อจะปล่อยพวกมัน
ให้เดินเพ่นพ่าน แม่งเอ๊ย มีแต่ขี้ไก่เต็มไปหมด
กุกลุ้มใจแสด บางทีกุทำงานอยู่ แม่งไก่จังไร
ก็เดินมาเกะกะกุ กุเรยด่าเสียงดัง
" อิไก่ห่า เหี้ยเอ๊ย กุจะทำงานชิบหายเพ่นพ่าน
น่ารำคาญว่ะ เด๊วซักวันกุจะฆ่าไก่เอาต้มแด่กให้หมด "
จริงๆแร้วกุทำไม่ลงหรอก กุก็สงสารนั่นแหละ
แต่มันก็เป็นช่วงที่กุรำคาญ กุเรยพูดไปงั้น

ตอนนี้ กุก็สงสารพ่อกุ เพราะไก่ตายห่าไปแม่งหมดเรย
ด้วยโรคไข้หวัดนก แม่บอกว่า พ่อกุซึมอยู่พักใหญ่ๆ
ตอนนั้นกุไม่ได้อยู่บ้าน
เพราะกุไปทดลองสอนที่บางกอก
ได้แต่โทรคุยกับแม่เท่านั้น
สงสารพ่อ แต่สะใจที่ไก่ตาย มันจะได้ไม่มารบกวนกุอีก
พ่อบอกว่า ตอนนี้ก็ไม่อยากเลี้ยง เพราะสงสารพวกมัน
เด๊วมันเสือกตายขึ้นมาอีก จะมีก็ ตัว หรือ 2 ตัว เนี่ยแหละ
ที่ชาวบ้านแถวโรงเรียนเก่าของพ่อเอามาให้เลี้ยง
พ่อก็รับไว้ เพราะถือว่าชาวบ้านเค้าให้มา จะปฏิเสธก็ไม่ได้
ก็ลุ้นๆอยู่ว่ามานจะโดนไข้หวัดนก แด๊กอีกไม๊ เหอๆๆ
คนบางคนอายที่พ่อแม่ของตัวเองที่ทำงานก่อสร้าง
พ่อแม่จะมาหา ก็ไม่ให้มา อ้างโน่นอ้างนี่อยู่ตลอดเวลา
ซึ่งแท้จริง คืออายว่าพ่อแม่มันเป็นช่างก่อสร้าง
แต่ถ้ามันใช้หัวสมองคิดซักนิด แทนการเอาตัวเอง
ไปให้ผู้ชายปี้แร้วจ่ายตังค์ มันจะรู้ว่า
พ่อกับแม่ของมัน หาเงินส่งให้มันได้
ต้องแลกกับหยาดเหงื่อแรงกายขนาดไหน
กุอยากรู้ว่า การที่คนเราทำอาชีพสุจริตมันน่าอายตรงไหน
การที่ฐานะยากจนแร้วยังไง ?
ไม่ได้ไปปล้นไปจี้ ไปฆ่าใครซักหน่อย แร้วทำไมต้อง อาย ?
อีกอย่างก็เป็นพ่อแม่ของมึง แร้วมึงจะอายทำครวยไรเนี่ย
พ่อแม่ยังไม่อายเล้ย ที่มีลูกตอแหลๆอย่างมึง !
อุ๊ย ... ลืมตัว เสือกด่ามันไปซะงั้น
คือจริงๆอินี่เป็นเพื่อนที่อยู่ห้องเดียวกับกุ
แต่กุมะค่อยอยากคบเพราะกุเกลียดคนที่ลืมตัว
ลืมกำพืด ลืมชาติกำเนิด และไม่เคารพบุพการี ยิ่งนัก
เมื่อตอนเย็น กุกราบตรีน พ่อกุอย่างสวยเริดที่สุด
ฮิ้วววววว
กุก็อ้อนๆพ่อเหมือนกันแต่ไม่ได้อ้อนเอาอะไร
อ้อนให้พ่อยิ้มๆ เล่นๆ แร้วกุก็กอดพ่อ
" ป้อเจ้า น่องสัญญาถ้าได้ยะงานม่ะได ย่ะหาเลี่ยงเจ้า "

ภาษาเหนือวันละคำวันนี้ คำว่า ป้าก อ่านว่า ป้าก แปลว่า ทัพพี
แต่งประโยค น่องดรีมไปยิบป้ากตี้ครัวไฟฮื่อเย่ยกำ
แปลอีกทีว่ะ น้องดรีมไปหยิบทัพพีที่ห้องครัวให้พี่หน่อยสิ
บ๊าย...บาย
นู๋บลิว เซเลอร์มูน ก๋ากั่น
ป.ล กุรักพ่อค่ะ
@^_^@

