วันจันทร์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2547

... แจ่ม ... นรก!

ตอนปิดเทอมช่วงซัมเมอร์ กุทำงาน คาเฟ่รอยัล
กุ อิห้อย และต้อย เป็น บัสบอย แระ บัสเกิร์ล
กุข้องใจมาก ว่าทำไมต้องเรียกว่า บัสบอย กะ บัสเกิร์ล
รู้คร่าวๆว่ามันก็คือเด็กเสิร์ฟ ที่ต้องแอคทีฟตลอดเวลา ต้องคอยเก็บ คอยเสิร์ฟ
เหมือนรถบัส แหละ อะไรประมาณนี้ กุจำมะได้แระ ช่างแม่ง! อย่าเสือกรู้อะไรมากนักเลย
ตอนไปเข้างานวันแรก กุกะต้อยไปไม่ถูก ฝ่ายบุคคลมันก็เลยพาพวกกุ
มาปล่อย (ย้ำ! มาปล่อยจริงๆ) ที่คาเฟ่ โดยที่พวกกุก็ไม่รู้ห่าไรเรย
(อิห้อยได้เข้างานก่อนหน้ากุกะต้อย แถมซัมเมอร์ที่แล้วมันก็เคยทำเรยรู้งาน)
ส่วนพวกกุสองคน ไม่รู้เหี้ยไรเรย ฝ่ายบุคคลเลยพากุไปหา ป้าแจ่
(ป้าแจ่มมีตำแหน่งเป็น ซูเปอร์ไวเซอร์ แปลว่าไรนั้น
ไปหากันเอง หาได้แล้วมาบอกกุด้วย เพราะกุก็ไม่รู้ววว)
ในสายตากุตอนนั้น ป้าแจ่มเป็น หญิงสูงวัย น่ารักมากๆ ทำตัวคิขุ กาโม่
บอกว่า "เอ้ามาเลยจ้าเด็กๆ ให้วุ้น มันสอนงานแล้วกัน เป็นเพื่อนกันไม่ใช่เหรอ"
แล้วก็ยิ้มให้พวกกุ เออ ดี ... กุกะต้อยคิดว่า ทำงานคงไม่มีปัญหาห่าเหวไรแน่ๆ
พอทำงานไปเรื่อยๆ นานเข้าๆ ป้าแจ่ม เริ่มออกลาย
ขี้บ่นชิบหาย กุไม่รู้หาเรื่องเหี้ยไรนักหนามาบ่นพวกกุ
ซึ่งพวกกุก็ไม่ได้ทำผิดสร้นตรีนไรเรย แม่งก็มาบ่น
จนบางครั้งพวกกุก็น้อยใจกัน ว่า เออนะ ห่าเย็ด กุไม่ได้ทำผิด แม่งก็มาบ่นกุด่ากุ
ที่ทำงานกุ เค้าจะแบ่งออกเป็น Station ก็จะมี Sp S2 S3 S4 ไม่มี 1
(กุบอกไว้ก่อน เผื่อควายตัวไหนเข้ามาอ่าน แร้วข้องใจว่าทำไมถึงไม่มี 1)
กุเห็นพวกพี่ๆเค้าอู้งานกันที่ S2-3 ส่วนกุทำงานอยู่ที่ Sp
ตอนเช้าๆ Sp คนยังไม่ค่อยเข้ามานั่ง กุก็เห็นว่า เออนะ จานเต็มโต๊ะ
กุไม่เห็นจะมีเหี้ยตัวไหนมาเก็บ กุเรยเสือกเข้าไปเก็บให้เค้า
เพราะถ้าขืนกุปล่อยไว้ แขกคนอื่นเค้าจะ คอมเพลน เอาได้ว่า
พนักงานไร้คุณภาพไม่จัดการโต๊ะให้สะอาด มันจะเสียหมดทุกคน
กุก็เก็บๆๆๆๆ เช็ดๆๆๆๆ อิแจ่มแจ๋ว มันเห็นกุเข้าไปเสือกมั้ง
มันเรยมาบอกกุว่า
อิแจ่ม : บลิว! เราอยู่ Station ไหนอ่ะ
นู๋บลิว : บลิวอยู่ Station p อ่ะค่ะป้า
อิแจ่ม : อ้าว แล้วนู๋มายุ่งอะไร Station 2-3 ล่ะ ไปดู Station
ของตัวเองซี่ ไม่ต้องมายุ่งStation คนอื่นเค้า
นู๋บลิว : ป้า...เมื่อกี๊จานมันเต็มโต๊ะ แล้ว Sp บลิวยังไม่มีแขกมานั่งเลย
บลิวก็เลยมาช่วยพี่เค้าเก็บ ก็เท่านั้นเอง
อิแจ่ม : ไม่ต้องมายุ่งเลย รับผิดชอบ Station ของตัวเองไปเลย
เท่านั้นแหละ กุซึมเป็นส้วมเลย กุต้องเรียกต้อยมาคุยกะกุ
ห่ามากค่ะ กุร้องไห้เลยแม่งเห้อะ ความเสือกของกุ
ที่คิดว่า เออนะ กุทำดีที่สุดแล้ว แม่งก็ยังมาว่าให้กุอีก
ทั้งๆที่กุแม่งก็ไม่อยากเสือกหรอก แต่พนักงานโรงแรม
ถ้าทำไรไม่ดี แม่งก็ต้องโดนแขกคอมเพลน แร้วใครเสีย ก็พนักงานทุกคนนั่นแหละ
แล้วก็อู้งานกันชิบหาย จะให้กุยืนอยู่เฉยๆ แม่งก็ไม่ใช่สันดาน
กุก็ต้องเข้าไปเสือกอยู่ตลอด คอยเก็บนั่นเก็บนี่ เดินขาขวิด
พออีกวันนึง มีแขกเป็นผู้หญิงมากะลูกชาย อิห่านี่กะลูกชายมัน
เรื่องมากกันโคตรๆ กุก็หมั่นไส้มากๆ ได้แต่เก็บไว้ในใจ
อินี่มันก็ถามกุว่า "น้องคะ พนักงานไปไหนกันหมดแล้วเนี่ย
ไม่เห็นมาเก็บจานโต๊ะนี้บ้างเลยเนี่ย"
(กรุณาทำเสียงกระแดะๆ เพราะมันพูดแบบตอแหลมากๆจนกุอยากเอาตรีนยัดปาก)
กุก็คิดว่า เห้ยไรวะ ด่ารึป่าว คอมเพลนเหรอ? กุคิดไปต่างๆนานา
กุก็บอกว่า "อ๋อ...พวกพี่ๆเค้าก็คอยเก็บจานอยู่มั้งคะ ไม่เป็นไรนะคะ
เดี๋ยวนู๋จะคอยมาเก็บให้ตลอดนะคะ"
แระอิเหี้ยนี่มันก็ทำหน้าตาไม่พอใจ กุก็เริ่มใจเสียแระ
ซึ่งความจริงแล้ว ที่ๆอิห่าดอกนี่นั่ง ก็ไม่ใช่ S ของกุ๊
แต่ก็ด้วยความที่กลัวว่า บริการจะไม่ประทับใจแขก
กุก็ต้องคอยเสือกข้าม Station ของกุมา เพื่อบริการแขก
เพราะไอ่ห่าพวกนั้น มันหลบไปไหนกันไม่รู้ อู้งานกันมากๆ
เออนะ
กุก็เสียใจ เศร้ามาก ก็เอาไปบอก อิแจ่ม ว่า เออ แขกเค้าว่ามา
กุทำท่าเหมือนจะร้องไห้อีก เพราะอัดอั้นมากๆ กุไม่ได้ทำเหี้ยไรผิด
แม่งก็โดนด่าๆๆๆๆๆๆๆๆ รึหน้ากุมันเหมือนส้วมก็ไม่รู้ ชิบหาย!
แม่งต้องเอาเรื่องขี้ๆ มาลงที่กุตลอด
อิแจ่มก็ถามว่า ไหน โต๊ะไหนคนไหน กุก็บอกไป
"นั่นไงเค้าเดินออกไปแล้ว เค้าเช็คบิลแล้วเดินออกไปตรงประตูแล้ว"
อิแจ่มแจ๋ว รีบวิ่งตามออกไป โอ๊ย...ประทับใจกุมากๆ
กุคิดว่า มันต้องไปขอโทษให้กุแน่ๆ กุก็เริ่มใจชื้นขึ้นมาบ้าง
พออิแจ่มแจ๋วกลับมา มันก็ยิ้มแป้น กุก็งง เอ๊ะ...อะไรของมัน
มันก็บอกว่า เนี่ยนู๋รู้มะ คนเมื่อกี๊เค้าชมนู๋น๊า ว่านู๋อ่ะขยัน
ทำงานคนเดียว แต่ขอโทษกุไม่แจ่ม ไปกะมัน
เพราะคนที่ได้หน้ามันไม่ใช่กุ๊ แต่เป็นอิแจ่ม
เพราะมันรู้จักเค้า แล้วรีบวิ่งไปเอาหน้า สาดม๋ามาก คงจะพูดว่า
ป้าเทรนด์มาเองแหละค่ะ เด็กพวกนี้ โฮะๆๆๆๆ อี ดอก!
กุกะต้อยเข้างานกันตอนเช้าๆ คิดว่าจะได้ยินเสียงสวรรค์
นรก! มาก อิแจ่มวีนแตกแต่เช้า ทั้งๆที่เป็นเรื่องเล็กๆ
พี่หนุ่ย(ผู้ชาย)ที่ทำงานกะพวกกุบอกว่า
ชิบหาย อิแจ่ม แม่ง บ่นเหี้ยไรนักหนาวะ กุอยากจะชกหน้ามันจริงๆ
หรือบางครั้ง อิแจ่มมันก็จะชอบแอบเอากาแฟที่เตรียมไว้ให้แขก
เอาไปแด่กเอง ซุ่มตั้งนาน เป็นเงาๆ กุกะต้อยก็สงสัย เอ๊ะ...
ใครมาหลบๆอยู่ตรงนั้นวะ ที่แท้ อ้อ...อิแจ่ม!
นับวัน กุกะต้อยแระอิห้อย ก็ยิ่งจะรู้สึกแย่ กะอิแจ่มนรก นี่ ทุกวันๆ
บางครั้งกุก็เอามันมานินทา หรือไม่ก็สาปแช่งกันสุดๆ
พี่กิ๊ฟเคยเล่าให้กุฟังว่า อิแจ่มหาว่าพี่กิ๊ฟอมทิป
อะไรวะ ... แก่จะตายห่า แล้วแม่งก็ยังเสือกหวงทิป
พี่กิ๊ฟก็บอกกุอีกว่า โอ๊ย...กะอิแจ่มน่ะเหรอ ใครๆเค้าก็
ไม่ใส่ใจกันหรอก สันดานมาตั้งแต่ไหนแต่ไร เค้ารู้กันหมดแล้ว
ไม่ต้องไปสนใจไรมันมาก น้องเอ้ย อยู่ไปนานๆจะรู้
เวลาแขกที่อิแจ่มมันรู้จักมา มันก็จะเข้าไปเทคแคร์
ท่านคะ ท่านขา โอ๊ย...กุว่านะ ถ้ามีคณะกรรมการตัดสินการ
ประกวดมารยาทไทยมาเห็น กุว่า เค้าคงให้คะแนนอิแจ่ม เต็ม 10
เพราะเวลาท่านของอิแจ่มจะไป หรือว่า เช็คบิลเนี่ย
อิแจ่มจะไหว้แบบกุลสตรีไทย ย่อเข่าซะเกือบติดพื้น
ก้มไหว้ซะจนลิ้นจะเลียตีนแขกอยู่แล้ว โถ...อิห่า
กุว่านะ ... มันกลับบ้านไป คงเคล็ดขัดยอกน่าดู
เพราะอายุอานามแม่งก็บ่งบอกว่าเป็นสาวแรกแย้ม
แย้มฝาโลง!
พวกกุเป็นเด็กใหม่ แม่งก็ต้องทำใจ เพราะคิดว่า
อีกไม่กี่เดือน ก็จะเปิดเทอม กุก็จะลาออก
แล้วก็จะได้ ไปไกลๆ จาก อิแจ่ม นรก! นี่ซะที
(นับวันรอเลยกุ)
ภาษาเหนือวันละคำวันนี้ คำว่า กล้องดูด อ่านว่า กล้อง - ดูด แปลว่า หลอด
แต่งประโยค ปั๊ดโธ๊ววว! กล้องดูดชาไข่มุกมันหยังมาใหญ่แต้ใหญ่ว่า
แปลอีกทีว่ะ โอ้ว....ทำไมหลอดของชาไข่มุกมันใหญ่โคตรๆขนาดนั้นวะ
บ๊าย...บาย
นู๋บลิว เซเลอร์มูน ก๋ากั่น

