วันพุธที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2548

ปม


ตั้งแต่ที่กุจำความได้มือกุก็มีแต่ข้าวเหนียวติดเต็มมือ
เพราะไปอยู่ที่แพร่ โดยมี ย่า กับ ป้า ชุบเลี้ยงกุมา ที่แพร่ เค้ากินข้าวเหนียว
เป็นอาหารหลัก ไม่ว่าจะเป็น breakfast หรือ lunch และ dinner
กุจึงยืดอกน้อยๆของกุอย่างเต็มภาคภูมิว่า กุคือคนแพร่ โคตรๆ แท้ๆ
ถึงแม้แม่กุจะเป็นคนคอนหวันก็ตาม แต่ถ้าใครถาม กุจะบอกว่า กุคนแพร่
พ่อกับแม่กุเป็นครูอยู่ที่พิดโลก อ.ชาติตระการ ก็ไกลจาก อ.เมือง เยอะเหมือนกัน
อิโบว์ หรือ ไอ่โบว์ หรือ ห่าโบว์ หรือเหี้ยไรโบว์ก็ตาม มันก็คือน้องสาวกุ
ตั้งแต่มันเกิด มันก็ลืมตาเห็นหน้าพ่อกับแม่ มาโดยตลอด
กุอยู่กับป้าและย่า ตั้งแต่เด็กๆ เพราะปู่ตายใหม่ๆ ย่ากับป้าเหงา พอกุเกิดได้ไม่เท่าไหร่
เค้าก็เรยเมตตา กรุณา กุ เอากุไปเลี้ยงดู ปูตีน เอ้ย ปูเสื่อ อย่าง ดิบๆ เอ้ย ดิบดี
การที่เด็กสาววัยใส ต้องผจญกับโลกกว้าง โดยปราศจากพ่อกับแม่
มันก็คงไม่ได้มีความสุข ดีนัก ถึงแม้จะได้รับความรักจากป้าและย่า
เต็มๆตีน ก็ตาม

ย่ากับป้า รักกุเท่าแก้วตาดวงใจ ขนาดไหน ในใจกุลึกๆ กุอยากมีพ่อแม่
ยายเนียม ... 1 ในสมาชิกของหมู่บ้าน เคยรังแกหัวใจของกุให้เจ็บปวด
ยายเนียมบอกว่า "โอ๊ย...เค้าไม่รักบลิวหรอกพ่อแม่น่ะ เค้ารักน้องโบว์"
กุถามยายเนียมว่า "แล้วยายรู้ได้ไง พ่อแม่เค้ารักนู๋เหมือนกัน แต่เค้าทำงาน"
กุปลอบใจตัวเอง คิดเข้าข้างตัวเองไว้อย่างนั้น
ยายเนียมยังไม่ยอมยกธงขาว แกก็ต่อสู้ทำสงครามพ่นน้ำลายแบบไม่ยั้ง
"อ้าวถ้าเค้ารักบลิว เค้าก็มารับบลิวไปอยู่พิดโลกด้วยสิ จะให้อยู่ที่แพร่ทำไม"
กุต้องรีบวิ่งหนีออกมา กลับถึงบ้าน ก็ไปแอบร้องไห้ ไม่ให้ใครเห็น
ยายเนียมสร้าง ... ปม ... ที่กัดกร่อนหัวใจดวงน้อยๆ ตอน 3-5 ขวบ ของกุ
มาตลอด