วันอาทิตย์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2548

ส้วมเต็ม ... สูบครั้งที่ 1

อะไรกันนี่ ? ถึงช่วงเวลาที่ต้องสูบส้วมซะแล้วเหรอ
ไม่ทันไร ก็ครบ 1 ปี เต็มๆ กับการเขียนบล็อกแล้วสิ
กุเห็นแต่พี่ๆคนอื่นๆ เค้าอวยพรวันเกิดบล็อกไปเรียบร้อยแล้ว
แต่สำหรับกุ เพิ่งจะมาสูบส้วมเอาวันนี้นี่เอง
เลยวันครบรอบส้วมเต็มของกุ ไปนานมากแล้ว
ถ้าจำไม่ผิด ส้วมกุเต็มตั้งแต่วันที่ 13 พ.ย แล้วล่ะมั้ง
จริงๆแล้วอารมณ์เปลี่ยวที่เกิดขึ้น ทำให้มาเขียนบล็อกก็คือ
กุอยากมีที่ๆนึงที่ไว้เก็บความรู้สึกของกุ
ไม่ว่าจะเป็นความประทับใจ ความเสียใจ หรืออะไรต่างๆนานา
ที่กุอยากจะเขียน อยากจะระบายไว้ แต่กุรู้สึกเบื่อหน่ายอย่างยิ่ง
เวลาที่ได้เข้าไปอ่านบล็อกของใครๆ
เขียนเอาไว้แต่อารมณ์เพ้อหา บ้าบอคอแตกเหี้ยไรไม่รู้
กุเบื่อแระเซ็ง กุจึงคิดว่าถ้ากุเริ่มต้นเขียน
กุมิต้องเขียนแบบที่คนอื่นๆเค้าเขียนหรอกเหรอวะ
กุจึงไม่มีบล็อก หรือส้วมของกุซักที กุคิดว่า
การเขียนคำเหี้ยๆหยาบคายๆ หรือใส่ความถ่อย มันคงไม่ใจ
ถ้าจะมาเขียนลงในไดอารี่ เหมือนที่คนอื่นๆเค้าเขียน
เพราะกุไม่ชอบเขียนไดอารี่ มันเหมือนเป็นการบังคับ
เป็นกฎเกณฑ์ ซะมากกว่า ว่ากุต้องเขียนอะไรบ้าง
กุจึงไม่ได้ใส่ใจ แต่เรื่องราวมากมายที่กุมีอยู่ มันร่ำร้องอยู่ในใจลึกๆว่า
กุอยากมีที่ไว้ขี้จริงๆ แล้วบล็อกนี้ก็เกิดขึ้น
ณ ค่ำคืนของวันนึง เมื่อไอ่บิวเพื่อนกุ เอาบล็อกของพี่แอน
หรือ ไอ้แอนนนนน ที่โคตรจะดัง มาให้กุอ่าน
ตอนนั้น พี่แอน หรือ ไอ้แอนนนนน กุก็ไม่ได้รู้จักเหี้ยไรเรย
อยู่ดีๆ ไอ่บิว มันก็ส่ง url ของบล็อก หยาบคาย มาให้อ่าน
กุเข้าไปอ่านแล้วรู้สึกว่า แม่งพี่คนนี้มันเขียนห่าไรของมันวะ
โคตรจ๊าบ แบบว่าตลกดี ขำขำ อ่านแล้วรู้สึก เหมือนมีพลัง
เหมือนกับว่าพี่คนนี้แม่งตลกมีสาระดีว่ะ ทุกถ้อยคำที่มันคิด
ที่มันถ่ายทอดออกมา ทำไมตลกงี้วะ
สอดแทรกความฮา ไว้ในสาระ กุก็ติดตามอ่านไปเรื่อยๆ
จนอดไม่ไหว ก็ต้องไปเม้นท์ไว้
ตอนแรกกุก็กลัวๆพี่เค้าด่ากุเหมือนกัน
เพราะกุติดความปากหมามากมาย แต่กุก็ไม่ได้สนใจอะไร
แต่สิ่งที่กุสนใจ คือกุคิดว่า เฮ้ย บล็อกนี้มันพูดหยาบๆได้ด้วยเหรอวะ
นี่แหละ บล็อกที่กุใฝ่ฝัน ส้วมของกุเกิดขึ้นแร้ว แอ่น ... แอ๊น
กุเรย ลองสมัครดูบ้าง ตอนแรกก็แม่ง ภาษาเหี้ยไรนักหนาวะ
มีแต่ภาษาอังกฤษ แร้วภาษาอังกฤษกุก็ห่าแด่กมากๆ
กุจึง งงๆ เซ่อๆ เบลอๆ มึนๆ ในการสมัครอย่างยิ่ง
แต่แล้ว ส้วมกุก็ได้เกิดซักที มันเป็นครั้งแรกที่กุรู้สึกได้ว่า
เฮ้ย ... กุทะมัยเก่งแบบนี้เนี่ย โอ้ว เย่ กรี๊ดๆๆ กุดีใจสุดๆ
เพราะกุไม่อยากเชื่อตัวเองว่า การสมัครบล็อก ที่โคตรโหด แบบนี้
กุจะสามารถสมัครมันขึ้นมาได้ เอ่อ ... คือ ถ้าเป็นคนที่เค้าเก่งๆ
หรือเข้าใจภาษาอังกฤษ กุก็คิดว่าเค้าคงจะคิดกะกุว่า
อะไรวะ นี่แค่มึงสมัครบล็อกกระจอกๆบล็อกนึงได้นี่
มึงดีใจเหี้ยไรขนาดนี้วะ ? แต่นั่นไม่ใช่สำหรับกุ
การที่กุจะทำอะไรออกมาได้ซักอย่างนึง แล้วสำเร็จ
กุจะถือว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ดีมากๆสิ่งนึง เหมือนสวรรค์โปรดก็ว่าได้
เพราะคนอย่างกุ ตั้งแต่สมัยเด็กๆแระ
ทำห่าไรก็ไม่เข้าท่าไปซะตลอดเวลา
สมมติเรียนวิชา ก.พ.อ ตอนนั้นมีการให้ร้อยพวงมาลัย
อุบะตุ้งต้งตุ้งติ้งบ้าบอ อะไรนั่นกุก็ไม่สามารถ
เวลาเย็บปักถักร้อย กุทำได้แค่การเนา
เรื่องการสอย การด้น ไม่ต้องพูดถึง กุทำไม่เป็นซักอย่าง
สมควรแก่การโดนด่าสุดฤทธิ์ กุยังมึนๆเรยว่า
นี่กุเรียนจบมาได้ไงวะ เออ แปลกแต่จริง
ถึงแม้จะโตเป็นควาย ในตอนนี้ก็เหอะ
กุก็ทำอะไรไม่ค่อยสำเร็จซักเท่าไหร่ เมื่อกุสมัครบล็อกได้
กุจึงดีใจเหมือนได้เป็นเซเลอร์มูน ยิ่งนัก
กุก็รีบๆเขียนๆๆๆๆๆๆๆ เขียนในสิ่งที่กุอยากจะเขียน
เล่าเรื่องราวที่กุอยากเล่า กุเขียนเป็นตุเป็นตะ
กุเขียนประสบการณ์ที่ผ่านมาบ้าง ประสบการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นบ้าง
ในตอนนั้นกุจะเขียนเกือบทุกวันเลยก็ว่าได้
กุรู้สึกสนุกมากๆ เวลาที่ได้เข้ามาเขียนบล็อก
กุถือว่าเป็นสิ่งที่ทำให้กุรู้สึกอิสระ ไร้สิ่งที่กดดัน
หรือกฎเกณฑ์บังคับ ประจวบเหมาะกับเวลาในตอนนั้น
กุเหงามาก กุเหงาจนกุรู้สึกแย่ ร้องไห้เกือบทุกวัน
อาจจะทุกวันก็ว่าได้ ความรู้สึกอะไรหลายๆอย่างมันแย่
กุเรยหาทางออก หาเรื่องที่ทำให้ตัวเองเขียนออกมา
เป็นตัวของตัวเอง เขียนออกมาเผื่อเวลาใดที่กุรู้สึกแย่ๆ
กุจะกลับมาอ่านมันอีกครั้ง กุจะอ่านบล็อก ของตัวเองซ้ำๆ อยู่อย่างนั้น
บางคนอาจจะเขียนบล็อกมาเพื่อให้คนอื่นอ่าน
แต่สำหรับกุ ไม่ใช่แม้แต่นิดเดียว
กุเขียนบล็อก ทำส้วมของกุขึ้นมา เพื่อให้ตัวกุอ่านเอง
ในเวลาที่กุไม่มีใคร เวลาที่กุรู้สึกแย่ๆ
กุจะเข้ามาคุย มาอ่าน ทำให้กุเหมือนได้คุยกับตัวเอง
ทำให้กุได้รู้ว่า กุยังมีเพื่อน เพราะบล็อกคือเพื่อน
คือส้วม คือแหล่งรวมทุกอย่างที่กุคิด หรือที่กุรู้สึก
พี่แอน เป็นแรงจูงใจทำให้กุเขียนบล็อกนี้ขึ้นมา
แต่พี่แอน ไม่ใช่ต้นแบบ ที่ทำให้กุหยาบคาย
ไม่ใช่ต้นแบบในการทำสำนวนการเขียนบล็อกของกุ
กุไม่เคยคิดเรยว่ากุจะต้องเขียนเลียนแบบพี่แอน
หรือเขียนคำถ่อยๆ หยาบคายๆ เหมือนกับพี่แอน
กุไม่ได้คิดเรียกร้องให้ใครเข้ามาอ่าน
การที่ใครๆเข้ามาอ่าน กุก็ตกใจอยู่เหมือนกันในตอนแรก
เพราะกุไม่คิดว่าในการเขียนบล็อกของกุเนี่ย
จะมีคนเค้ามาอ่านด้วยเหรอวะ กุนึกว่าจะมีแต่ตัวกุคนเดียว
ที่เขียนเอง อ่านเองซะอีก นั่นก็ต้องขอขอบคุณ ทุกๆคน
ที่ เข้ามาร่วมรับรู้ ความรู้สึกของตัวกุ
การที่คนอื่นเข้ามาอ่าน เป็นเพียงส่วนประกอบอย่างนึงเท่านั้น
แต่ก็ใช่ว่า กุจะเขียนบล็อกเพื่อ คนที่เข้ามาอ่านซักหน่อย
และกุก็ไม่คิดว่า สำนวนการเขียนกุจะใช้ได้
หรือตลก หรือจะขำ หรือจะส้นตรีนอะไรทั้งสิ้น
กุไม่เคยรู้เรยว่า คนที่เข้ามาอ่านส้วมของกุ เค้ารู้สึกยังไง
อันนี้กุไม่สนเท่าไหร่ เพราะกุก็ไม่สามารถจะรับรู้
ความรู้สึกของคนอื่นได้ แต่แค่กุอยากให้ทุกๆคนเข้าใจ ว่า
กุเขียนบล็อกนี้ขึ้นมา เพราะได้อ่านบล็อกพี่แอนก็จริง
แต่กุไม่เคยคิดที่จะเขียนให้เหมือนพี่แอน
เพราะคนอย่างกุไปเขียนอะไรที่มีสาระ อย่างพี่แอน
คงไม่ใช่กุ กุได้แต่ถ่ายทอดความรู้สึกของตัวกุเอง ลงมาเท่านั้น