วันพุธที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2547

เหา

หลังจากที่พวกกุได้ไปติดต่อโรงเรียนเอาไว้ เพื่อจะไปทำการสอน ในวิชาต่างๆ
ที่แล้วแต่ว่าอาจารย์ในแต่ละสายชั้น จะมอบหมายให้
กรี๊ด ... กุชอบมาก กุได้สอนวิชาภาษาอังกฤษ
(กุก็ไม่เก่งอังกฤษเท่าไหร่หรอก แต่ก็ยังดีกว่าให้กุสอนคณิตศาสตร์ กุโง่ชิบหาย)
แต่ว่า ... กุไม่ได้เตรียมการสอนไป เพราะตอนแรกกุก็ยังไม่รู้
ว่าเด็กต้องเรียนวิชาเหี้ยไร พวกกุเรยคิดว่า จะลองมาสังเกตดูก่อน
ที่ไหนได้ พวกกุต้องลงมือสอนกันเลย อ.ที่นี่ก็ต้อนรับเป็นอย่างดี
เด็กๆนักเรียนก็น่ารัก บางครั้งก็จังไร เอ้ย! แก่แดดกันไปนิสส์
กุก็ไม่ถือหรอก เพราะกุรักเด็ก
เอาวะ ... กุกล้อมแกล้มนำเข้าเรื่อง โดยการถามเกี่ยวกับ
วันลอยกระทง เป็นภาษาอังกฤษ และสอนพวกกริยา 3 ช่อง
กร๊ากกกกกกกกกกก กุก็สอนแบบยกตัวอย่างไปนิดหน่อย
เด็กผู้ชายที่นี่ จะแก่นและแก่แดดกันนิด แต่ก็โอเค
เด็กผู้หญิงก็น่ารัก ให้ความร่วมมือดี
กุสอนป.6มีนักเรียนเรียนร่วม 4 คน ที่เป็นเด็ก L.D
L.D แปลว่าอะไรนั้น ไปหาความหมายเอาเอง กุขี้เกียจอธิบาย ว่ะ
... แต่ ...
เด็กผู้หญิงคนนึง "คุณครูขา ... นู๋จองคุณครูคนนี้แล้วนะ"
พูดอย่างเดียว มันคงจะไม่สะแด่ว
อินู๋คนนี้ ก็วิ่งมากอดกุ ฟัดกุอยู่พักนึง
กรี๊ดดดดดดด อิชิบหาย ตกใจมาก
หัวอินู๋ มีแต่ไข่เหา!!! โอ้ว...สุดตีนค่ะ
กุรักเด็กนะ แต่กุไม่ได้รักเหา - -"
อินู๋ห่านี่ แม่งก็กระชากลากถู กุ ไม่ยอมปล่อย ลากกุจะให้ไปสอนห้องมัน
แต่กุไปสอนมะได้ กุต้องสอนห้องที่กุต้องรับผิดชอบ
กุไม่ได้ว่าอะไรที่เด็กมันเข้ามากอดรัดฟัดเหวี่ยงกุ
แต่ ... กุกลัวติดเหา ... เวลามันเอาหัวที่เต็มไปด้วยตัวอ่อน
ของอิเหาห่านี่มาใกล้หัวกุ กุก็จะทำเป็นเบี่ยงตัว
ออกอีกด้านนึง (ทำเป็นหาสิ่งเร้าความสนใจของเด็กในเรื่องอื่นจะได้เอาหัวหลบทัน)
กุบอกแล้วไงกุไม่ได้เกลียดเด็ก
แต่กุขี้เกียจต้อนรับเหาเข้ามารู้จักชีวิตในรั้วมหาลัยของกุ
สมัยกุเด็กๆ กุก็เคยเป็นเหา
จะว่าไปแล้ว เด็กผู้หญิงกับเหา แม่งมันต้องเป็น เนื้อคู่ กันแน่ๆ
กุไม่เคยเห็นว่า เด็กผู้หญิงคนไหน จะไม่มีประสบการณ์ การเป็นเหา
ถ้าใครไม่เคยเป็น จะถือว่ามึงเป็นคนที่เชยมาก ๆ
ที่ไม่เคยมีเหา เป็นของตัวเอง เวลาเพื่อนคุยกันเรื่องเหา
ก็จะไม่มีเพื่อนร่วมกลุ่ม เพราะไม่เคยเป็นเหา
ฉะนั้น ... ใครไม่เคยเป็น มึงพึงสังวรณ์ไว้ ว่ามึงน่ะ "เชย"
เหา อยู่คู่เรามาตั้งแต่ตอนไหน กุไม่รู้วววว
กุรู้แค่ว่า สมัยที่กุเคย เป็นคู่รัก คู่เดท ของเหามาก่อน
กุบอกได้แค่ว่า มันคันชิบหายยยยยยยยย
คันหัวตลอดต้องเกาหัว แกรกๆ จนหัวเป็นแผล ทรมานสัดๆ
ลักษณะของเหาที่กุเคยเจอ แบ่งแย่งประเภทได้ดังนี้
1. ไข่น้อยๆสีน้ำตาลที่ชอบติดอยู่ตรงเส้นผม เส้นต่อเส้น
เวลาที่ รูด (เห้ย ไข่เหานี่เวลาจะเอามากำจัด เค้าเรียก รูดไข่เหา นะ)
ไข่เหาออกมาแล้ววางในที่ที่เหมาะสม ใช้เล็บของเรา
ที่เป็นสมาชิกของหัวแม่โป้งมือเราน่ะ กำจัดมันให้ตาย
เสียงของมันไพเราะมาก "แต๊บ!" "แปร๊บ" สุดแร้วแต่ว่าใครจะเสือกได้ยินว่าไง
2. ลิตเติ้ลเหา ลักษณะมันจะตัวน้อยๆ จ้อยๆ สีน้ำตาล
มีความคล่องตัวสูง วิ่งได้เร็ว อาศัยอยู่ตามหนังศีรษะ
และจะกลมกลืนกับเส้นผมได้ รู้จักการหลบหลีก ต้องคอยแหวกเส้นผมออก
ถึงจะได้เจอ แม่ง
3. อิตัวใหญ่ หรือ โคตรเหา แม่ง อิห่านี่ตัวแม่งจะเขื่องๆ
สีดำมัน และกลมกลืนกับเส้นผมเช่นเดียวกันกับ ลิตเติ้ลเหา
แทบจะแยกไม่ออก ยิ่งกว่าอิตัวลูก
วิธีสังเกตว่า เหาตัวไหนตะกละที่สุด คือ
ตัวไหนที่มีสีดำ เงางามที่สุด ตัวนั้นแหละ แด่กเลือดกุไปนักต่อนักแระ
วิธี ค้นหา อิเหาเหี้ยนี่ คือ
หวีเสนียด จัญไร อะไรนั่นแหละ ที่เค้าเรียกๆกันน่ะ
สางมันไปเหอะ สางๆๆๆๆๆๆๆ ถ้ามีเยอะ แม่งก็จะเจอเยอะหน่อย
ถ้ามีน้อย มึงสางไปเหอะ สางจนหัวแทบจะหลุด
ก็จะเจอซักตัว 2 ตัว พอได้ประทังชีวิต เอ้ย! ให้ได้กำจัด
วิธีการรักษา และกำจัด
กุลองหมดทุกวิธีแระไม่ว่าจะเป็น
น้ำมันก๊าช ผสม ใบน้อยหน่า โขลกผสมกัน แล้วเอามาหมักหัว
เหม็นชิบหายยย แต่ต้องทน เพราะอยากให้อิเหาสัดดอกนี่ หมดไป
หรือว่า อาจจะใช้หวีเสนียด สางๆๆ เข้าไป แต่ก็เมื่อยแขนชิบหาย
เพราะสางอยู่นั่น กว่าจะหลุดออกมาได้ซักตัว เลือดตาแทบกระเด็น
แต่การรักษาห่าดอกนี่ก็ไม่เป็นผลสำหรับกุเลย กุไม่หาย!!
มีคนเค้าเคยบอกว่า การที่จะกำจัดเหาได้ชะงัดที่สุด
คือ "โกนหัว" แม่งเลย ทนอายเพื่อนนิดหน่อย แต่หาย!
แต่กุคงไม่ทำเหี้ยไรอย่างนั้นแน่นอน หน้ากุตอนเด็กๆยังไม่ด้านพอ
กุเลยต้องทนคันหัว มาตลอด
แต่กุก็ไม่เข้าใจว่า อิเหาเหี้ยนี่ มันหมดไปตั้งแต่เมื่อไหร่
โดยที่กุไม่ทันจะรู้ตัวเลยซักนิด
อิห่าคิดจะมาก็มา คิดจะไปก็ไป ไม่ร่ำไม่ลา
เห็นกุเป็นอะไร ไม่นึกถึงบุญคุณที่กุเคยชุบเลี้ยงซักนิด
อิเหาอกตัญญู!
ถึงตอนนี้ กุก็ไม่เคยได้ใช้ชีวิตร่วมกับเหาอีกเลย
แต่กุกลัวว่า อินู๋หลายๆคน มันจะไม่ปล่อยกุง่ายๆ
กุกลัวว่า กอดรัดฟัดเหวี่ยงกันไปแบบนี้ ตลอด
มีหวัง กุคงได้จับมือทำความรู้จักกับ "เหา" อีกครั้ง
พิมพ์ไปพิมพ์มา กุก็คันหัวชิบหาย
หวังว่า กุคงไม่ได้เป็นผู้รับอุปการะชุบเลี้ยง อิเหาเหี้ยนี่ อีกนะ
ขอเป็นกำลังใจให้คนเป็นเหาทุกคน ถ้าโตขึ้น อิเหาห่านี่ ก็จะหมดไปเอง
กุคิดว่างั้นนะ - -!
(วิธีนึงที่กุเคยคิดเล่นๆคือ ไปนั่งให้ลิงมันหาเหาให้
เพราะกุเคยเห็นพวกมันหาเห็บแด่ก กุเรยคิดว่า ถ้าให้หาเหานี่คงเวิร์ค
รับเป็นอาชีพเสริมได้สบาย ถ้ามันไม่ปู้ยี่ปู้ยำกุไปซะก่อน)
ภาษาเหนือวันละคำ คำว่า เกิบ อ่านว่า เกิบ แปลว่า รองเท้า
แต่งประโยค ป้อซื่อเกิบมาฮื่อน่องตัง งามไบ้งามง่าว
แปลอีกทีว่ะ พ่อซื้อรองเท้ามาให้น้องตัง สวยโคตรๆเลยแม่ง
บ๊าย...บาย
นู๋บลิว เซเลอร์มูน ก๋ากั่น
ป.ล กุไม่ได้เกลียดเด็กจริงๆนะ แต่กุเกลียดเหา สาบาน!