กุเฝ้าถามตัวเองว่า ตกลงพ่อกับแม่ไม่ได้รักกุเหรอ?
บางครั้งพ่อแม่มาหากุ พาไอ่โบว์มาด้วย กุก็ทะเลาะกะไอ่โบว์
มีอยู่ครั้งนึง เท่าที่กุจำได้ ว่า พ่อแม่ กะไอ่โบว์ กลับพิดโลก
ไปหมดแล้ว พึ่งจะกลับไปไม่ถึง 5 นาที กุเผลอคิดถึง พ่อแม่ กับไอ่โบว์
ก็ไปหา ดินสอ กับกระดาษ มาเขียนจดหมายถึง ทั้งๆที่ก่อนหน้าพ่อแม่จะกลับ
กุกะไอ่โบว์ ทะเลาะกัน ตีกันชิบหายวายป่วง แต่พอทุกคนกลับไป
กุก็มานั่งตรงบันไดบ้าน น้ำตาไหล คิดถึงพ่อแม่ และไอ่โบว์ ซะงั้น
เท่าที่กุจำได้ กุเขียนถึงมันประมาณว่า "โบว์ พี่ขอโทษที่ต้องทะเลาะกัน
ต่อไปพี่จะไม่ทำแบบนี้อีกแล้ว ฯลฯ"
ประมาณนี้แหละมั้ง แม่งเห้อะ เสียศักดิ์ศรีชิบหายเรย

 - -!

 หิหิ

ตอนเด็กๆกุเปลี่ยนโรงเรียนเยอะมาก ซึ่งกุก็ไม่เข้าใจว่า จะเปลี่ยนเหี้ยไรนักหนา
ตอนอยู่เนอสเซอร์รี่ กุบอกกะป้ากะย่าว่า "อยู่โรงเรียนนี้ไม่ดีเลย ไม่มีเสาธง
อยากไปอยู่โรงเรียนที่มีเสาธง" กุจำไม่ได้หรอกว่า กุพูดแบบนี้
แต่ป้ากะย่ามาเล่าให้กุฟัง ตอนที่กุโตเป็นควายแล้ว
อดขำตัวเองไม่ได้ อะไรจะขนาดนั้นวะกุ โรงเรียนไม่มีเสาธงแม่งก็ไม่อยากจะเรียน
หัวไฮโซตั้งแต่เด็กจริงๆ
แล้วพ่อก็ให้กุเรียนก่อนเกณฑ์ 1 ปี ไปอยู่โรงเรียนเอกชน ถ้ากุจำไม่ผิด
โรงเรียนนี้ นับถือ คาทอลิค ซึ่งจะบ่มภาษาอังกฤษให้กับนักเรียน
ตั้งแต่ชั้นอนุบาล กุรู้สึกว่า ตัวกุจะเขียน ตัวเขียนภาษาอังกฤษได้ตั้งแต่ อนุบาล
แต่กว่าจะผ่านมรสุมภาษาอังกฤษนรกนี่มาได้ ก็แทบกระอัก

เด็กอนุบาลเรียนภาษาอังกฤษ? โคตรพ่อโคตรแม่ กุไม่มีใครได้ผัวฝรั่งซักคน
เวลาที่ไม่เข้าใจการบ้านภาษาอังกฤษ กุถามย่ากับป้า เค้าก็ไม่รู้เรื่อง
กุต้องร้องไห้ ไปบ้านของลุงที่เป็นญาติกับกุ ให้น้องเมียลุง สอนภาษาอังกฤษให้
จึงไม่น่าแปลกใจอะไรที่ คนอย่างกุจะมีพื้นฐานภาษาอังกฤษ มาบ้าง
แต่ใช่ว่า จะดีเริ่ด คือ กุก็ยกหางตัวเองไปอย่างนั้น แต่กุก็ชอบเรียนอังกฤษ
มากกว่า คณิตศาสตร์แหละวะ -"-