ถ้อยคำที่ใช้ นั่นคือมาจากความรู้สึกของกุ
กุไม่ได้คิดว่า การที่กุจะพูดหยาบคาย
หรือพยายามทำตัวถ่อยๆ นี่โคตรจะเท่ห์
ป่าวเลย ผิดถนัด ! เมื่อกุพูดกับตัวเอง หรือคุยกับตัวเอง
กุจะใช้คำที่คิดนั้น มาเขียนลงไป ซึ่งมันก็คงทำให้ตัวกุดูถ่อย
เพราะคำพูดหาใช่คำพูดที่เริ่ดหรูอลังการ
หรือคำพูดที่น่ารัก ชวนอ่าน แม้แต่น้อย
มันจะดูห่ามๆ หรือดูไม่ใช่ผู้หญิงเขียนเลย
แต่กุภูมิใจ เพราะเป็นสิ่งที่กุสร้างขึ้นมา วันไหน เว็ปนี้เกิดล่ม
กุคงร้องไห้แน่ๆ เพราะอะไรที่กุเขียนไว้ ก็จบเห่
กว่ากุจะอัพแต่ละครั้ง กุตรวจแล้วตรวจอีก
กลัวจะมีคำผิด หรือข้อผิดพลาด คำตกหล่น รึป่าว
คำนี้มาได้ไง ก็ต้องลบไป การอัพบล็อกของกุจึงใช้เวลา 2 ชั่วโมงขึ้นไป
กว่าจะอัพโหลดลงเว็ปได้ จริงๆแล้ว
ก่อนหน้าที่จะได้อ่านของพี่แอน กุเคยคิดไว้แล้วว่า
ถ้าวันนึงกุมีที่ๆกุอยากเขียนขึ้นมา กุจะใช้ชื่อแทนตัวกุว่า
" ถ่อย "
แระสำนวนการเขียนของกุ ก็ต้องมาจากความคิดของกุ
ไม่ใช่มาเพ้อพร่ำเพ้อหา ค + ว + ย ไรทั้งสิ้น
แค่ ค + ว + ย อันเดียว แม่งก็ต้องมาเขียนเพ้อหา จะเป็นจะตาย
เป็นเหี้ยไรกันขนาดนั้นวะ
แต่ถ้าจะเขียน คำถ่อยๆลงไปในเว็ปของคนไทย
คงจะไม่สวยหรูนัก อาจจะโดนปิดบล็อก
ดังนั้น ณ วันนั้น กุค้นพบ จากพี่แอนว่า
เฮ้ย ... มันไม่ใช่ของคนไทยว่ะ นี่มันของฝรั่งนี่หว่า
ดังนั้น ฝรั่งมันคงไม่รู้หรอกว่า กุใส่คำพูดสัดม๋าไว้ยังไงบ้าง
มันเป็นความสะใจเล็กๆ ปนกับความดีใจ
ที่มันไม่ใช่ของคนไทย แระมันก็เป็นส้วมที่ส่วนตัวที่สุดของกุ
กุไม่ได้คิดว่า อะโห่ พี่คนนี้แม่งเขียนได้ใจกุจริงๆ
เด๊วกุไปเขียนบล็อกของกุแบบนี้บ้างดีกว่า
อุ๊ย ... บล็อกพี่เค้าทำไมมีแต่คนเข้ามาอ่าน
สงสัยพี่เค้าเขียนคำพูดหยาบคายลงไปมั้ง
งั้นกุไม่เขียนบ้างดีกว่า
ความคิดเหล่านี้ คนอื่นอาจจะคิดว่ากุเป็นแบบนี้
เพราะเท่าที่กุสังเกตคนหลายๆคนที่เข้ามาอ่านบล็อกกุ
หรืออาจจะรู้จักบล็อกกุ จากบล็อกพี่แอน
จะพูดทำนองนี้ แนวๆนี้ว่า กุเขียนเหมือนพี่แอน
กุทำเหมือนพี่แอน แต่มันไม่มีในหัวกุซักนิด
กุคิดก่อนหน้าที่จะเจอบล็อกพี่แอนด้วยซ้ำ
ว่ากุอยากเขียน สิ่งต่างๆ ไว้แบบนี้ ด้วยสำนวนเช่นนี้
แต่ไม่มีที่ให้กุลง ก็เท่านั้น
กุเคยเห็นพี่แอน เขียนไว้ว่า ยังมีบล็อกอีกหลายๆบล็อก
ที่แตกหน่อจากบล็อกหยาบคายอีกเยอะ
คือ ... กุคือบล็อกนึงที่แตกหน่อจากบล็อกหยาบคาย
แต่ไม่ใช่ก็อปปี้ แตกหน่อ ณ ที่นี้ของกุคือ อ่านบล็อกพี่แอน
แร้วสมัครบล็อกนี้ตามพี่แอนเท่านั้น
ไม่ใช่ว่า เขียนแนวพี่แอน หรือแม้แต่คนอื่นก็เหอะ
เข้ามาอ่านแร้วบอกไว้ว่า
พี่แอนก็เลิกเขียนบล็อกหยาบคายแล้ว
ส่วนกุก็ต้องไปทดลองสอน ไม่ค่อยได้อัพ
แร้วจะไปหาบล็อกใครที่เขียนแนวนี้อ่าน
กุก็รู้สึกดีเหมือนกันที่มีคนติดตาม แต่อีกใจนึงก็คิดไว้ว่า
ตกลงว่าที่กุเขียนมาหมดทุกอย่างนี่กุเลียนแบบพี่แอนงั้นเหรอ
ไม่อยากให้ใครๆคิดแบบนั้นเลย
ไม่ว่ากุจะพูดไงก็เหอะคงไม่มีใครเข้าใจ กุขี้เกียจอธิบายแม่งแระ
แต่จำได้ว่าพี่แอนคือคนแรกที่เข้ามาเม้นท์ไว้บล็อกกุ
พอกุเขียนบล็อกเสร็จ คนแรกที่กุบอกคือไอ่บิว
เพราะช่วงนั้นรู้สึกตื่นเต้นกันมากๆ ไอ่บิวเห็นกุเขียน
ไอ่บิวเรยบอกว่า เฮ้ยๆๆ กุเอามั่งๆๆ เด๊วกุสมัครมั่ง
บล็อกกุจึงเป็นพี่ไอ่บิว 2 - 3 วัน ถ้ากุจำไม่ผิด
เพราะไอ่บิวเขียนบล็อกทีหลังกุ
แระรู้สึกน่าอ่านมากกว่าบล็อกกุเป็นไหนๆ
จากการเขียนบล็อกนี้ ทำให้กุได้รู้จักพี่ๆน้องๆ อีกหลายๆคน
ส่วนใหญ่มาจากบล็อกพี่แอนซะเยอะ
ที่คุยกันบ่อยๆ ก็คงเป็น พี่เหน่ง พี่ไอ้สวะ พี่ปิ๊ก และ ฯลฯ ประมาณนั้น
บางคนเห็นกุเม้นท์ในบล็อกพี่แอน ก็แอดเข้ามาคุย
หรือเข้ามาเม้นท์ให้กุ บางคนก็มาจากการที่กุเห็นเม้นท์ในบล็อกพี่แอน
แร้วกุตามไปอ่านบล็อก แร้วเม้นท์ใส่บล็อกของแต่ละคนไว้
คนๆนั้นก็ตามเข้ามาอ่านของกุแร้วเม้นท์ไว้เหมือนกัน
บางคนก็มาจากการคุย msn บ้าง QQ บ้าง
( ซึ่ง QQ กุเพิ่งหัดเล่นเพราะไม่มีเหี้ยไรจะเล่น )
แม้แต่จะมาจากการโฆษณาจากคนที่คุยกับกุ รู้จักกับกุ
แร้วเอาบล็อกกุไปให้เพื่อนๆอ่านก็ตาม
อยากขอบคุณทุกคนจากใจจริง ไม่ตอแหลว่า
ขอบคุณที่เข้ามารับรู้ชีวิตกุ
ก็ต้องขอบคุณ ไอ่บิว และพี่แอน ที่ทำให้กุมีส้วมดีๆ ไว้เขียน
ไว้ใส่ความรู้สึก ถึงกุบอกไปขนาดนี้
ก็อาจจะไม่มีใครเชื่อกุก็เป็นได้ ว่า กุไม่ได้เลียนแบบพี่แอน
แต่กุอยากบอกจริงๆว่า กุไม่ได้เลียนแบบพี่แอน ซักนิด
พี่แอนก็คือพี่แอน ตัวกุก็คือกุ สิ่งที่พี่แอนเขียน
หยาบคาย ก็จริงแต่แฝงสาระไว้เพียบ
มีคนชอบก็เยอะแยะ มีคนอ่านก็เยอะแยะเช่นกัน
ผิดกับกุที่ไม่เคยสนใจหรือใส่ใจว่า
คนที่เข้ามาอ่านจะรู้สึกยังไง
แระกุก็ไม่ได้คิดด้วยว่าจะมีใครสนใจเข้ามาอ่านด้วยซ้ำ
เพราะนี่มันคือส้วมของกุ กุไม่ได้คิดว่า การที่ใครๆ จะเข้ามาอ่าน
จะได้สาระ หรือได้ข้อคิด กลับไป
นอกจากบางคนอาจจะเก็บเอาประสบการณ์ ที่กุได้เล่าลงส้วม
ไปปรับใช้กับชีวิตตัวเอง นั่นก็เป็นอีกเรื่องนึง
การพูดหรือการแสดงออกของกุนั้น ก็โคตรถ่อยเอามากๆ
พี่แอนเค้ายังมีความสุภาพ แต่สำหรับกุมันไม่ได้สุภาพอะไรทั้งนั้น
พี่แอนกับพี่เหน่ง คือคนที่ช่วยตอกรอยหยักในสมองของกุ
เพราะพี่แอนช่วยสอนเรื่องอัพรูปลงบล็อก
ส่วนพี่เหน่งคือคนที่ช่วยสอนกุในเรื่องการใส่เพลงลงบล็อก
เพราะไม่งั้นกุคงโง่ๆ ง่าวๆ ตลอดไป ชีวิตในตอนนั้น กับตอนนี้
ก็ผ่านพ้นมาตั้งปีกว่าแล้ว แต่กุก็ยังไม่ทิ้งบล็อกของกุ
ในช่วงนั้นกุอาจจะอัพบล็อกเกือบทุกวัน
แร้วก็เริ่มกลายเป็นนานๆทีจะอัพ
ไม่ใช่เพราะกระแสเขียนบล็อกมันซาไป หรืออะไร
แต่กุไม่มีเวลาอัพ เพราะอัพบล็อกก็ปาไปเกือบ 2 ชั่วโมงแล้ว
มีเวลาเล่นแช็ท แต่ไม่มีเวลาอัพบล็อก เพราะกุไม่ได้ว่างเหมือนเมื่อก่อน
สุดท้ายนี้ ไม่ว่าใครก็ตามที่คิดว่ากุเขียนเลียนแบบพี่แอนล่ะก็
อยากบอกว่า มึงแหกตาอ่านดีๆ คนอย่างกุไม่ได้เลียนแบบใคร
แระกุคงไม่สิ้นคิดถึงกับไปก็อปปี้ รูปแบบ ของใคร
พี่แอนเป็นคนที่กุนับถือ เป็นคนที่ทำให้กุรู้สึกอยากเขียนบล็อก
ยี่ห้อเดียวกับพี่แอน
แต่พี่แอน ไม่ได้เป็นแม่แบบให้กุก็อปปี้อะไรจากพี่แกเรยซักนิด
เพราะกุคงไม่คิดสั้น ฆ่าตัวเองขนาดนั้น โปรดจงหยุดคิดซักที
กุเอือมระอาในสิ่งที่มึงคิดเต็มทีแร้วค่ะ