วันอังคารที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2547

คนขายจิตวิญญาณ

ใครคือคนตาบอด ?
หากท่านไม่เห็นคนเป็นคน
แต่เห็นเพียงความพิการ
ใครล่ะที่ตาบอด
หากท่านไม่ได้ยิน
เพื่อร้องขอความเป็นธรรม
ใครล่ะที่หูหนวก
หากท่านไม่พูดคุย
กับผองน้องพี่
แต่แยกเขาแยกเรา
ใครล่ะที่ปัญญาอ่อน
หากท่านไม่ลุกขึ้นยืดหยัด
เพื่อสิทธิของปวงชน
ใครล่ะที่เป็นง่อย
เจตคติของท่าน
ที่มีต่อคนพิการ
อาจเป็นความพิการรุนแรงที่สุด
ที่ท่านหยิบยื่นให้เขา
โดย ... Tone Wone (กวีพิการชาวอัฟริกัน)
ข้อความทั้งหมดนี้อยู่ในสมุดที่อาจารย์ต้องแจกให้พวกเอกกุทุกๆปี
เป็นสมุดของเอกการศึกษาพิเศษโดยเฉพาะ
ข้อความนี้บาดลึกกินใจกุมาก อ่านแล้วกุพูดไม่ออก
ได้แต่นิ่งเงียบ ปล่อยความคิดให้ล่องลอย ไปตามข้อความที่กุได้อ่านทุกครั้ง
ครั้งนี้กุหยิบสมุดขึ้นมาเพื่อจดงาน พอกุปิดสมุดพลิกกลับมาดู
ด้านหลัง กุก็อดไม่ได้ที่จะอ่านข้อความนี้อีก
ประจวบเหมาะกับมีเหตุการณ์ที่ทำให้กุได้คิดตามข้อความนี้
ตามที่อาจารย์ประจำชั้นของพวกกุ
ได้ให้พวกกุไปติดต่อขอทดลองสอน ในโรงเรียน เรียนร่วมต่างๆ
เพราะเป็นชั่วโมงที่กุต้องเรียนกะอาจารย์ แต่อาจารย์
อยากให้พวกกุมีประสบการณ์ การสอนก่อนไปฝึกสอนจริงในปีหน้า
กลุ่มของกุไม่มีปัญหาอะไรมากนัก ถือว่าโรงเรียนยินยอม
อาทิตย์ก่อน หนุงหนิง ได้เล่าให้กุฟังว่า
หนิงไปติดต่อโรงเรียนวัดคูหาสวรรค์กับเพื่อนๆอีกกลุ่มนึง
รู้สึกแย่กับพฤติกรรมของคนที่เรียกตัวเองว่า "ครู"
หนิงบอกว่า ครูไม่ให้ความร่วมมือกับนักศึกษาเลย
ไม่ว่าจะถาม จะติดต่ออะไร ก็รู้สึกแย่ไปหมดทุกอย่าง
ถ้าไม่อยากให้มาสอน ก็น่าจะปฏิเสธกันตั้งแต่แรก
และหนิงก็เล่าเหตุการณ์ที่กุคิดว่ามันเลวที่สุด ในจรรยาบรรณของความเป็นครู
อิครูคนนั้นถามพวกหนิงว่า ในนี้น่ะ ไม่รู้หรอกว่า ใครกันบ้าง
ที่เป็นเด็กพิเศษ มีให้สอนก็สอนไป ไม่อยากจะถามเด็กหรือตรวจสอบอะไรมาก
ปกติแล้ว เด็กพิการ หรือเด็กพิเศษในประเภทต่างๆนั้น
จะมีงบ ให้ 2,000 บาท (เป็นคูปองไม่ใช่เงินสดนะ) สำหรับซื้อสื่ออุปกรณ์
ในการเรียน ซึ่งให้ครูเป็นผู้รับผิดชอบ
เมื่อหนิงไปติดต่อ จู่ๆ ครูก็บอกว่า เออ ดี!! จะได้ ได้เงิน อิสัด!
หมายความว่าไง กุไม่เข้าใจเหมือนกันว่า
อิครูห่านี่ จิตใจมันทำด้วยอะไร
ไอ่ที่มันมาสอนอยู่ทุกๆวันนี่ มันไม่ใช่ผู้ประสิทธิ์ ประสาทวิชา
ให้แก่เด็ก คำว่าครูมันเป็นแค่คำเรียกเพียงเท่านั้น
ในความคิดกุ มันไม่ใช่ครู มันเป็นแค่ผู้สอน
คำว่าครูมันยิ่งใหญ่ และไกลเกินไป สำหรับมัน
เพื่อนบางกลุ่มมาเล่าให้กุฟังเช่นเดียวกันว่า
ไม่ให้การต้อนรับเลย แล้วก็บอกคล้ายๆกันว่า ไม่อยากจะค้นหาเด็ก
ว่าเด็กคนไหนเป็นเด็กพิเศษบ้าง เพราะขี้เกียจ
ไม่น่าให้เด็กพิเศษมาเรียนร่วมกับเด็กปกติเลย
เพราะเป็นภาระ และทำให้เหนื่อยเพิ่มมากขึ้น นี่หรือครู!!
กุไม่เข้าใจว่า แค่มาสอนแล้วรับเงินเดือน เท่านั้นเหรอ?
คนที่จะเป็นครู มันต้องเป็นทั้งกายและใจ ต้องมีจิตวิญญาณความเป็นครู
ไม่ใช่คนที่เห็นแก่ได้ หรือเห็นแก่ความสบายของตัวเอง
เมื่อเด็กมีปัญหา ครูต้องพร้อมเสมอที่จะช่วยเหลือ
ต้องมีความเสียสละ เพื่อให้เด็ก ได้มีความรู้
ไม่ใช่แค่เพียง วันนี้กุมาสอนแล้วนะ มึงจะได้วิชาห่าไร กุไม่สน
กุแค่มาเซ็นชื่อตอนเช้าว่ากุมา กลางวันกุก็แด่กข้าว ส่วนตอนเย็น
เลิกเรียน ปุ๊บ กุก็เซ็นชื่อกลับบ้านปั๊บ
กุไม่เข้าใจว่า ทุกวันนี้ มันเป็นเหี้ยอะไรกันหมด
การศึกษา ของเด็กไม่พัฒนา ประเทศชาติก็ไม่เจริญก้าวหน้า
แค่รัฐบาลแม่งก็โกงกินกันจะแย่แระ คนที่คอยแต้มสี
ให้กับผ้าขาว มันยังไม่มีคุณธรรม จริยธรรมเลย
ต่อไป เยาวชน จะเติบโต และพัฒนาได้ยังไง กุนึกภาพไม่ออก
กุไม่ชอบที่กุเห็นคนเป็นครู แล้วทำตัวเหี้ยๆแบบนี้ เห็นแก่ได้
อะไรที่ไม่ใช่ผลประโยชน์กับตัวเอง แม่งก็ไม่ทำ ไม่ใช่เรื่องของกุ
สิ่งที่ทำให้กุมาเรียนครู เพราะกุได้รับแรงบันดาลใจจากพ่อกับแม่
กุอยากทำให้ได้อย่างพ่อกับแม่
กุรับการปลูกฝังจากพ่อแม่ โดยที่เค้าไม่ต้องพูดออกมา
แต่เค้าปลูกฝังให้กุได้เห็นว่า คำว่า "ครู" นั้น มันยิ่งใหญ่แค่ไหน
กุเห็นพ่อกับแม่ของกุ กลับบ้านกันดึกดื่น
ทำงานที่โรงเรียน เป็นภารโรงถึงผู้อำนวยการ
(พ่อกับแม่กุอยู่โรงเรียนเดียวกัน)
โรงเรียนของพ่อกับแม่กุ มีครูอยู่ 4 คน (เป็นโรงเรียนบ้านนอกไกลอำเภอเมือง)
บ้านกุอยู่อำเภอเมือง พ่อแม่ต้องขับรถไปสอนเด็กที่บางระกำ
ใช้เวลาจากบ้านไปถึงโรงเรียน ก็ 2 ชั่วโมง ประมาณนั้น
โรงเรียนมีนักเรียน ชั้นอนุบาล ถึงป.6
(แต่ตอนที่กุยังเล็กๆ เค้าไม่ได้สอนโรงเรียนนี้ เค้าสอนอีกที่นึง)
ผลจากการที่พ่อแม่ของกุมีความเป็นครูอยู่ในจิตวิญญาณ
ชาวบ้านทุกคนต่างก็รักพ่อแม่กุ ไม่ว่าผู้ปกครองของเด็ก
จะเชิญให้ไปไหน พ่อกับแม่กุ ว่างหรือไม่ว่างก็ต้องไป
บางครั้งต้องทำงานที่โรงเรียน จนต้องหอบเสื้อผ้า ที่นอน หมอน มุ้ง
ไปนอนที่โรงเรียน เวลาน้ำท่วมโรงเรียน ชาวบ้านหาปลาได้
ก็จะแบ่งตัวโตๆที่สุด แอบเอามาให้พ่อกะแม่กุ
โดยที่ครูคนอื่น ได้แค่ปลาตัวเล็กๆ
แม่กุเคยพูดว่า แม่จะไม่ลืมบุญคุณของชาวบ้าน ที่ดีแบบนี้เลยในชีวิต
ไม่ใช่ว่ากุชมครอบครัวตัวเองแต่กุคิด และเปรียบเทียบ
กันกับคนที่เป็นครู อยู่ในเมือง สะดวกสบาย
แต่กลับให้ความหมายคำว่า "ครู" ที่เหมือนมีแค่ป้ายเอาไว้แขวนคอ
กุเรียกคนประเภทนี้ว่า "คนขายจิตวิญญาณ"
ครูห่าซึ่งไม่ได้ทุ่มเทเหี้ยไรเลยแก่เด็ก เป็นแค่ผู้มาสอน
ในสิ่งที่หลักสูตรได้ระบุเอาไว้ว่าเด็กต้องเรียนอะไรในแต่ละชั้นปี
แค่นี้ใช่ไม๊? การที่จะทำให้เด็กในประเทศเจริญต่อไป
ยิ่งเป็นเด็กพิเศษด้วยแล้ว ไม่ต้องพูดถึงว่า การดูแล
จากคนขายจิตวิญญาณพวกนี้ จะเป็นยังไง
กุไม่ต้องการให้เด็กๆผิดหวัง และรู้สึกแย่
เมื่อเจอกับคนประเภทนี้
เด็กไม่มีการพัฒนาการในด้านต่างๆตามศักยภาพได้เลย
คนเหี้ยๆ แบบนี้ กุขอให้มันตกนรก กุขอให้มันทำเหี้ยไร ก็ไม่ขึ้น
กุขอให้มัน ได้รับกรรมที่มันได้ทำกับเด็กตาดำๆ
เด็กๆที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ เด็กที่รอการขัดเกลา
ที่ถูกต้องจากคนที่มีจิตวิญญาณความเป็นครู
ไม่ใช่อิงี่เง่าห่าลากที่ไหนไม่รู้ ทำเพื่อตัวเอง ไม่มีความรัก
ความเมตตา กรุณา และคิดแค่ คำว่าครู คือสอนแล้วรอคอยเงินเดือน!
กุล่ะเซ็ง ... เถลิงประเทศชาติไทยทวี มีตังค์ ไชโย!
ภาษาเหนือวันละคำวันนี้ คำว่า ละอ่อน อ่านว่า ละอ่อน แปลว่า เด็ก หรือ เรียกวัยที่อ่อนกว่า
แต่งประโยค วันนี่ฮาหันละอ่อนอนุบาลวิ่งเล่นกั๋น น่าฮักดี
แปลอีกทีว่ะ วันนี้กุเห็นเด็กอนุบาลมันวิ่งเล่นกัน แม่งน่ารักดีว่ะ
บ๊าย...บาย
นู๋บลิว เซเลอร์มูน ก๋ากั่น
ป.ล กุแค้นมานานแร้ว แต่ไม่รู้จะระบายยังไงดี เยะเป็ด! เชี่ยๆๆๆ