ทุกวันกุจะมีปิ่นโต ไว้ใส่ข้าวกลางวันไปกินที่โรงเรียน
ช่วงเย็นๆ จะมีรุ่นพี่ ผู้ชายหลายคนที่ขึ้นรถรับส่งคันเดียวกันกับกุ
มาแย่งข้าวในปิ่นโตของกุไปกิน
ซึ่งมันเป็นข้าวที่เหลือจากการกินตอนกลางวันของกุ
ถ้ากุไม่ยอม พวกนั้นก็จะพากันแกล้งกุสารพัด เขกหัวกุ บ้าง
จนกุต้องร้องไห้ กลับบ้านตลอด ทุกวัน กุปวดหัวที่สุดของที่สุด
เวลาที่นั่งอยู่บนรถรับส่ง กุไม่มีเพื่อนซักนิด เพราะเด็กแถวบ้านกุ
มันก็ไม่มีใครมาเรียนในเมือง จะมีแต่พวกรุ่นพี่ ที่อยุ่บ้านถัดๆไป
แต่ก็ยังเป็นหมู่บ้านเดียวกัน แล้วกุก็ไม่ได้สนิทอะไรมากนักกับรุ่นพี่พวกนี้
คุยกันได้ แต่ไม่ถึงกะ ได้คุยเรื่องสนุกๆ อะไรกับเค้า
ส่วนเพื่อนรุ่นเดียวกันในรถรับส่ง มันก็ชอบแกล้งกุ มันถือว่ามันเป็นตัวผู้
มันชื่อ ไอ่กบ ไอ่เบียร์ และไอ่โก้
ทำไมทุกคนต้องรุมแกล้งกุ อันนี้กุก็ไม่รู้ รู้แค่ว่า ทุกวัน กุกลับบ้านไปร้องไห้
ฟ้องย่ากับป้าตลอด แต่ย่ากับป้า เค้าก็ไม่รู้จะทำยังไง
ทำได้แค่เพียงปลอบใจกุ หรือพูดติดตลกประมาณว่า
"ต่อไปก็บอกมันซี่ ไอ่กบ ก็เรียกมันว่า ไอ่เขียด ไอ่เบียร์ ให้เรียกว่าไอ่เหล้า
ส่วนไอ่โก้ ให้เรียกมันว่าไอ่ดิสโก้ มาแกล้งกุทำไม๊"
กุก็ได้แต่หัวเราะ เพราะบ้านกุไม่ได้สอนให้ต่อสู้กับใคร
(ปัจจุบัน ไอ่โก้มันตายห่าไปแล้ว เพราะโดนเค้าฆ่า คงเป็นเพราะยาบ้าก็เป็นได้)
กุอโหสิให้มึงว่ะ โก้

พี่ผู้หญิงบางคน เวลาที่กุเห็นเค้าคุย เห็นเค้ายิ้มกับเพื่อนๆ ดูแล้วเค้าน่ารักดี
และกุก็เหงา กุแค่อยากรู้ว่า เค้าคุยอะไรกันเหรอ? น่าสนุกดีจัง
กุก็เรยนั่งมองหน้าเค้าเวลาคุย
ปรากฎว่าพอพี่คนนี้เค้าหันมาเห็นกุมองหน้าเค้า
เค้าถามกุอย่างดัดจริตมากๆว่า "ทำไมเหรอบลิว มองหน้าพี่ทำไม
พี่สวยนักเหรอไง" พ่อมึง อิสัด สวยเย็ดเป็ดเรยมึง
กุคงตอบแบบนี้ ถ้าในตอนนั้น กุเป็นคนแบบนี้ แบบปัจจุบันที่กุเป็น
แต่ตอนนั้น เด็กหญิง ได้แต่น้อยใจในโชคชะตา
ไอ่ห่า ทำไมใครๆถึงได้เกลียดกุนัก เค้าไม่ชอบอะไรกุวะ
กุไปทำอะไรให้เค้าวะเนี่ย กุก็กลับบ้านไปร้องไห้อีก
เด็กก็คือเด็ก จะให้คิดอะไรได้ เหมือนผู้ใหญ่ก็เป็นไปไม่ได้
ในตอนนั้น กุคิดได้แค่ น้อยใจ เสียใจ กุไม่มีเพื่อน กุเหงา กุเหงา กุเหงา ...
ดังนั้นเมื่อกุเติบโตขึ้นมาเรียนรู้ชีวิตหลายๆอย่าง
กุได้แต่พูดกับตัวเองว่า ซักวันกุต้องแข็งแกร่ง ซักวัน จะไม่มีใครแกล้งกุได้
แล้วกุก็เติบโตขึ้นจริงๆ ถึงแม้บางอย่างจะไม่โตตามอายุก็ตาม - -!
ตอนนี้กุจึงเป็นคนที่ไม่ยอมใครง่ายๆ ใครทำร้ายหรือรังแกกุก่อน
กุก็จะสู้ โดยมีพลังช้างสารมาจากไหนก็ไม่รู้ เวลาที่กุ บิ๊วด์อารมณ์ถ่อยได้สุดๆ
ฉะนั้น หากกุได้เล่าให้ใครฟังเกี่ยวกับอดีตชาติของกุว่ากุเคยเป็นไง
คนๆนั้นก็อาจจะเข้าใจในสิ่งที่กุเป็นอยู่ก็ได้ และมันก็คงไม่แปลกใจ
ว่าทำไม อิบลิว มันถึง ได้นิสัย สันดาน แบบนี้ เหอะๆ
กุเรียนที่นั่นจนจบ ป. 1
กุก็ย้ายเข้ามาเรียนโรงเรียนรัฐบาลที่ถือว่ามีชื่อเสียงในแพร่ 