ภาษาเหนือวันละคำวันนี้ คำว่า ขี้ไห้ อ่านว่า ขี้ - ไห้ แปลว่า ขี้แย , บ่อน้ำตาตื้น
แต่งประโยค น่องดรีมนี่กะดายมดค้บตะอี้กะไห้กะฮ้อขี้ไห้แต้ๆ
แปลอีกทีว่ะ น้องดรีมนี่ก็นะแค่มดกัดแค่นี้ก็ร้องห่มร้องไห้ขี้แยจัง
ป.ล Bon anniversaire ให้กับส้วมของกุ ขอโทษนะส้วมสีชมพูจ๋า
กุมาอวยพรช้าไป เพราะกุบ่มีเวลาอ่ะเด้อ วันนี้วันที่ 20
วันส้วมเต็มของบล็อกวันที่ 13 ผ่านมาไม่กี่วันเอง
อย่างอนกุน้า แต่ช้าแต่ ลั๊ลลา ลั๊ลลา
( รูปทั้งหลายทั้งแหล่ที่เห็นเป็นภาพประกอบในบล็อกนี้
คือผลงานของ พี่แอน ไอ่บิว แระพี่เบิ้น ค่ะ )

@^_^@
บ๊าย...บาย
นู๋บลิว เซเลอร์มูน ก๋ากั่น


วันศุกร์ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2548

คนดี ... ที่ถูกลืม



กาลครั้งหนึ่ง ... ยังไม่นานแค่คืนวันก่อน
มีครูผู้ชายสุดหล่ออยู่คนนึงชื่อจริงว่า ครู อ.
บอกกับกุว่าจะเข้าบางกอกตอนแรกกุนึกว่า
ครูผู้ชายสุดเท่ห์ท่านนั้นมีอบรม หรือประชุมที่บางกอก
แต่กุเพิ่งมารู้ว่า ครู อ. จะไปเดินประท้วง กับพวกครูที่เป็นเพื่อนๆกัน
เค้าชวนกันไป ครู อ. เรยต้องไป ครู อ. เล่าให้ฟังว่า
ที่ครูเค้าติดต่อกันได้เพราะเค้ามีสมาคมครูทั่วประเทศ
สามารถติดต่อกันขอกำลังกันให้ไปช่วยเดินขบวนประท้วงได้
เรื่องของเรื่องก็คือ ... ร้าดถ่าบัน ( เป็นคำพ้องเสียง )
จะถ่ายโอนให้ อมทุกบาททุกสตางค์ มาบริหารจัดการครู
กฎหมายนี้ ออกมาตั้งแต่ ร้าดถ่าบัน คุณ ช. แร้ว
แต่ว่าพอจะเลือกตั้ง ด้วยความที่อยากได้เสียงเยอะไปหน่อย
ท่าน ม. ( เป็นคำนามใช้เรียกชื่อคน ไม่ใช่ชาวเขา )เรยบอกว่า
ให้เลื่อนไปก่อน ยังไม่ให้มีการใช้กฎหมายนี้
คาดว่าคงจะอยากเอาใจครูทั่วประเทศ และก็เป็นไปตามที่ใจคิด
ครูต่างก็เทใจให้คะแนนท่าน ม. จนหมดหัวใจ
แม้กระทั่งลูกครูอย่างกุก็โดนหางเลขไปด้วย ว่าให้เลือก ท่าน ม.
จริงๆแร้ว กุไม่ได้อยากจะเลือกเรยซักนิด ซวยกุอีก
สุดท้ายความโกหก ปลิ้นปล้อน ตอแหล ก็ปรากฎขึ้น
จากภาพที่เห็นครูประท้วงในข่าว จริงๆแล้ว กุก็รู้สึกแย่ๆเหมือนกัน
ไม่มีใครรู้หรอกว่า การที่ครูประท้วงนี่เพราะอัดอั้นกันมานานแล้ว
จะให้พวกคนที่เรียนยังไม่จบ ป. ตรี หรือเรียนแค่ ป. 4
มาคุมพวกครูเนี่ยนะพวกครูก็เรยไม่ยอม
ก็เรยต้องไปประท้วงกันเย้วๆ
นี่ยังเป็นแค่ผู้บริหารกับครูน้อยไม่กี่คนนะ
ถ้ามารวมกันทั่วประเทศ ก็จะมีถึง 5 แสนกว่าคนทีเดียวเชียวค่ะ
ตอนแรกเค้าก็ถามกันตอนอยู่บนรถทัวร์ว่า
ถ้าวันนี้ ร้าดถ่าบัน ไม่ทำตามที่เรียกร้องใครจะโกนหัวบ้าง
ครู อ. จึงบอกว่า ผมโกนๆ แต่สุดท้าย ก็บ่ได้โกน
เพราะคนที่ต้องการจะพูด หรือต้องการเรียกร้องมีมากเกินไป
เรยไม่ถึงพ่อกุ แต่ก็ไม่เป็นไร พ่อกุเค้าก็ไม่ได้อยากจะทำอะไรอย่างนั้น
ถ้ามันไม่จำเป็น คืนนั้น ตอนพ่อกุกลับมาพ่อก็เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ฟัง
กุเรยเข้าไปตอบกระทู้ในเว็ป เกี่ยวกับเรื่องที่ครู กรีดเลือด
และโกนหัวประท้วง ว่าเหมาะสมหรือไม่
กุคิดว่าสิ่งที่เค้าทำอาจจะไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องนัก แต่กุก็รู้สึกสะใจอยู่เหมือนกัน
ชิบหาย ... แร้วจะให้ทำเหี้ยไรได้ ในเมื่อเรียกร้อง เหี้ยไร
ก็ไม่เคยมาใส่ใจ ไม่เคยมาดู
ค่ะ
แร้วใครๆก็เสือกบอกว่า ครูทำแบบนี้ไม่เหมาะสม
ครูทำแบบนี้ เด็กๆอาจจะเลียนแบบได้ กุถามหน่อย
เด็กเหี้ยที่ไหน มันเคยเชื่ออะไรครูบ้าง ขนาดครูสอนแม่งดีๆ
มันยังไม่เอาเรย กุว่าถ้าเด็กไม่รู้จักคิด ไม่รู้จักว่าอันไหนควรเลียนแบบ
อันไหนควรที่จะไม่ทำตาม กุว่าอิเด็กส้นตีนๆ พวกนี้
ก็สมควรทำเรื่องเหี้ยๆไปดีกว่า กุเรียกพวกที่ทำตัวแบบนี้ว่า " พวกตะแบง "
ชอบอ้างหาว่าทีครูยังทำได้ แร้วทำไมพวกนู๋จะทำมะได้เคอะ
...
สรัด ! คนจะจังไร แม่งก็จังไรวันยังค่ำ
มันคงเอามาแค่อ้างว่าสิ่งที่มันได้ทำนั้น เลียนแบบครู
กุไม่เถียงว่าครูได้เงินเดือนเป็นหมื่นๆก็จริง
และกุก็ไม่เถียงอีกว่า เงินเดือนเป็นหมื่น แต่หนี้สินน่ะเยอะสัดม๋าเรยค่ะ
หักลบกลบหนี้ ครูเหลือเงินเดือน กันไม่เท่าไหร่
อีกอย่างเวลาที่ครูจะเก็บเงินเด็กนักเรียนมันก็จะรู้สึกกระดาก
เพราะเด็กมันมะมีรายได้แร้วยังเสือกเก็บกับมันอีก
เวลาต้องทำสื่อหรือทำอะไรที่เกี่ยวกับการเสริมความรู้ให้เด็ก
ก็จะใครล่ะ ? ที่ออกงบให้
ไม่มี้ ... มีแต่ครู จนๆ นี่แหละ ที่ออกให้ สงสารก็สงสาร จนก็จน
ทำไงได้เสือกมีคำว่าครู ติดตัวอยู่นี่
ลองคิดดู กุยังไม่เคยเห็น พวกวิศวะคนไหน
สร้างบ้านให้คนอยู่ฟรีๆ หรือหมอคนไหนที่ผ่าตัด
หรือ ให้ยาคนไข้ ฟรีๆเลย
นอกจากหมอที่เสียสละไปอยู่บนดอยซึ่งก็น้อยมากถ้าเทียบกับครู
เด๊วนี้ถามเด็กๆก็ไม่มีใครอยากเป็นครูแม่งแล้ว เงินเดือนน้อย
เสียสละมาก พ่อกุเล่าว่า ครูแถบอิสานที่มากันเยอะสุดๆนั้น
ก็เป็นพวกที่ต่อสู้กับความลำบาก ไม่เคยที่จะได้ในสิ่งที่ตนเองอยากจะได้
ถ้าอยากได้อะไรก็ต้องต่อสู้เอา มันคือความเป็นจริงในสังคมชนบท
ทุกวันนี้ กุเห็น กุรู้จักสังคมแบบนี้ ตั้งแต่กุยังเล็กๆ เพราะพ่อแม่กุ
ก็เป็นครูบ้านนอกเช่นกันกุได้เห็น กุได้สัมผัส มันจึงทำให้กุรู้สึกว่า
กุอยากเป็นครูนะ กุอยากจะเป็นอย่างพ่อแม่กุ