วันจันทร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2547

ลิฟท์ Vol.2

ในชีวิตกุ ครั้งแรกที่กุได้ทำงาน เป็นจริงเป็นจังกะเค้าขึ้นมา
งานนึง ก็เป็นช่วงปิดเทอมใหญ่ที่ผ่านมา ใครไม่รู้ว่า ปิดเทอมใหญ่
คือเดือนอะไร ก็ไม่ต้องเสือกถามกุนะถ้าอยากรู้มึงไปค้นคว้าเอาเองแล้วกัน
กุขี้เกียจอธิบายเข้าเรื่อง ... กุและเพื่อนๆไปสมัครทำงานช่วง
ปิดเทอมใหญ่ ที่โรงแรมท็อปแลนด์มี กุ อิห้อย ต้อย และ รุ่ง
กุ อิห้อย และต้อย ได้ทำงานที่ คาเฟ่รอยัล (cafe royal)
ส่วนรุ่ง ก็ทำงานที่ ร้านระเบียงไม้ อยู่ส่วนของห้าง
ซึ่งคนละส่วนกะพวกกุพวกกุทำงานเกี่ยวกับห้องอาหารซึ่งเป็นแบบ buffet
อ่า ใครไม่เข้าใจคำว่า buffet บ้างคะ? เอ่อ...buffet นี่ก็คือการทานอาหาร
แบบไม่จำกัด มึงอยากตักเหี้ยไร ตัก อยากแด่กเหี้ยไร แด่ก
แต่เวลาจ่ายเงิน ก็แล้วแต่ว่า เค้ากำหนดให้จ่ายเท่าไหร่
ไม่เกี่ยงว่าจะ ตะกละตะกลามแค่ไหนเราจะไม่ว่าคุณไงคะ
แค่นี้เข้าใจรึยังคะ อิควายยยยยยยยยย
พวกกุทำงานกันด้วยความตั้งใจ บางครั้งพวกกุก็ท้อแท้
เพราะเพื่อนร่วมงานที่เป็นพนักงานประจำ
เห็นเด็กพาร์สไทม์อย่างพวกกุขยันทำงานกัน
พวกมันก็อู้งานกันเป็นประจำทำให้พวกกุต้องเหนื่อยกันชิบหาย
อิสัดดอก บางครั้งพวกกุก็จับกลุ่มนินทาพวกมันกัน เพราะสุดจะทน
เมื่อทำงานกันไปได้ช่วงระยะนึง พี่แอน (ผู้ชายนะ) หัวหน้าของพวกกุ
ก็บอกให้กุกะอิห้อย ขึ้นไปช่วยงานพวก Banquet
ใครไม่รู้จัก Banquet? โง่จริงๆนะ มากุแปลให้ ก็พวกเด็กจัดเลี้ยงนั่นแหละ
เพราะเค้ามีประชุมกัน พวกพี่ๆก็ต้องจัดโต๊ะให้คนที่มาประชุม
นั่งแด่กข้าวกัน ตอนแรกกุว่าจะขึ้นลิฟท์ของทางโรงแรม
ที่จัดไว้สำหรับพนักงานเท่านั้น (โรงแรมห้ามพนักงานใช้ลิฟท์ของแขก)
กุก็กำลังจะเดินไปกดลิฟท์ อิห้อยก็มาคว้าแขนกุไว้
แระมันก็บอกกุว่า เห้ยอิบลิว กุจะพามึงไปอีกที่นึง
กุก็งงว่า เห้ย มันจะพากุไปไหนวะ แต่ก็เดินๆตามมันไป
ระหว่างทาง มันก็บอกกะกุว่า เนี่ย ในห้องครัวนะมึงมีลิฟท์อีกตัวนึง
มึงยังไม่เคยขึ้นล่ะสิ มาๆ มากะกุนี่ กุจะพามึงขึ้นเอง
ตอนนั้นกุก็คิดว่ามันอำรึป่าววะหน้าตาแม่งเชื่อถือไม่ได้ด้วย
กุก็ถามมันว่า เห้ย ไรวะ มีลิฟท์ในห้องครัวด้วยเหรอ
(ไม่นับลิฟท์ขนอาหารนะ เพราะอันนี้กุรู้แร้วว่ามันต้องมี)
มันก็บอกกุว่า เห้ยมีเด้ ลิฟท์ขนคนเนี่ยแหละ แต่มันอยู่ในห้องครัว
พอกุเข้าไปในห้องครัว พวกพี่ๆที่เป็นพวกกุ๊กที่อยู่ในห้องครัว
แม่งก็ปากมาก แซวกุ เพราะถือว่าเป็นนักศึกษาตัวเมียที่พึ่งเข้าทำงาน
มันก็เรยเป็นอาการปกติของที่ตัวผู้ที่มะค่อยได้เจอเด็กใหม่ๆ
ซึ่งกุก็ไม่ได้คิดไร คิดซะว่า กุไม่น่าเดินเข้ามาเรย
เพราะกุเป็นคนขี้อาย!
ไม่รอช้า กุกะอิห้อยก็รีบผลุบตัวเข้าไปในลิฟท์ ทันที! ก็บอกแล้วไง
ว่ากุทนเค้าแซวไม่ได้ กุขี้อาย!
บรรยากาศในลิฟท์เหี้ยนี่ แม่งมีแต่กลิ่นอาหาร เพราะมันเป็นลิฟท์
สำหรับคนครัวขึ้นลงเพื่อไปทำอาหารในแต่ละชั้น
อิห้อยบอกกุว่า เห้ย แม่งเหม็นว่ะ มีแต่กลิ่นอาหารว่ะ
กุว่าเปิดพัดลมดีไม๊? กุก็บอกว่า เห้ย มึงไม่ต้องกดเหี้ยไรหรอก
กุแม่งกลัวลิฟท์ค้างว่ะ อิหัวขวด ไม่ทันซะแร้ว ก่อนกุพูดจบด้วยซ้ำ
อิห้อยแม่งเสือกไปกดปุ่มเหี้ยไม่รู้ ที่คิดว่า เป็นปุ่มพัดลม
จู่ๆ ไฟในลิฟท์ทำท่าจะดับ และปุ่มกดชั้นที่มันมีตัวเลขบอกชั้น
ที่เท่าไหร่น่ะกลายเป็นไฟแว๊บๆ ถ้าเคยดูเกมโชว์ทางทีวี
แม่งก็จะเข้าใจว่าเวลาไฟที่พวกดารามันกดน่ะ มันกระพริบแว๊บขึ้นๆลงๆ