พ่อให้กุเรียนซ้ำ ป. 1 อีก ปีนึง โดยพ่อให้เหตุผลกับกุว่า มันเรียนก่อนเกณฑ์
ให้มันเรียน ตามเกณฑ์นั่นแหละ จะได้ไม่โง่ กลัวลูกสาวจะตามเพื่อนไม่ทัน
ปั๊ดโธ่! แต่พ่อหารู้ไม่ว่า ยิ่งเรียนตามเกณฑ์ กุก็ยิ่งโง่ลงชิบหายเรย
แทนที่ถ้าเรียนก่อนเกณฑ์ กุอาจจะฉลาดกว่านี้ก็เป็นได้

กุพยายามบอกใครต่อใคร ว่า
"นู๋ไม่ได้ซ้ำชั้นนะ แต่นู๋เรียนก่อนเกณฑ์ พ่อเค้าให้เรียนตามเกณฑ์"
พอถูกกดดันเรื่องพ่อแม่เข้ามากๆ กุตัดสินใจที่จะไปเรียนพิดโลกไปอยู่กับพ่อแม่
ไปเข้าเรียนชั้น ป. 2 ที่โรงเรียนที่ อ.ชาติตระการ
อุ๊ย ... ไม่อยากจะอวดเรยว่า โรงเรียนนี้ พ่อกุเป็นคนแต่งเพลงมาร์ช โฮะๆ
มาอยู่ที่นี่กุต้องปรับตัวกับอะไรหลายๆอย่าง ได้เงินไปโรงเรียนวันละ 2 บาท
เพราะเวลาพักเที่ยง ก็มากินข้าวที่โรงอาหาร อากุขายลูกชิ้น
ก็มาช่วยอาขายลูกชิ้น แร้วอาก็ให้เงินไปซื้อข้าวกิน

กุไม่ชอบเลย เวลาที่ต้องไปช่วยอาขายลูกชิ้น เพราะกุเกลียดตัวเลข
กุเกลียดเวลาที่จะต้องทอนเงิน จะต้องเก็บเงิน หรือคิดเงิน
สมองกุ มันไม่เอาซะเลย อีกอย่าง ตอนนั้นก็หน้าบาง อายเค้า
อะไรกัน ทำไมกุต้องมาขายของด้วย อายจัง อายเพื่อนสุดๆ
กุมาช่วยอาขายลูกชิ้นทุกวัน และทุกวัน กุต้องโดนอาหยิกบ้าง ตีบ้าง
เพราะกุ โง่ๆ ซื่อๆ บ้องตื้นมาก ไม่กระตือรือร้น ในการขายของ
เพราะกุไม่เคยเลย ที่จะมาทำอะไรแบบนี้ ในความรู้สึก
ของเด็ก ป. 2 ที่เข้ามาเจอสังคมอีกรูปแบบนึง ชีวิตเด็กแพร่ ที่เคยนุ่มนิ่ม หน้าบาง
ค่อยๆสั่งสม กลายเป็นเด็กพิดโลกไปเรื่อยๆ ถ้าวันไหนได้เงินไปกินน้ำอัดลม
ถือว่า วันนั้นกุขึ้นสวรรค์เรยก็เป็นได้ เพราะได้เงินวันละ 2 บาท
น้ำอัดลมเหี้ยไหน จะมาขายให้กุ บางครั้งกุแอบไปแคะกระปุกออมสิน มาซื้อกิน
การมาอยู่ที่นี่ไม่ได้สดใส ซาบซ่า เหมือนที่กุเคยฝัน