นี่คือสิ่งที่กุเรียนรู้ว่าครูมีเกียรติ แต่เด๊วนี้ ใครๆก็ว่าครูไม่ดี
การกระทำที่ไม่ดีต่อเด็ก ถ้าใครที่โดนกดดันมากๆ แล้วโดนเพิกเฉย
แม้กระทั่งส่งหนังสือมาร้องเรียน ก็ยังเสือกโดนเมิน
ไม่มีเหี้ยไรคืบหน้า ถ้าอาชีพอื่นๆ โดนแบบนี้ แม่งกุว่าไม่ฆ่าตัวตายไปเรยเหรอวะ ?
แต่ครู มันเหมือนโดนถีบด้วยแผ่นป้ายขนาดยักษ์ อยู่เต็มหน้าว่า
" มึงเป็นครู มึงไม่ควรทำตัวแบบนี้ "
แล้วครูคือเทวดา รึไงวะ ครูแม่งไม่ใช่คนรึไง
ครูไม่ต้องแด่ก ไม่ต้องขี้ ไม่ต้องปี้ ไม่ต้องนอน เหรอ ?
สัด พูดยังกะครูไม่ใช่มนุษย์เรย ทีเวลาที่ไม่มีเรื่อง
หรือมีเรื่องเล็กๆน้อยๆ ครูก็ไม่เคยประท้วงกันหรอก
แต่คนหัวควย มันก็ยังมีอยู่ สักแต่จะพูด สักแต่จะว่า
ในเรื่องที่มันไม่ได้เกี่ยวข้องกับตัวเอง ว่าคนอื่นเค้า อย่างนั้นอย่างนี้
ถ้าไม่ได้รู้เบื้องลึกเบื้องหลัง ก็อย่าว่ากันดีกว่า
มันกวนส้นตีนกุจริงๆ รู้สึกอยากเอาตีนลูบหน้าตะหงิดๆว่ะ
ตอนแรกก็ไม่ได้คิดจะกรีดเลือดกัน แต่ครูเรียกร้องกับนายกว่า
ถ้าไม่ออกมาคุยกัน ก็จะกรีดเลือด ทีนี้ นายกก็แม่งไม่ออกมาซักที
ครูพูดไปแล้วทำไงได้วะก็ต้องกรีด
เพื่อแสดงคำสัตย์ที่พูดออกไป ก็จำเป็นต้องกรีดแหละวะ
เป็นกุ กุก็กรีดเพราะกุมีความบ้าเลือด บ้าพลัง อยู่มากทีเดียว
ถ้าให้กุได้ฟิวส์ขาด กุก็เอาเหมือนกัน
แร้วยิ่งครูพวกนี้ เค้าอยู่ชนบท เค้าอยู่กับความลำบาก
เมื่อเค้าได้ออกมาเรียกร้อง เค้าก็ต้องเป็นแบบนี้
กุไม่รู้ว่า ร้าดถ่าบัน คิดอะไรกันอยู่ที่จะให้พวก อมทุกบาททุกสตางค์
มาควบคุมครูเนี่ย กุรู้ว่าพวกนี้ ก็มีคนดีๆอยู่
แต่คนเหี้ยๆ ชั่วๆ นั้นมีมากกว่า แด๊กเงินกันชิบหายวายป่วง
ก็ยังเสือกจะไว้ใจมันอีกเหรอวะ ? กว่าเงินจะเข้ามาถึงโรงเรียน
กุว่า จะเหลือซักบาทไม๊วะนี่ ปกติแล้วเมื่อก่อน
การขอ งบประมาณต้องผ่านเหี้ยไรเยอะแยะ
ทีนี้ ก็มีกฎหมายออกมาอีกว่าให้ตั้งคณะกรรมการโรงเรียนมา
( พวกชาวบ้านที่เป็นผู้ปกครองนักเรียน )
แร้วให้งบประมาณมาจัดสรร เพื่อซื้อของเข้าโรงเรียนกันเอง
โดยมีผู้บริหารร่วมกันจัดหา กุว่ามันก็ดีอยู่แล้ว
เพราะเด็กๆจะได้มีการศึกษาที่ดีขึ้น ไม่ต้องรอ งบ
ที่จะซื้อนานจนรากงอก อยากได้อะไรก็มาประชุมกัน
ให้เห็นว่าโปร่งใส เสร็จแล้วก็เบิกงบไปซื้อ แบบนี้ดีกว่า
แต่แล้ว เหมือนฟ้าผ่าต้นมะพร้าว เรื่องมันเรยเกิดขึ้น
ที่จะให้ อมทุกบาททุกสตางค์ เข้ามามีส่วนร่วม
ในการจัดสรรงบประมาณ กุว่า กว่างบจะผ่าน
แด่กกันจนพุงปลิ้นแร้วม้าง สมมติงบให้มา 500 ค่านมโรงเรียน
ถ้ามีอิพวก อม มันก็จะแด๊กไปซะ 200 เหลืองบให้เด็กซื้อนมซะ 300
แร้วทีนี้ เด็กได้แด่กเหี้ยไร ? ก็ต้องแด่กนมผสมน้ำเปล่า เจือจางสุดๆ
แร้วจะเอารอยหยักที่ไหนไปใช้ในการเรียนการสอนได้วะ
ก็มันไม่มีอะไรบำรุงสมอง ยิ่งโดนเหาแด่กหัวกันอยู่ด้วยเด็กๆน่ะ
เลือดออกเพราะโดนเหาแด่ก แถมนมที่ได้ไป ก็ไม่มีอะไรที่ช่วย
ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอเลย แม่งน่าสงสารจริงๆ
บางคนก็เสร่อมากๆ บอกว่า ครูทำแบบนี้
เอาเวลาไปสอนหนังสือเด็กดีกว่ามัวแต่มาเดินประท้วงแบบนี้ เป็นสิ่งที่ไม่ควรกระทำ
ควย ค้วย ควย จริงๆเรยค่ะ
...
ถ้ามันไม่เกี่ยวกับตัวเด็ก ครูจะเรียกร้องทำหอกไรวะ
ก็เพื่อเด็กๆเนี่ย ครูถึงต้องมาประท้วงกัน
หรือว่า ไม่มีใครอยากให้เด็กได้ของมาสนับสนุนการศึกษาชิบหาย ...
เค้าอุตส่าห์ มาจากที่ไกลๆ มาเพื่อ เด็กๆ
ทนนั่งรถจนตูดบาน แถมนั่งตากแดดตากฝน อดทน
ก็เพื่อเรียกร้องให้เด็กๆ เรียกร้องความเป็นธรรมให้กับตัวเอง
ก็ยังเสือกมีคนมาพูดงี้ เป็นกุ กุเดินเข้าไปตบเรยนะนี่
คนเราอะไรที่ไม่เกิดกับตัวเอง มันมักจะไม่รู้สึกอะไรหรอก
ครูต้องเสียสละ ครูต้องไม่ทำอะไรวู่วาม ลองมาเป็นครูดูเด่ะ
เงินเดือนก็ไม่สมกับความเหนื่อยยาก ไหนจะต้องโดนว่าอีก
ไหนจะต้องต่อสู้กับเด็กๆที่มีในห้อง แต่ละคนแม่งก็ไม่เหมือนกันซักนิด
เวลาครูสอน แม่งก็เย้วๆๆ กันจะตายห่า ครูก็ต้องอดทน
ครูคนเดียว นักเรียนห้องนึง ก็ปาไปเท่าไหร่อิพวกเหี้ยที่มันชอบว่าครู
กุอยากรู้ ถ้าอย่างมัน มันจะทำได้แมะ ?
ไม่ได้ต่อสู้กับเด็กๆอย่างเดียว ผู้ปกครองเด็กบางคน สันดานควายก็มี
พวกคนเก่งๆ ก็เมินอาชีพนี้ เพราะเงินมันไม่ดี ใครเค้าจะอยากเรียน
แร้วก็มาหาว่าพวกเรียนแย่ๆ ไม่รู้จะเรียนอะไร
เรยต้องมาเป็นครู มึงรู้ได้ไง กุคนนึงที่เรียนแย่อันนี้กุยอมรับ
แต่กุไม่ยอมรับว่า คนอื่นๆที่เรียนครู จะเรียนแย่
แล้วหลักสูตรของครู ก็ไม่ได้ง่ายอย่างที่ใครๆคิด
กุว่ามันยากส์ชิบหายเลย ยากส์สุดๆ เรียนก็หนัก
แต่ก็ไม่มีใครต้องการ น่าน้อยใจชิบหาย
ถ้า ... ( ละไว้ในฐานที่เข้าใจ ) เรียนไม่จบ ป. ตรี แต่เสือกได้งานดีๆ ได้เงินดีๆ
กุว่าไม่ต้องเรียนแม่งดีกว่าว่ะ ไปสมัครสอบ ... ( ละไว้ฯ )
แล้วนั่งกระดิกตีน หายใจทิ้งไปวันๆ ท่าจะดีกว่า
ไม่ต้องจบเหี้ยไรก็ได้เงินเดือน ดีๆ ได้แด๊ก เต็มๆตีน
แร้ว ไม่ต้องอดทนเรียนให้ปวดหัว
กุถึงว่าเด่ะ แม่ง ... ใครๆก็อยากเป็น อบต. กันซะจริงๆ
ทั้งยิงกัน ทั้งฆ่ากันตายห่าก็เยอะ ที่แท้ มันเป็นเช่นนี้แล
โอ้ว เย่ ... เยะเป็ด !