เป็นยังไง ชิบหายแร้วกุ เกิดอะไรขึ้น
ตึ้ง!!!! เสียงลิฟท์ดัง เห้ย แม่งอิเหี้ย ไฟดับหมดเลย
พัดลงพัดลมสัดดอกไรก็ดับหมด นี่มันคืออาการลิฟท์มันค้างใช่ไม๊
โอ่ย...กุแระอิห้อย ตกใจกันชิบหาย
มองหน้ากันเลิ่กลั่ก แง้ๆๆๆๆ กุร้องไห้เลยคนแรก ก่อนที่จะทำอะไร
ด้วยความตกใจ อิสาดในใจกุคิดว่า ชิบหาย ทำไมกุจะตายในนี้
ใช่ไม๊? ทำไมกุไม่ตายดีๆหน่อยกุไม่อยากขาดอากาศหายใจว้อย
กุนึกถึงในหนังได้ว่า ถ้าลิฟท์ค้างในรีบนั่งลง จะได้มีอากาศหายใจ
กุก็บอกให้อิห้อยว่า มึงอ่ะ นั่งลงสิวะ อิสัดม๋า มึงจะยืนทำเหี้ยไร
อิห้อยหัวขวดนี่ มันก็ไม่ยอมนั่งลง แต่ตอนนั้นมันเก๊กแมนเต็มที่
อิห้อย : ปั้งๆๆๆๆ (ทุบประตูลิฟท์) ช่วยด้วยคับๆๆๆ ลิฟท์ค้างคับ ช่วยด้วยๆๆๆ
(ช่วยทำเสียงแบบเก๊กแมนเต็มที่ จะได้อรรถรสมากๆ)
กุ : แง้ๆๆ ช่วยด๊วยยยยยยยย ลิฟท์ค้างค่า แง้ๆๆๆ (กุนั่งร้องไห้อย่างเดียว)
เรียกกันอยู่นานสองนาน กุได้ยินเสียงคนข้างนอกพูดว่า
เห้ยๆๆ ลิฟท์ค้างโว้ยๆๆๆ กรี๊ดดดด กุจะดีใจ ดีไม๊ เค้าจะรู้ไม๊ว่า
พวกกุอยู่ชั้นไหนกัน แล้วเค้าจะมาช่วยกุทันไม๊
กุไม่รู้จะคิดเหี้ยไรแร้ว เพราะตอนนั้น กุตกใจสุดขีด สุดตรีนจริงๆ
กุไม่รู้ว่า นานเท่าไหร่ที่กุนั่งร้องไห้ แล้วใจก็คิดไปต่างๆนานา
กุกลัวจริงๆ เพราะเกิดมา กุแม่งก็ไม่เคยติดอยู่ในลิฟท์ เลย
ครั้งแรกที่กุเจอกับตัวเอง ทำให้กุแย่มากๆ แย่เหี้ยๆเลย
สุดท้าย กุได้ยินเสียงคนข้างนอก ดัง เออๆๆ รู้แล้วๆๆ กำลังช่วยอยู่ๆ
อิสาดดดดด แม่งเห้อะ กุดีใจมาก กุไม่ตายแร้ว เค้ามาช่วยแร้ว
ซักพัก ประตูลิฟท์ก็เปิดออก เย้ๆๆๆๆ กุไม่ตายแล๊ววววว
คนมาช่วย คือ ร.ป.ภ 2 คน คนนึงแก่ อีกคนนึงยังเป็นหนุ่มอยู่
กุรีบยกมือไหว้งามๆ งามที่สุดเท่าที่กุคิดว่ามันงามแล้ว
เพื่อขอบคุณเค้าที่เค้ามาช่วยชีวิตกุแระอิห้อย
และกุก็รีบวิ่งขึ้นไปเล่าให้พวกพี่ๆจัดเลี้ยงฟัง พวกพี่ๆบอกว่า
เห้ย พี่ไม่เคยเห็นใครตายเพราะติดลิฟท์มาก่อนเลยนะ
โหย...ถ้าใครเป็นอย่างกุแม่งจะรู้สึก ว่า อากาศแม่งก็เหี้ยตั้งแต่แรกแล้ว
แระยังเสือกติดอยู่ในนั้น โดยไม่มีอากาศถ่ายเทเลย สมองจะสั่งการทันทีว่า
นี่กุต้องมาตายในนี้ใช่ไม๊
เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องโจ๊กไปเลยสำหรับพวกที่รู้ข่าว
กุกะอิห้อยอายชิบหาย อายสุดๆ และเป็นอุทาหรณ์ให้กุกะอิห้อยว่า
กุจะไม่ขึ้นลิฟท์เหี้ยนี่อีกเรย ส่วน ร.ป.ภ 2 คนที่มาช่วยกุ
ไม่ว่ากุเจอเค้าที่ไหน กุจะยกมือไหว้เค้า
พร้อมทั้งเรียกเค้าว่า คุณลุงผู้มีพระคุณ และ คุณพี่ผู้มีพระคุณ
เวลากุอยู่กะเพื่อนๆ กุจะบอกเพื่อนๆว่า เห้ยเนี่ยแหละ ผู้มีพระคุณของกุ
กุมารู้ทีหลังว่า ลิฟท์วิปโยคนี่ มันชื่อ "ลิฟท์กวางเจา"
และอิลิฟท์เหี้ยนี่ มันก็ค้างบ่อยๆด้วย ซึ่งพวกกุเป็นเด็กใหม่กัน
ไม่รู้ห่าไรเลย ไม่มีใครบอกด้วย แม่ง ซวยๆๆๆชิบหาย
เกือบจะเป็น "ลิฟท์กวางเจา เผากุ" ซะแล้ว
ภาษาเหนือวันละคำวันนี้ คำว่า หนาน อ่านว่า หนาน แปลว่า บุคคลที่ได้บวชเป็นพระมาแล้ว (ทิด)
แต่งประโยค ว่าจะไดปี้หนานจัย ไปเจียงใหม่ม่วนก่อคับ
แปลอีกทีว่ะ ว่าไงพี่ทิดชัย ไม่เชียงใหม่มา สนุกดีไม๊คับ
ป.ล ขอบใจภาพประกอบอภินันทนาการจากไอ่ห่าบิว Begin
ขอบคุณพี่แอนนี่ ศรีอิสาน ที่กรุณาสอนกุเรื่องโพสรูป
ขอบคุณคุณลุงและคุณพี่ ร.ป.ภ ที่มาช่วยพวกกุ รอดตาย มาปากม๋าได้ ถึงทุกวันนี้
บ๊าย...บาย
นู๋บลิว เซเลอร์มูน ก๋ากั่น