การที่ได้เป็นลูกครู หาใช่ความมีอภิสิทธิ์ไม่
มันคือฝันร้ายของกุชัดๆ ที่กุจะต้องมาเจอ
พ่อแม่กุเป็นครูที่โรงเรียน และไม่อยากให้ใครมาว่า ลูกของตัวเองว่า
ใช้อภิสิทธิ์ในความเป็นลูกครู มากเกินกว่าลูกคนอื่นๆ
ไม่ว่า กุจะทำถูก คนอื่นผิด หรือว่า กุจะทำผิด คนอื่นทำผิด เช่นกัน
ลูกครูอย่างกุ ก็ต้องโดนพ่อกับแม่ตี หรือทำโทษ ทั้งนั้น
กุก็น้อยใจพ่อกับแม่ คิดกับตัวเองว่า เหี้ยเอ้ย ทำไมวะ ทำไมกุต้องโดนด้วย
ในเมื่อเรื่องนี้กุไม่ผิด! กุไม่ผิด! ได้ยินไม๊ ว่า กุไม่ได้ทำอะไรผิด!
แล้วทำไมไม่มีความยุติธรรมให้กับกุเลยซักนิด
แค่คำว่า กุเป็นลูกครูเท่านั้นเหรอ? ต้องแลกกับความเจ็บปวด ของกุ
โดยที่ยังไม่ได้สอบสวนซักนิดว่า ตกลงใครผิด หรือใครถูกกันแน่
กุเข้าใจว่า พ่อกับแม่ ไม่อยากให้ใครมาว่า ว่าลูกครูมันไม่ได้รับการสั่งสอน
และว่าให้พ่อแม่ว่าลำเอียงเข้าข้างลูกตัวเอง
แต่ตอนนั้นกุเด็ก และมันก็ไม่ยุติธรรมที่จะตัดสินอะไร โดยการมองว่า
จะถูกหรือผิด ลูกครูก็ต้องผิด เว้ย อะไรกันวะเนี่ยกุ

ครั้งนึง มีเหตุการณ์ที่กุยังพอจำได้เลือนลาง
กุไปเล่นกับพวกพี่ๆ ที่เป็นลูกครูเหมือนกัน พี่ปอนด์ กับพี่ปอร์ ไปเล่น
ที่สนามฟุตบอลของโรงเรียน โดยที่พี่ปอร์ กำลังเล่นเดาะปิงปอง
กุเห็นก็ไปขอเล่น พี่ปอร์ก็ให้กุเล่น พอกุเล่นเสร็จ กุบอกพี่ปอร์ว่า
จะให้เอาปิงปองไว้ไหน เพราะเล่นเสร็จแล้ว พี่เค้าก็บอกให้กุเอาวางไว้
ตรงประตู หรือ โกลฟุตบอล กุก็เอาวางไว้ โดยไม่ได้รู้สร้นตรีนไรเรยว่า
ไอ่ม๋าเหี้ยนั่น กะลังจ้องมาทางลูกปิงปอง อย่างหื่นกระหาย มันเขี้ยว
อยากข่มขืนลูกปิงปองอย่างรุนแรง
พอกุวางลูกปิงปอง อิม๋าใจหยาบเลวชาตินี่ มันก็เข้าไปขย้ำกอดรัดฟัดเหวี่ยงลูกปิงปอง
จนเละเทะ ไปหมด พี่ปอนด์ ที่เป็นน้องสาวของพี่ปอร์ เห็น
ก็ร้องไห้โวยวายขึ้นมา ว่า
 "ทำไมน้องบลิวเอาไปวางไว้ตรงนั้น ม๋ามันทำพังหมดแล้ว"
แล้วพี่ปอนด์นี่ก็ร้องไห้ กุก็หน้าเสีย เพราะกุไม่ได้ตั้งใจ
พี่ปอร์ เข้ามาปลอบใจพี่ปอนด์ แล้วก็พาพี่ปอนด์กลับบ้านพักครู
แล้วกุก็เดินกลับ พอไปถึงโรงอาหาร เท่านั้นแหละ กุเห็นพ่อกุ ยืนอยู่
พ่อกุเรียกให้กุไปหา แล้วถามเกี่ยวกับเรื่องนี้