มันบอกว่า อยากมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษา
กุจำได้เพราะกุดู ถึงลูกถึงคน แค่กุเรียนครู กุยังร้องห่มร้องไห้แทบตาย
ตอนฝึกสอน เพราะเขียนแผนการสอนแล้วก็อ่านหลักสูตรการศึกษาของโรงเรียน
กุก็จะอ้วกแตกแร้ว อิพวกนี้มันเป็นใครวะ ?
อัจฉริยะ ถึงขนาดมาสร้างหลักสูตรให้โรงเรียนเรยเหรอ
ถ้าแน่จริง มึงก็ไปบริหารประเทศไป๊ แต่ต้องบริหารดีๆนะ
ร้าดถ่าบัน หัวควยๆ น่ะ อย่าไปทำเอาแบบดีๆ สุดยอดๆ ไปเล้ย
นี่แหละ กุจะนับถือ กุมาพล่าม เข้าข้าง เข้าใจครูสุดๆ
เพราะพ่อแม่กุ อากุ เป็นครู แถมตัวกุก็จะเป็นครูในอนาคต
ช่วยไม่ได้จริงๆ ถ้าอ่านแร้วคิดว่ากุคิดแง่เดียว
ส้วมกุ กุจะขี้ มันเรื่องของกุ
อนาคต ก็ไม่มีอีกแล้ว พวกข้าราชการ จะมีแต่พวกอัตราจ้าง
ควบคุมกันเข้าไปไม่มีใครอยากเป็นครูแล้วโว้ย
เพราะโดนกดดัน ชิบหาย ... พวกมึงมาเป็นครูกันเองเซ่
แร้วจะเข้าใจ แร้วจะรู้ซึ้ง ถึงคำว่า " คุรุ " มันแปลว่า หนัก ไม่ได้แปลว่า เบา
เห็นใจกันบ้าง ... เติบโต มีความรู้ เพราะครู อาชีพที่เสียสละ
แต่โดนมองข้าม

ภาษาเหนือวันละคำวันนี้ คำว่า เปิง อ่านว่า เปิง แปลว่า เหมาะสม , ดูดี
แต่งประโยค ชุดสีชมพูนี่ เปิง กับอิน่องแต้ๆ ซื่อก่เจ้า ย่ะลดฮื่อ
แปลอีกทีว่ะ ชุดสีชมพูนี่เหมาะกับน้องจังเรยนะคะ ซื้อไม๊คะพี่จะลดให้
บ๊าย...บาย
นู๋บลิว เซเลอร์มูน ก๋ากั่น

ป.ล กุได้ยิน คุณ กนก อ่านคำสาปแช่ง โองการแช่งน้ำของครู
ตอนแรกกุคิดว่าครูจะด่า ไอ่เหี้ย ไอ่ควาย แต่เปล่าเลย
กลับกลายเป็นสำนวน สาปแช่งที่ดูดีมากๆ เจ็บปวด
แต่รู้สึกถึงความฮึกเหิมว่ะ สุดยอดจริงๆ ถึงบางคนจะขี้เมา
แต่พอทำอะไรแบบนี้ สำนวนใช้ได้จริงๆ กุนับถือ
ขอให้ครูทุกคนที่เป็นคนดี เสียสละเพื่อประเทศและเด็กตาดำๆ
ขอให้ทุกท่านมีแต่ความสุขความเจริญ
ส่วนพวกจังไร ส้นตีน ที่ชอบแขวะ ชอบด่า หรือพวกครูเหี้ยๆ
ก็ขอให้แม่งตายๆไปซะเหอะ กุรำคาญ

วันพุธที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2548

รวมฮิต ... ช่วงปิดเทอม

ในที่สุดก็ปิดเทอมแล้วโว้ย ... ดีใจมากค่ะ
กุตกลงกับอิโบน้องกุว่าปิดเทอมนี้
กุจะไปอยู่กะมันที่บางกอก ไม่ใช่อะไร
จะไปอดข้าวอดน้ำที่นู่น คาดว่า อาจจะผอมกลับพิดโลก
หิหิหิ
( จริงๆแล้วกุว่าถ้าไปนะ แม่ต้องส่งเงินให้แด๊กกันเรียบแหงๆ
กุก่าอิโบว์ยิ่งกระเพาะควายกันอยู่ )
อุตส่าห์พูดก่าอิโบว์ไว้ดิบดี
"เห้ยๆ เด๊วกุไปอยู่โด้ยเวร้ย ฮิ้ววว"
แต่แม่ง ฝันกุสลายในบัดดล เพราะน้องชายกุ
ซึ่งเป็นลูกของอากุ มันเสรือกมาเรียนกีต้าร์ที่พิดโลก
ไม่ใช่ที่แพร่ไม่มีที่เรียน แต่มันจะมาพิดโลก
เพราะสาเหตุใดอันนี้กุไม่อาจจะทราบได้
และไม่คิดจะถาม เชอะ ! เด๊วมันหาว่ากุเสือก

กุมีชีวิตไปวันๆ จริงๆ ในช่วงปิดเทอม
หาสาระอะไรไม่ค่อยได้แต่กุว่าดีแล้วที่ไร้สาระ
เพราะถ้าจะเอาสาระกับคนอย่างกุก็ฝันเท่านั้น
กุไม่มีสาระอะไร นอกจาก สาร ( ะ ) เลว !!!
และเมื่อความไร้สาระเข้าครอบงำ
ชีวิตกุจึงมีแต่ความเป็นอยู่แบบลูกโซ่
ทำตัวขึ้นอืดเหมือนหมาเน่าลอยน้ำ ตลอดเวลา
ตื่นมา ก็เกือบเที่ยง บางทีก็เที่ยง ดีจริงๆ
ตื่นมาก็ได้แด่กข้าวกลางวันไม่ต้องแด่กข้าวเช้า
อู๊ยยย ช่วยแม่ ช่วยพ่อ
ช่วยครอบครัว ช่วยชาติ ประหยัดคร่า
จริงๆแล้ว คนตื่นสายนี่ มันอิ่มทิพย์นะ
เหมือนที่ว่ากันว่า "นอนกินบ้านกินเมือง"
แด่กบ้านแด่กเมืองจนอิ่ม เรยนอนได้
ท้องไม่ร้องว่า หิวๆๆๆๆ วะฮะๆ

พอกุสังคยานาตัวเองเสร็จเรียบร้อย
กุก็ซักผ้า ไอ่ผ้าเนี่ย กุซักมันทุกวันแหละ
กุเป็นโรคจิต ไม่ชอบซักผ้า เยอะ ไม่ชอบหมกผ้า
เพราะเด๊วมันจะเหม็นและถ้าเห็นผ้ากองโต
จะรู้สึก เครียดทันที ว่า นี่กุต้องซักเป็นกอง
เท่าภูเขาขนาดนี้เรยเหรอวะเนี่ย ?
จะขี้เกียจในทันที ไม่ได้ๆ กุต้องซักมันทุกวัน
บ้านนี้ก็แปลก ใส่เสื้อผ้ากันเปลืองชิบหายเรย เว้นกุ
พ่อแม่กุอ่ะ ใส่เสื้อผ้าเปลืองแสดดดด
กุก็ไม่เข้าใจว่า ชุดอะไรนักหนา
กลับจากข้างนอก ก็เปลี่ยนแระ เอ่า พอไปเลี้ยงไก่
เลี้ยงน้องหมา เอ่าเปลี่ยนอีกแระ
พอทำภารกิจเสร็จ เอ่า อาบน้ำ เอ่า เปลี่ยนอีก
นอนแล้ว ตื่นเช้ามา เอ่า เปลี่ยนอีก
กุจึงหนีไม่พ้น ที่ต้องซักผ้าเป็นกองๆไม่ได้
อืม ... ว่าไปก็ไม่ไร้สาระซะทั้งหมดแฮะกุ
ในระหว่างที่กุรอผ้ามันปั่นๆ ปู้ยี่ปู้ยำ ปลุกปล้ำ
กับผงซักฟอกในเครื่องนั้นสิ่งที่กุทำประจำ
ติดเป็นสันดาน คือ การนั่งเล่นเน็ท
วันๆ ก็ไม่ทำเหี้ยไร นั่งเล่นเน็ทจนรากงอก
และเมื่อยพุง ตาหลอดดดดด