วันอาทิตย์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2547

ลิฟท์ Vol.1


เมื่อก่อนตอนสมัยกุสาวๆ เรียนมัธยมปลาย อุ้ย! กระแดะเกินเรียกซะเต็มเชียว
เรียกใหม่ดีกว่า เรียนม.ปลาย ที่จ.ร พวกกุต้องเรียนกันที่ตึก 7 ชั้น
ใครเคยเห็นหรือรู้จักหรือเคยผ่านก็คงจะสังเกตเห็นว่า
โรงเรียนเก่ากุ มีอาคารอยู่คารนึง มี 7 ชั้น ส่วนใครที่ไม่เคยเห็น ไม่เคยรู้จัก
หรือไม่เคยผ่าน ก็ช่างแม่ง ไม่ต้องเสือกมาอยากจะรู้ เพราะถ้าพวกมึงไม่รู้
กันซักเรื่อง ก็คงไม่ตาย ใช่ไม๊? โอเค ตอนกุเรียนที่ตึก 7 ชั้น
พวกกุต้องเดินเรียนกันขาลาก น่องโป่งกันเป็นแถว พวกกุจึงเริ่มมองหา
เครื่องทุ่นแรงกัน โดยที่น่องไม่โป่งเหมือนไปถีบสามล้อมา ฉะนั้น
เครื่องทุ่นแรงที่พวกกุมองหา คือ "ลิฟท์" ไม่ใช่ ลิฟ์ท์ กะ ออย นะ
ตลกไม๊? ไม่ กุไม่ได้เล่นมุขให้พวกมึงขำ อย่าเสือกขำนะ กุเล่นไว้ให้แป้กงั้นๆ
แต่ลิฟท์เหี้ยนี่ มันมีแค่ตัวเดียว แล้วก็มีกฎอยู่ว่า "สำหรับอาจารย์เท่านั้น!"
อิดอกกกกกกกกกกก กุเคืองมาก ทำไมวะ กะอีแค่ลิฟท์ ทำไมพวกกุจะขึ้นกันไม่ได้
ในเมื่อพวกกุก็จ่ายเงินค่าเทอมกัน ทำไมแม่งจะต้องทุ่นแรงเฉพาะอาจารย์ด้วยวะ
แต่เมื่อมีเหตุ ก็ต้องมีผล อาจารย์ชอบพูดเตือนบ่อยๆหน้าเสาธงว่า อาจารย์น่ะ
เค้าแก่แล้ว อย่างพวกนักเรียนเนี่ย ยังวัยรุ่นกัน ก็ต้องแข็งแรง ขึ้นบันไดกันได้สบายๆ
ห่ามากค่ะ เห็นพวกกุเป็นอะไร กุไม่ใช่ทหารเกณฑ์ กุเป็นแค่เด็กสาวมัธยม
น่ารัก วัยใส หวานแหวว แต๋วจ๋า ดอกทอง กันขนาดนี้ ทำไมต้องให้กุเดินขึ้นบันไดด้วย
เมื่อพวกกุคิดได้ดังนั้น พวกกุจึงต้องใช้วิชานินจา แอบขึ้นลิฟท์กัน โดยไม่ให้
อาจารย์เห็น โดยการกดลิฟท์ แล้วก็ยืนรอจนกว่าลิฟท์จะขึ้นมาตามคำสั่งของพวกกุ
พอลิฟท์มา ย๊าง ... ยัง ไม่เข้าไปนะ พวกกุต้องแอบหลบอยู่ที่มุมเสาก่อน ค่อยมองว่า
มีอาจารย์ขึ้นมาไม๊วะ ถ้าปลอดคน พวกกุก็จะรีบสอดตัวเข้าในลิฟท์ ทันที!
ใครๆอาจจะเคยขึ้นลิฟท์กันแบบเก่าๆที่ไม่มีเสียงเหี้ยไรลอดเล็ดออกมาเลย
ต่างคนก็ต่างยืนนิ่งเงียบ จากเมื่อกี๊จากลาเพื่อนๆเฮฮาอยู่ดีๆ
กลายเป็นนิ่งเงียบ เมื่อเข้าลิฟท์มา กุว่าการขึ้นลิฟท์นี่
แม่งอาถรรพ์ชิบหาย ทำให้คนปากมากเข้ามาแร้ว นิ่งเงียบได้ชั่วขณะ
แต่ไม่ ของกุขึ้นแล้วสนุก
กุและผองเพื่อน มีกิจกรรมมาเล่นกันในลิฟท์เสมอ นั่นคือ
พอพวกกุสอดตัวกันเข้ามาในลิฟท์ สิ่งที่จะต้องทำอันดับแรกเลยคือ มองหาเหยื่อ
จะกี่คนก็ได้ แล้วแต่จิตศรัทธา จากนั้น พวกกุก็จะปิดไฟในลิฟท์
เคยเห็นไฟในลิฟท์ไม๊? ถ้าไม่เคยเห็น หัดเป็นคนสังเกตเหี้ยไรรอบๆตัวบ้างนะ
หรือไม่ก็รีบๆวิ่งไปกดลิฟท์แถวๆนั้นดูก็ได้นะ กุจะรอ นับ 1-3
1 ... 2 ... 3 โอเค กุถือว่าวิ่งไปดูมาแระนะ อ่ะ เข้าเรื่อง
พอพวกกุปิดไฟปุ๊บ จุดโฟกัสพวกกุอยู่ที่ไอ่เหยื่อห่านั่น มันโชคร้ายมาก
ที่มาแอบขึ้นลิฟท์พร้อมพวกกุ สิ่งที่กุทำคือ รุมสกรัมมัน ทั้งถีบ ทั้งเตะ
อ๊ะๆ อย่าคิดว่าพวกกุ หาเหยื่อที่ไม่มีทางสู้นะ กุก็ไม่ได้เหี้ยไรขนาดนั้นหรอก
แต่ว่า ... เหยื่อที่ว่า ก็จะต้องรู้ด้วยว่า วันนี้ จะมีกิจกรรมตอนขึ้นลิฟท์
ซึ่งเหยื่อเหี้ยนี่ ก็คือคนในกลุ่มกุ แต่พวกกุ จะสะกิดกันเองไม่ให้มันรู้ตัว
สะใจชิบหาย แม่งเห้อะ ปิดไฟแร้วกุก็ถีบๆๆๆๆ ตบๆๆๆ ยีหัวๆๆๆๆๆ ก๊ากๆๆ
มันส์สัดๆเรยมึ๊ง โอ๊ย...พวกกุสนุกกันมาก ในตอนนั้น
ทั้งๆที่กุก็ใส่กระโปรงกันทุกคน แต่ว่า ในวินาที สกรัมหมู่นั้น
มันมองไม่เห็นอยู่แร้ว ว่าใครจะเสือกใส่เหี้ยไรมา หรือว่า ไม่ใส่!
เพราะมันมืดไปหมด บางทีกุก็ไม่มีเหยื่อหรอก แบบว่าอยากเล่น
พวกกุก็นัดกัน สกรัมหมู่กันบ่อยๆ โดยไม่มีเหยื่อ วันนี้มึงอยากเล่นใคร
มึงทำได้เลย แต่ใช่ว่า วันที่กุมีเหยื่อนั้น อิเหยื่อห่านั่นจะไม่สู้นะ
เพราะต่างคนต่างไม่เห็นหน้ากัน บางที สกรัมคนที่ไม่ได้หมายตาไว้บ้าง