กุก็เล่าให้ฟัง (ยังเล่าไม่จบซะด้วยซ้ำ) สุดท้ายน่ะเหรอ?
กุโดนพ่อฟาดซะไม่มีดี เจ็บก็เจ็บ อายก็อาย เจ็บตัวไม่เท่าไหร่
แต่กุน้อยใจ เจ็บใจมากกว่า ทำไมวะ กุผิดอะไร เค้าให้กุวางไว้
ทำไมกุต้องโดนด้วย ในเมื่อกุบอกพี่เค้าแล้วว่า จะให้กุเอาไว้ตรงไหน
เพราะอะไรทุกคนถึงโอ๋พี่ปอนด์น่ะเหรอ? เพราะพี่ปอนด์มันเป็นโรค
"ธารัสซีเมีย" ต่างก็มีแต่คนประคบประหงมเป็นอย่างดี
สุดท้าย อิบลิวคนแข็งแรง ถึก ๆ คนนี้
ก็โดนดี อีกจนได้ สะใจกุจริงๆ มึงจะเกิดมาทำไมเนี่ย วู้!

ภาษาเหนือวันละคำวันนี้ คำว่า วี อ่านว่า วี แปลว่า พัด
แต่งประโยค บลิวเอ้ย วันนี่ฮ้อนแต้ๆ ไปเอาวี มาวีฮื่อย่าจิ่ม
แปลอีกทีว่ะ บลิวเอ้ย วันนี้ร้อนจริงๆ ไปเอาพัด มาพัดให้ย่าหน่อย

บ๊าย...บาย
นู๋บลิว เซเลอร์มูน ก๋ากั่น

วันอังคารที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2548

จากวันนั้น ... ถึงวันนี้ Vol.3

ตลอดระยะเวลาที่ไปอยู่ที่บางกอก มักมีปัญหาต่างๆเยอะแยะ
แต่ปัญหาที่กุหนักใจมากที่สุดก็คือ อิ 3 ตัวนั้น ที่ไปกับพวกกุ
กุไปกัน 5 คน มี กุ กับไอ่ปัท ที่อยู่กลุ่มเดียวกัน ส่วนพวกมัน 3 คน
ก็อยู่กลุ่มเดียวกัน กุเบื่อความเห็นแก่ตัวของพวกมันอย่างแรง
เวลากุกะไอ่ปัท จะเดินไปตลาดสวนพลูกัน มันก็จะชอบฝากซื้อของ
ทั้งๆที่โรงเรียนกับตลาดมันก็ไม่ได้อยู่ใกล้กันซักนิด
แรกๆ พวกกุแสดงความมีน้ำใจ เพราะไม่อยากเป็นคนที่ไม่รู้จัก
คำว่า "เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่"
แต่หลังๆ ชักจะไม่ไหวแล้ว เพราะพวกมันไม่คิดจะเดินไปเองบ้าง
อะไรๆก็ฝากให้พวกกุซื้อ สาเหตุที่กุต้องไปเดินตลาดบ่อยๆ
ก็เพราะว่า กุเบื่อ อยู่บางกอกน่าเบื่อชิบหาย กุต้องไปหา
อะไรๆที่มันเจริญหูเจริญตา ดูนั่นดูนี่ (ส่วนใหญ่ดูผู้ชาย)