พอผ้ามันปั่นๆ ก่าผงซักฟอกเสร็จ
กุก็เป็นโรคจิตกลัวผ้าไม่สะอาด อีกเช่นเคย
แม่ง ก็ใครจะไปอยากใส่เสื้อผ้าคันๆได้วะ
กุจะเอาผ้าใส่กะละมัง ที่มีน้ำอยู่เต็มๆปริ่มๆ แทบล้น
แล้วก็จัดการ ล้างๆผ้า ในกะละมัง
มีความสุขที่สุด ที่ได้ รู้ว่า เออผ้าที่กุซัก แม่งโคตรสะอาด
มิเสียแรง ที่ซัก ไหนจะกลิ่นน้ำยาปรับผ้านุ่ม
โอววววว สวรรค์จริงๆ เวลาซักผ้าแล้วได้กลิ่นน้ำยาปรับผ้านุ่ม
เอิ้กๆ
กลิ่นสวรรค์ของกุต้องยี่ห้อ comfort สีม่วง
หอมมากๆ ได้ใจกุสุดๆ แต่แม่กุชอบซื้อสีชมพูมา
เง้อ อะไรของแม่กุเนี่ย
-"-
แต่ก็ไม่เป็นไร ก็หอมดีเหมือนกันวะ
แล้วสวรรค์น้อยๆ ก็เกิดขึ้น ณ กะละมัง ซักผ้า
เวลาเล่น msn เพื่อนๆใน ลิสต์ ก็จะชอบถามคำถาม ว่า
"เห้ยทำไรอยู่วะ"
กุก็ตอบว่า
"ซักผ้าว่ะ"
แร้วมันจะบอกประโยคซ้ำๆกันหลายๆคน เหมือนกันเด๊ะ ว่า
"ชิบหายซักทุกวันเรยนะมึง"
อ่าวห่า ... ก็ผ้ากุเยอะ
กุก็อธิบายร้อยแปดพันเก้า ให้มันฟัง ว่า เพราะอะไร
ต้องซักทุกวันแต่หลังๆ กุเริ่มเบื่อ
ที่จะต้องอธิบาย ให้เมื่อยนิ้ว กุจึงตอบสั้นๆว่า
"เสือกไร มันเรื่องของกุ"
แค่นี้ก็จบ ใครเสือกถามอีก กุก็จะตอบงี้อีก
เหอะๆ เอาสิ เอาก่ากุ

เมื่อกิจวัตรตามสันดานกุ
อย่างที่กล่าวไว้คร่าวๆมาแล้วนี้ ก็ยังไม่หมด
ยังเหลือเวลาอีกเยอะก่อนจะหมดไป 1 วัน
ด้วยความที่ เหงา เคล้า เศร้า แอบเปลี่ยว นิดๆ นั้น
กุจึงไปเช่าหนัง ที่ วีดิโอ อีซี่ มาดูซะหน่อย
ส่วนใหญ่แร้ว กุจะดูพวก หนังฝรั่ง แนว comedy มากกว่า
ผลักประตูร้านเข้าไป ก็เดินไปตรงดิ่ง
ที่มุม หนังฝรั่ง แนว comedy หรือไม่ก็เอาหนังเกาหลี มาดู
เลือกที่คิดว่า ฮา สุดๆ กุชอบ ไม่เหมือนหนังญี่ปุ่น
ที่ดูแร้วไม่รู้เรื่องห่าไรซักอย่าง
กุเป็นคนเข้าใจยากส์ ฉะนั้น ต้องดูอะไรที่มันไม่ต้องคิดมาก
เพราะหัวกุกลวงถ้าเพาะเห็ดในสมองได้
เห็ดก็ไม่ขึ้น เพราะไม่มีแม้กระทั่งขี้เลื่อย
สมองกุกลวงโบ๋วววว จริงๆ

เมื่อไร้สาระได้ครบวงจรแล้ว
ชีวิตกุ ก็เป็นแบบนี้ทุกๆวัน
นอนก็โน่นเลย หลังเที่ยงคืน เป็นเช้าวันใหม่อีกครั้ง
แล้วก็เข้านอน ช่วง ตี 2 ตี 3 แล้วแต่กำลังจะอยู่ได้
... ป่าว ... ไม่มีใครบังคับ
แต่กุเป็นโรค ไม่ง่วง อาจจะง่วง แต่ก็นอนไม่หลับ
เพราะอะไรนั้นกุไม่สามารถบอกได้
ไม่ได้เล่นตัว หรือหยิ่ง แต่กุไม่รู้จริงๆว่า
ที่เป็นแบบนี้มันเพราะอะไร
ในเมื่อกุยังหาคำตอบให้กับตัวเองไม่ได้
คนอื่นจะมาเสือกรู้ก่ากุได้ไงกุต้องเสือกรู้ก่อนใคร
เป็นอันดับแรกสิวะ

แต่ก็นั่นแหละ เพราะความที่กุยังไม่เข้าใจตัวเอง
ยังสับสน ยังฟุ้งซ่าน กุเรยไม่ได้บอกใครว่ากุเป็นอะไร
อืม ... แต่ที่แน่ๆ ถ้ากุเป็นแบบนี้บ่อยๆ
ซักวัน กุรู้ว่ากุต้องเป็นคนบ้า แน่ๆ
และเมื่อทำอะไรแบบนี้บ่อยๆ จนติด
มันก็ต้องเบื่อเป็นธรรมดา แต่ก็ไม่มีปัญญาจะไปไหนได้
กุเรยต้องทำตัวเบื่อโลกแบบนี้ทุกวัน
ซ้ำๆกันจริงๆแล้ว กุไม่เถียงว่า
มีอะไรอีกตั้งเยอะที่กุสามารถทำได้
แต่กุขี้เกียจทำไง เหอๆ กุอ้างไปงั้นๆแหละ
มันมีงานเยอะแยะที่กุทำได้
แต่พอดีความขี้เกียจเข้าครอบงำกุ
เสมือนกับลัทธิราเอเลี่ยน กำลังครอบงำ เหล่าคนโง่
งี่เง่า และ เงี่ยน แอบอ้างทฤษฎี จ้าดง่าว ปัญญาอ่อน
ซึ่งไม่ควรกระทำ และไม่ควรคิด อย่างยิ่ง
ที่จะนำมาใช้ในสังคมที่เริ่มเน่าเฟะ มีหนอนชอนไชยั้วเยี้ยๆ

บางครั้ง กุก็หาไขมันมาใส่ตัวกุอยู่บ่อยๆ
แด่ก chocolate บ้าง แด่ก Unif ifirm บ้าง
แด่กนั่นแด่กนี่ เพราะถือว่ามันคือตัวสร้างความสุขให้กุอย่างหนึ่ง
แต่ก็นั่นแหละ กุก็เริ่มล่ำขึ้น ล่ำขึ้น จนตอนนี้
น้ำหนักก็พรวดขึ้นอย่างแรง เป็นอึ่งอ่างพองตัว ช่วงหน้าฝน
พอน้องมันเรียนกีต้าร์แบบรัดรูป เอ้ย ! แบบรวบรัดเสร็จ
( มันมีพื้นฐานเล็กน้อย )
มันก็กลับแพร่ เพราะโรงเรียนมันเปิดเทอม
ส่วนกุ รอแม่ไปตรวจสุขภาพที่เชียงใหม่
แร้วพอพ่อกับแม่กลับมาพิดโลก กุก็แร่ดไปแพร่ ในทันที
คิดถึงสิ่งแวดล้อมที่แพร่มากๆ
เหมือนกุได้กลับบ้านจริงๆของกุ
บ้านที่อยู่มาตั้งแต่จำความได้
อยู่แพร่ กุก็เล่นกับเด็ก ตัวน้อยๆ อายุ ประมาณ 6 เดือน
ชื่อน้องดรีม น้องดรีมเป็นเด็กที่
ถ้าเทียบกับเด็กสาวรุ่นๆ ก็คงกลายเป็นสเปคอาเสี่ยแน่ๆ
เพราะน้องดรีมเป็นเด็กที่อ้วนๆ อวบๆ ขาวๆ
ดูไปดูมา เหมือนตัวปลวก ยิ่งนักน่ากินมาก
เนื้อคงหวานน่าดู มันน่ารักสุดๆ
( พูดแร้วคิดถึงมันว่ะแม่ง )
กุฟัดมัน หอมแก้มมัน กอดมัน จนมันร้องไห้
ก๊าก สะใจแสดดดดด

ชีวิต วันๆ ก็เล่นก่าเด็ก บางที น้องกุต่อเน็ทไว้
พอกุเดินเข้าไป มันก็ถามว่า "เล่นป่ะ"
กุก็ด้วยความเสียดาย ว่าเออนะ
อุตส่าห์เสียตังค์ต่อเน็ทแร้ว จะ disconnect เรย ก็นะ
เรยตอบว่า "เออเล่นเด่ะ"
ใครเข้ามาอ่าน กุขอสารภาพว่า จริงๆแล้ว
ใจนึงกุก็อยากเล่นระริก ระริกแต่อีกใจนึงก็เบื่อ
แต่มันก็ไม่มีไรทำ ( อีกแล้ว มุขนี้อีกแร้วกุ )
กุเรยมานั่งพุงปลิ้นเล่นเน็ทต่อไป