โดนเหยื่อสกรัมบ้าง หักหลังกันเองบ้าง เป็นที่หัวเราะเฮฮา สนุกสนาน
พวกกุทำแบบนี้บ่อยๆ เมื่อแอบขึ้นลิฟท์
แต่บางครั้ง พวกกุอยากเข้าไปเล่น แต่ก็ต้องรีบถอย เพราะ
อาจารย์ขึ้นลิฟท์มา พวกกุต้องทำเป็นยืนคอยเพื่อนบ้างล่ะ
ทำเป็นคุยเล่นกันหน้าลิฟท์บ้างล่ะ หรือไม่ก็ ถ้าหน้าด้านๆหน่อย
กุก็จะพูดกะอาจารย์ว่า "อาจารย์ขานู๋ปวดขาค่า ขอขึ้นไปด้วย
ได้ไม๊คะ นู๋ไม่ไหวจริงๆแล้วค่า"
อาจารย์บางคนก็ให้กุขึ้นนะ แต่บางคนก็ไม่
ลิฟท์ของตึก 7 ชั้น เนี่ย อิช่อเคยเล่าให้กุฟังว่า ตอนมันและเพื่อนๆของมัน
แอบขึ้น พวกมันเคยติดอยู่ในลิฟท์
พวกมันก็ช่วยกันง้างๆๆ ลิฟท์ออกมา พอง้างออกมาได้
สิ่งที่มันได้เห็นก็คือ มีแต่ อิฐ เต็มไปหมด หลังจากนั้น
อิช่อ และ เพื่อนๆ ก็ไม่ขึ้นลิฟท์เหี้ยนี่อีกเลย และกลายเป็นคน
ที่หวาดกลัวการขึ้นลิฟท์เป็นอย่างมาก
ถ้าไม่จำเป็นเหี้ยไร มันก็จะไม่ขึ้นลิฟท์ มันยินดีน่องโป่งเป็นคนถีบสามล้อ
ดีกว่าติดในลิฟท์
พอการขึ้นลิฟท์ของกุ กลายเป็นเรื่องน่าสนุก ไม่มีความเงียบเหงา
เศร้าสร้อยเหี้ยไรแร้ว พวกกุก็จะขึ้นกันบ่อยๆ
เป็นที่สนุกสนาน และครื้นเครง ปล่อยอารมณ์เครียดของพวกกุได้หลายเท่านัก
วันนึง ... พวกกุก็กะจะทำเช่นนี้อีก เมื่อกุกดลิฟท์ไปแล้ว พวกกุก็ซ่าส์
ยืนอยู่หน้าลิฟท์กัน ยืนออ กันจนเบียดเสียด
ติ๊ง! เสียงลิฟท์เปิด โอ๊ย...ตอนนั้นนะ กุไม่กลัวเหี้ยไรแระ เพราะกุไม่คิดว่า
จะมีอาจารย์คนไหนขึ้นมา เพราะตอนนั้น เข้าเรียนกันหมดแล้ว
แต่พวกกุเข้าเลท มัวแต่นั่งเม้าท์แตกกันอยู่ที่โรงอาหาร
พอถึงเวลาเรียน พวกกุขี้เกียจเดินน่องโป่งกัน
เลยอาศัยการขึ้นลิฟท์ห่านี่ (พอดีตอนนั้นกุเรียนชั้น 7)
ปรากฏว่า ด้วยความที่กุเลินเล่อ ไม่ตรวจความเป็นระเบียบ
ของลิฟท์ก่อนเข้านั้น กุก็รีบเบียดตัว เป็นนินจา เข้าไปในลิฟท์ทันที
พอกุหันมาจะกดลิฟท์กัน กรี๊ดดดดดดดดดดดดด อิชิบหาย
อาจ๊ารย์!!! เต็มเล๊ยยย อยู่ตรงที่กดลิฟท์
กรี๊ดดดดด ทำไมกุไม่เห็น กุตกใจชิบหาย ตกใจเหี้ยๆเลย
หัวใจหลุดออกไปตรงตาตุ่ม แร้วมึงคิดดู
สภาพกุสิ
อาจารย์ฝ่ายปกครองด้วย อิห่าเอ้ย ซวย ซวย ซวย
กุคิดได้แค่ว่า ซวย ในใจ
กุและผองเพื่อน หันหน้ามองกัน หันไปยิ้มให้อาจารย์ แหะๆ
หวัดดีค่ะอาจารย์ แหะๆ พวกกุยกมือไหว้ให้สวยที่สุด
เท่าที่พวกกุจะทำได้
อาจารย์ : จะขึ้นลิฟท์กันไปไหนเหรอจ๊ะ
กุแระผองเพื่อน : อ่อ จะไปเรียนชั้น 7 ค่ะ แหะๆ
อาจารย์ : อ่อ เหรอ อืม...งั้นช่วยไปส่งครูที่ชั้น 2 ก่อนได้ไม๊
กุแระผองเพื่อน : เอ๊ะ...ชั้น 2 (มันเป็นห้องปกครองนี่หว่า)
กุกะเพื่อน หันหน้ามองกันเลิ่กลั่ก
หุย...อาจารย์ คะ นู๋มีเรียนภาษาอังกฤษชั้น 7 อ่ะค่ะ
นู๋ขอขึ้นครั้งนี้ครั้งเดียวไม่ได้เหรอคะ
(กุลืมบอกไปว่า อาจารย์ลงลิฟท์มา เพื่อที่จะขึ้นไป
ชั้น 5 เพราะขี้เกียจยืนรอใหม่ กลัวลิฟท์เต็ม เลยลงมา แล้วขึ้นอีกรอบ
ส่วนพวกกุ อยู่ชั้น 1)
อาจารย์บอกกุว่า ไม่มีอะไรหรอกน่า ไปชั้น 2 กับครูแป๊บเดียว
แต่อิแป๊บห่าของอาจารย์นั้น พวกกุรู้เรยว่า กุโดนแน่ๆ
สุดท้าย เมื่อกุไปถึงห้องปกครอง ผิดคาด! กุนึกว่าจะทำทัณฑ์บน
ที่แท้ อาจารย์ทำโทษพวกกุ โดยการ
ขัดส้วม!
อาจารย์แจกอาวุธในการขัดส้วมให้พวกกุ ครบมือ
อิสาดม๋า อายก็อาย เรียนก็ไม่ได้เรียน
แถมอาจารย์ก็ยังตามมาดูพวกกุขัดส้วมกันอีก
กุแระผองเพื่อน นึกถึงตอนนี้ เมื่อเอาเรื่องเก่ามาเล่ากันใหม่ทีไร
พวกกุก็หัวเราะท้องแข็งกันทุกที
แหม...ทำไปได้!
ครั้งนี้พวกกุขยาดการขึ้นลิฟท์ได้ไม่นาน สุดท้าย
พวกกุก็ยังแอบขึ้นลิฟท์ กันอยู่ดี - -!
อิดอก ไม่เข็ดจริงๆนะมึง
ภาษาเหนือวันละคำวันนี้ คำว่า ม่ะกุย อ่านว่า ม่ะ - กุย แปลว่า กำปั้น
แต่งประโยค วันนี่หน้าปี้หนานเป๋นแผลไปโดนม่ะกุยยอกมาแหละปี้
แปลอีกทีว่ะ วันนี้หน้าพี่ทิดเป็นแผลไปโดนกำปั้นใครเค้ามาเหรอพี่
บ๊าย...บาย
นู๋บลิว เซเลอร์มูน ก๋ากั่น