แต่ด้วยความที่พวกมันไม่เคยคิดจะทำไรเอง
ดีแต่ฝากซื้อๆ กุเรยบอกไอ่ปัทว่า อย่าไปบอกมันว่า เราจะไปตลาด
ไอ่ห่าปัทเสือกปากไว เวลามันถามว่าจะไปไหน
ก็ไปบอกมันว่า "เค้าจะไปตลาดสวนพลู"
"พ่อมึง" กุด่าไอ่ปัทไป แร้วบอกต่ออีกว่า
"มึงจะบอกมันทำไมอยากเป็นขี้ข้ามันเหรอวะ"
"เห้ยบลิวเค้าขอโทษเค้าปากไวไปหน่อยว่ะ"
ไอ่ปัทว่างั้น
เวลาที่พวกมันไปตลาด หรือไปซื้อของที่ไหน
ก็ไม่เคยถามพวกกุซักนิดว่ากุต้องการซื้ออะไรบ้าง
มันเบื่อนะที่กุจะต้องทำงาน กลับหอพัก  เจอหน้าพวกมัน
พวกมันชอบไปตีสนิทกะ ไอ่ปาน
ไอ่ปาน คือตัวผู้คนนึง 
พวกกุก็เรยไม่ไปยุ่ง อาจารย์หลายๆคนก็เตือนมาด้วย

แต่พวกมัน อิ 3 เปรต ทำเป็นตีสนิทด้วย
เพราะหวังที่จะให้ไอ่เหี้ยปาน ช่วยเหลือ อยากสบายว่างั้น
เวลาที่อาจารย์คนอื่นมอง แม่งก็มองรวมทั้งหมด 5 คน ว่าไม่ดี
เพราะถือว่ามาด้วยกัน เวรแท้ๆ
แม่งมีตั้งหลายเรื่อง ที่กุโคตรจะโมโห แต่ถ้าอัพลงบล็อก
กุว่า 3 วัน 7 วัน ก็คงไม่หมด ช่างแม่ง ขี้เกียจ

... เมื่อถึงกำหนดกลับ ...
พวกมันขออาจารย์กลับก่อน ส่วนกุขออาจารย์อยู่ดินแดงกับเพื่อน
แล้วค่อยรอให้อาจารย์มารับ เพราะอาจารย์ต้องพาเพื่อนๆ
มาเที่ยวบางกอกอยู่แร้ว กุจะได้ไม่ต้องเสียตังค์กลับพิดโลกอีก
ชิบหาย ... แม่ง อิห่าพวกนั้นเสือกจะกลับๆๆๆ อาจารย์เรยต้องให้
พวกกุ กลับพิดโลกหมดทั้ง 5 คน ครบทีม ต้องมาเสียตังค์
เพราะอิเหี้ยพวกนี้อีก กุล่ะเซ็งมากๆ นั่งรถเหนื่อยก็เหนื่อย
ไอ่ปัทบอกว่า มันหาสมุดเซ็นชื่อ ไม่เจอ แล้วต้องเอาไปส่งอาจารย์ด้วย
ไอ่ปัทเสือกเป็นหัวหน้าหน่วย ต้องรับผิดชอบ ไม่งั้น ไม่ได้เกรดล่ะแย่
ไอ่ปัทมันคิดว่า อิห่าพวกนั้นเอากลับไปให้
ไปถามพวกมัน พวกมันก็อารมณ์เสียหาว่าพวกกุ ใส่ร้ายมัน แร้วหาว่า
ไอ่ปัทไม่รับผิดชอบงาน

... วันที่อาจารย์นัดพบทั้งห้อง ...
กุเห็น อิจอย เอาสมุดเซ็นชื่อมาให้พวกกุเซ็น กุเริ่มคิดว่า
ความอดทนที่กุเก็บไว้ตั้งแต่อยู่โรงเรียน ใกล้ระเบิดเต็มที
ตอนที่อาจารย์สั่งงาน แร้วก็ให้พวกกุขึ้นมาทำงานกันที่ชั้น 3
ส่วนอาจารย์อยู่ที่ชั้น 2 กุเริ่มถามมัน
กุ : จอย ตกลงสมุดเซ็นชื่อมาอยู่ที่แกได้ไง
มัน : เค้าก็ไม่รู้ อยู่ๆมันมาอยู่ที่เค้าได้ไงก็ไม่รู้
ผึง! เสียงเส้นอดทนกุขาดทันที ที่มันพูดจบ
กุ : แร้วมันไปอยู่กับมึงได้ไงเล่า สมุดอยู่ที่มึง
แร้วมึงไม่รู้ได้ไง มันบินเข้าไปในกระเป๋ามึงได้เหรอ
อิควาย!