กุไปวัดมาด้วย ช่วงออกพรรษา ตื่นแต่เช้าเรย
แม่ง หนาวก็หนาว แต่ก็ไม่เป็นไร
ไปทำบุญให้ญาติที่ตายไปแร้ว ทางเหนือจะเป็นแบบนี้
คือ ให้พระพูดสวดๆๆๆ ว่าใครทำบุญให้ใคร
คนที่ตายไปจะได้มารับส่วนบุญ รับข้าวปลาอาหารต่างๆ
กุเห็นผู้หญิงคนนึงในวัด แต่งตัว ก็แบบว่า ชุดไทย
แต่เจ๊แกมั่นมากเขียนคิ้วซะโก่งเป็นสะพานแขวนเรย
ป้ากุเล่าให้ฟังว่าเจ๊แกเคยมีลูก แล้วยกให้คนอื่น
เพราะคิดว่า ตัวเองจะมีได้อีกคน แต่แล้วก็มีไม่ได้
ไปๆมาๆ ก็ไปญี่ปุ่น มีผัวอยู่ญี่ปุ่น
( ซึ่งกุแอบสันนิษฐานไว้ว่า คงไปขายหอยสด )
แร้วเจ๊แกก็กลับมาเมืองไทย ได้มีโอกาสมาเที่ยวที่พิดโลก
วัดหลวงพ่อพุทธชินราช หรือวัดใหญ่
ป้ากุก็เล่าต่อว่า มีใครก็ไม่รู้
เอาตุ๊กตาตัวใหญ่ๆ มาให้เจ๊แกเลี้ยง เจ๊แกก็บอกว่า
เนี่ย ตุ๊กตาตัวนี้ คือลูกของแก
ตั้งชื่อว่า น้องแพท อูยยย กุขนลุก
ม่ว่า เจ๊แกจะไปไหน แกก็จะอุ้มตุ๊กตาตัวนี้ไปด้วยตลอด
บอกว่าเป็นลูก ซึ่งกุก็แอบสันนิษฐานอีกแล้วว่า
ถ้าเป็นคนปกติ เค้าจะทำกันเหรอวะ ?
เจ๊แกอาจจะเพี้ยนๆ เหมือนคนห่วยๆ
ที่นับถือ ลัทธิ ราเอเลี่ยน นั่นแหละ
( นั่นไง เจอกุด่าอีกดอกนึงแร้ว อิอิ )
วันดีคืนดี แกก็จะบอกกับคนอื่นว่า เนี่ย น้องแพท ยิ้มให้แกด้วย
หูยยย กุกลัวง่ะ
-"-
พอละๆ ยิ่งพิมพ์ก็ยิ่งกลัว
แมร่ง ... ตัวล่ำเหมือนควาย
แต่ใจ น้อย เท่า มดลูกของมดแดง
อืม ... กุได้ไปบริจาคเลือดที่อำเภอมาด้วย
เค้ามีพวกกาชาด แล้วก็หมอ มารับบริจาคเลือด
ซึ่งที่บ้านกุ ป้ากุกับอากุ ก็ไปบริจาคทุกๆ 3 เดือน อยู่แล้ว
เค้าจะมีหนังสือแจ้งมา แต่คราวนี้ อากุ เป็นเมนส์
จึงไปบ่ได้ กุเรยบอกว่า กุอยากบริจาค
กุเรยไปก่าป้ากุกุภาวนา ว่า ขออย่าให้เลือดลอย
เพราะกุตั้งใจจริงๆ บริจาคครั้งนี้เป็นครั้งที่ 4
ปรากฏว่าเลือดกุจม กุดีใจมาก
เพราะอยากบริจาคสุดๆ แต่พอได้ขึ้นเขียง เอ้ย ! ขึ้นนอนเตียง
หมอก็หา เส้นเลือดกุไม่เจอ ตาหลอดดดดด
อีกแร้ววววว หมอหาเส้นเลือดไม่เจออีกแร้ว
กุจะมีปัญหานี้อยู่บ่อยๆ และทุกครั้ง
ที่กุบริจาคเลือดก็ว่าได้ แล้วทำไมคนอ้วนล่ำ กว่ากุ
มันยังเจาะเลือดได้สบายเรยวะ
ตอนแรกเริ่มเจาะมั่วๆที่แขนซ้ายของกุก่อน
พยาบาลบอกกุว่าไม่ฉีดยาชา เพราะหาเส้นเลือดไม่เจอ
กลัวว่าถ้าฉีดเข้าไปแล้ว จะเกิดอาการแขนบวม
กุก็ไม่ว่าอะไร โอ้ย แม่ง เจ็บชิบหายเล้ย !
กุเพิ่งจาเจาะแขนแล้วเจ็บสุดๆ ก็คราวนี้
แล้วเจาะอย่างเดียว รูเดียว มันไม่ได้ เลือดไม่มี
ไม่โดน ว่างั้นเหอะ ก็กระซวกๆๆๆ อยู่หลายครั้ง
จนกุแบบว่า โอ่ยยยย อะไรเนี่ย กุเจ็บแขน
อู๊ยยยย พูดแร้วเสียวว้อย 55555555
พอเจาะแขนซ้ายไม่มีเลือด ก็เอาเข็มเจาะควาย เล่มนั้น
ทิ่มปักไว้ที่แขนซ้ายก่อนแล้วเรียกหมอผู้ชาย
มาเจาะแขนขวาให้กุ หมอผู้ชายเค้าก็ไม่รู้ว่า
แขนซ้ายของกุไม่ได้ฉีดยาชา เค้าก็ไม่ได้สนใจว่า
เข็มเจาะควายนั่นปักแร้วเจ็บ เค้าก็มาเจาะแขนขวา
ก็หาเส้นเลือดไม่เจออีก เค้าเรยมั่วๆ คลำๆเส้นเลือด
แล้วก็ฉีดยาชา แล้วเจาะหาเส้นเลือด ก็ควานหาไม่เจออีก
แม่ง นี่กุไขมันอุดตันเกินไปหรือกุหนังเหนียว
และหนาปานหนังแร่ด กันแน่วะเนี่ย
เหอๆๆปรากฏว่า หมอผู้ชายเจาะเส้นเลือดกุ
แต่มะค่อยจะตรงเท่าไหร่เลือดกุไหล
แต่ไหลแบบเยี่ยวแมว มันไหลนิดเดียวจริงๆ
เค้าต้องขยับเข็มเจาะควายอยู่หลายครั้ง กุก็เจ็บเด่ะ
แม่ง อะไรนักหนาวะตอนบริจาคที่พิดโลก เค้าควานเส้นเลือดกุ
ไม่เจอก็จริง แต่ก็บริจาคได้เต็มถุงตลอด
แต่วันนั้น กุได้บริจาคไปนิดเดียว เพราะเลือดกุไม่ค่อยไหล
ได้ไปไม่เต็มถุงกุเสียใจมาก แซ้ดดดด สุดๆ
กุถามว่า เลือดน้อยไม่เต็มแบบนี้ มันใช้ได้หรือไม่ได้
หมอเค้าก็บอกว่า ก็ใช้ได้ แต่ว่า ให้เด็กๆ ที่ต้องการเลือดน้อยๆ
อืม ... ก็ยังดีวะ แม่ง ดีกว่า เอาไปเททิ้ง แง้ เศร้าตายห่าเรยกุ
อยู่แพร่ ญาติๆกุก็ถามว่ากุจะอยู่ถึงวันไหน
กุก็บอกว่าไม่แน่ อาจจะ 22 หรือ 23
เค้าก็ขุนกุใหญ่เล้ยยย ทำนั่นทำนี่ให้กุแด่ก
โอ๊ยยย สบายพุง มากๆปลิ้นแร้วปลิ้นอีก
ฉะนั้น อย่าสงสัย ว่าทำไม กุน้ำหนักขึ้นพรวด
เพราะนิสัย แด่กกระจาย และ ญาติๆ
กลัวหลาน อดอยากปากมัน
ทำแต่ของที่กุชอบท้างน้าน แระกุก็สันดานชอบแด่ก
กุจึงไม่เกรงใจใครทั้งสิ้นมีให้แด่กก็แด่ก เหอๆๆ
แร้วก็มานั่งเสียใจทีหลัง เห้อ กุไม่น่าแด่กแม่งเรย
แต่เสียใจได้แป๊บเดียว พอมีเมนูใหม่ๆมา
กุก็แด่กอีก วะฮะๆ ชาติหน้าคงผอมหรอก
มีความสุขมาก เมื่อได้อยู่ที่บ้าน ไม่มีที่ไหนหรอก
จะสุขได้เท่าที่บ้าน หวังว่า คนที่กำลังหลงระเริงกับสิ่งเลวร้าย
และอันตรายนอกบ้าน จะเข้าใจได้เร็วๆซักทีว่า
ความสุขนอกบ้าน หาใช่ความสุข
ที่ทำให้ชื่นใจซักนิดไม่
ภาษาเหนือวันละคำวันนี้ คำว่า ส้มต๋า อ่านว่า ส้ม - ต๋า แปลว่า หมั่นไส้
( เป็นศัพท์ของวัยรุ่นทางเหนือ slang จากคำว่า "แกนต๋า" )
แต่งประโยค หันละอ่อนป้อจายหมู่นี่ ใส่เกิบย่ำส้นตี๋นแล่วฮาส้มต๋าไค่เต๊ะมัน
แปลอีกทีว่ะ เห็นเด็กผู้ชายพวกนี้ใส่รองเท้าเหยียบส้น แล้วกุหมั่นไส้อยากจะเตะแม่ง