มัน : ก็เค้าก็ไม่รู้นี่ บลิวแกเกลียดอะไรเค้านักหนา
อิดอกเอ้ย กุเกลียดจริงๆ กุทนไม่ไหว วิ่งเข้าไปหามัน ว่าจะตบซักฉาด
แต่เพื่อนตัวดี ชอบเสือก ก็เข้ามาจับกุไว้
ทั้งๆที่เพื่อนในกลุ่มกุ ไม่มีใครเข้ามาจับ เพราะรู้ว่ากุอยากตบอินี่มานานแล้ว
และกุเคยห้ามมันว่า ถ้ากุมีเรื่องไม่ต้องมาห้าม เพราะอดทนมานาน
สุดท้าย น่ะเหรอ กุก็ไม่ได้ตบมัน ไม่ใช่ไม่ได้เอาจริง
แต่แม่ง อิพวกมือปลาหมึก ชอบมาเสือก มาจับ มาห้าม
กุไม่ชอบ กุล่ะเบื่อ เวลาที่ของขึ้น ทำไมจะต้องคอยมายุ่งด้วยวะ
แต่กุก็ชี้หน้า ด่าแม่งหลายรอบเหมือนกัน อารมณ์ ฆ่าคนได้ว่างั้น
ใครที่ไม่เคยเป็นอย่างกุ ก็จะไม่รู้อาจจะว่ากุเว่อร์
แต่ถ้าใครเคยเป็นอย่างกุ ขอบใจมากที่เข้าใจความรู้สึกของกุ
กุรู้ว่า สิ่งที่กุทำ เป็นอารมณ์ที่ไม่ดี เป็นสิ่งที่ไม่ดี
แต่กุไม่ยอมรับ ถ้าหากจะมีใครมาว่ากุว่า เป็น "อันธพาล"
กุไม่ใช่อันธพาล! กุทำไปเพราะ กุสุดจะทนจริงๆ
ไม่ไหวแระว้อย ไอ่เหี้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย
ขอบใจบล็อก ที่ให้กุได้ระบาย ความเครียด
กุชั่ว กุเลว
มันเรื่องของกุ! ใครอยากคิดยังไงก็ช่างแม่ง กุรู้ว่า
สิ่งที่กุทำมันถูกต้องแล้ว

กุเบื่อพวกปากดีจริงๆ เวลาที่พูดอะไรลับหลัง แล้วทำเป็นเก่ง
แต่พอกุจะวิ่งเข้าไปตบ แร้วตะคอกถามว่า
"มึงจะตบกุไม่ใช่เหรอ มาสิ กุยืนอยู่นี่แล้ว"
กลับกลายเป็นเงียบ นิ่ง กุไม่เข้าใจว่า
ตกลงมึงจะเอายังไงกะกุกันแน่ เวลาที่บิ๊วด์ อารมณ์ได้
ทำไม๊ ... ทำไม มึงไม่เข้าม๊า แต่ทำไมเวลากุอดทน
แม่งเสือกมายั่วให้กุ ต้อง นับ 1 - 100
เบื่อขี้หน้าอิเหี้ยพวกนี้จริงโว้ย ต้องเจออีกเป็นปี กรี๊ดด ดดด กุเซ็ง!

ภาษาเหนือวันละคำวันนี้ คำว่า ก้อม อ่านว่า ก้อม แปลว่า ม้านั่ง
แต่งประโยค บลิวๆ ไปหยิบก้อมมาฮื่อแม่กำนึ่ง จะเอามานั่งซักเกิบ
แปลอีกทีว่ะ บลิวๆไปหยิบม้านั่งมาให้แม่หน่อย แม่จะเอามานั่งซักรองเท้า
บ๊าย...บาย
นู๋บลิว เซเลอร์มูน ก๋ากั่น
ป.ล กุน้อยใจและเสียใจใครต่อใครที่ใกล้ชิดกุ แต่ไม่เคยเข้าใจอะไรที่เป็นตัวกุซักนิด
เยะเป็ด!