วันเสาร์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2547

เยือนบ้านโคกใหญ่

ช่วงเทอม 1 ที่ผ่านมา ตอนที่กุมีปัญหากับพี่เอก แล้วอยู่ในช่วงเลิกกัน
ในตอนนั้น พอดี กะที่อาจารย์มีโครงการที่เกี่ยวกับวิชาเรียนของพวกกุ
คือต้องไปโรงเรียนเรียนร่วม อาจารย์บอกว่า โรงเรียนที่จะไป
คือโรงเรียนบ้านโคกใหญ่ โรงเรียนบ้านโคกใหญ่
เป็นโรงเรียนที่มีเด็กพิเศษเรียนร่วม พวกกุต้องขนของ ขนงานต่างๆ
ไปพรีเซ้นต์ และทำกิจกรรมให้กับน้องๆ ทั้งเด็กพิเศษ และก็เด็กปกติ
กุก็จำไม่ได้แระว่ะ ว่า มันมีกี่ฐาน แต่ฐานกุกุต้องให้ความรู้เกี่ยวกับ
เด็กหูหนวกและเครื่องช่วยฟังต่างๆ และกิจกรรมวันที่ 2 กุต้อง
ให้น้องทำกิจกรรมเกี่ยวกับการปั้น โดยทำแป้งปั้นกันเอง กุไม่ใช้ดินน้ำมัน เพราะ
ดินน้ำมัน แพงกว่า แป้งที่พวกกุทำกันเอง อีกอย่างเลือกสีได้ตามใจชอบ
สีก็สดกว่าดินน้ำมัน อีกด้วย จะใส่กลิ่นเหี้ยไรก็ได้ ตามใจเรา
ตื่นเช้า กุบอกให้แม่มาส่งกุ พอกุมาถึงหน้าบ้านพิบูลทั้งอาจารย์ และเพื่อนๆ รออยู่แล้ว
รุ่นพี่ที่จบไปแล้วก็มา 2 คน คือพี่เบียร์ กะพี่ห่าไรมะรู้ กุลืมชื่อไปแล้ว
พวกกุต้องนั่งรถหางปลาทู (กุไม่รู้ชาวบ้านชาวช่องเรียกเหี้ยไร
บ้านกุเรียกรถหางปลาทู)
บางคนเรียกรถหวานเย็น ใครอยู่แถบๆบ้านกร่าง หรือแถวๆหน้า จ.ร ก็จะเห็น
รถแบบนี้วิ่งกันขวักไขว่ รถคันนี้ รู้สึกว่าอาจารย์จะจ้างมาจากชาติตระการ
เพราะโรงเรียนบ้านโคกใหญ่อยู่ชาติตระการ กุมารู้อีกที โรงเรียนบ้านโคกใหญ่
มันอยู่ใกล้ๆ กับโรงเรียนเก่าของพ่อกุ
กุจำได้ว่า ตอนพ่อกุสอนอยู่ที่นั่น กุเคยไปเล่นน้ำแก่ง ด้วย วู้ ดีใจจัง
มาเจอโรงเรียนเก่าพ่อ รู้สึกเหมือนกะว่า ได้กลับมามีชีวิตแบบที่เคยคิดถึงอีกครั้ง
เมื่อกุไปถึงที่โคกใหญ่ พวกน้องๆ ทุกๆชั้น ก็มองพวกกุ แบบว่า เห้ยมันมากันทำไม เพื่ออะไร
แล้วพวกน้องๆ ม. 3 ก็เอาดอกไม้มาติดเสื้อให้พวกกุ เหมือนเป็นการต้อนรับ
ไปที่โคกใหญ่กุสัมผัสถึงบรรยากาศครั้งสมัยที่กุเคยเรียนโรงเรียนแนวๆนี้
โรงเรียนไม้เก่าๆ ที่ต้องใช้เทียนไขไปต้ม แร้วเอามาขัดพื้นไม้ ให้มันดูเงางาม
วันแรก พวกกุก็จัดเตรียมกันทำกิจกรรม ครูประกาศให้เด็กชั้นป. 1-6 ลงมาเข้าแถว
หน้าเสาธง แล้วก็แบ่งกันทำกิจกรรมในแต่ละฐาน แล้วก็เปลี่ยนฐานไปเรื่อยๆ
(กุเล่าข้ามๆกระโดดๆนะ กุขี้เกียจมีภาคต่อ)
แล้วทุกๆฐานก็จะต้องให้น้องๆ มีเพลงและท่าทางประกอบเพลงนั้นๆด้วย
เด็กๆสนุกสนานชอบใจกันใหญ่ กุก็รู้สึกดี แม่งรักเด็กว่ะ
ช่วงบ่ายๆ หลังจากที่กุปล่อยเด็กกลับบ้านกัน ฝนก็ตก (ช่วงเดือนสิงหาหลังวันแม่ไม่เท่าไหร่)
กุกะเพื่อนๆ (กุจำมะได้แระว่ามีใครบ้างอ่ะ) ไปนั่งแด่กก๋วยเตี๋ยว ข้างๆโรงเรียน
บรรยากาศแม่งได้ใจกุจริงๆ ทำให้นึกถึงสมัยสาวๆอีกแว้ว! ตอนกุยังเด็ก ได้กลิ่น
ของดินที่มีฮิวมัส โดนฝนจนเปียก เมื่อฝนหยุด ฟ้ากระจ่างใส เป็นฟ้าหลังฝน
พวกกุจะออกไปเซอร์เวย์แถวๆหมู่บ้าน เพื่อกรอกแบบสอบถาม
พวกกุต้องไปถามผู้ปกครองในหมู่บ้าน เรื่องเกี่ยวกับเด็กพิเศษที่เรียนในโคกใหญ่
เดินไป รองเท้ากุก็ติดหนึบกะพื้นดินลูกรังที่เปียกฝน พวกกุเดินกันมาไกลมาก
ขาไปกุไม่ค่อยจะเมื่อยเท่าไหร่ เหมือนได้เดินเล่น แต่ขากลับ
มันเหนื่อยมากที่จะต้องเดินกลับ พลัน! โสตกุก็ปะทะกับเสียงเสียงหนึ่ง
กุว่ามันต้องเป็นรถคุณแต๋นของใครซักคน ในระแวกนั้น
กุบอกว่าอิห้อยกะอิก้อยว่า กุขี้เกียจเดินกลับแว้ว มันไกลจ้าดดด
กุจะรอโบกคุณแต๋นกลับโรงเรียน แต่มันเป็นเหี้ยไรของพวกมันก็ไม่รู้ หรือเพราะอายไม่กล้า
มันบอกว่า โอ๊ย...ไม่เอาว่ะ ไม่ไปหรอก บ้าเหรอ กุก็ยืนรอแล้วรออีก
คุณแต๋นคันนี้ เสียงมาเร็วกว่าตัวหลายพันเท่านัก กุรอเป็นชาติยังไม่มาเลย
แล้วความหวังกุก็เป็นจริง กุเห็นเค้าขับมาลิบๆ กุตั้งท่าได้ โบกรถคุณแต๋น
กุบอกลุงคนขับว่า ผ่านโรงเรียนโคกใหญ่ไม๊คะ ลุงบอกว่า ผ่านคับ
กุก็บอกลุงว่า นู๋ขอติดรถไปโรงเรียนได้ไม๊คะ เค้าก็พยักหน้ารับ
เย้ๆๆๆๆๆ กุกะลังจะเตรียมโดดขึ้นรถ อิห้อยกะอิก้อย มาจากไหนไม่รู้
อิสาดดดดดดดด
จากที่บอกว่าไม่ไปๆๆ แม่งเหี้ย โดดขึ้นรถก่อนกุ นั่งหน้าตาจิ้มลิ้ม
น่าถีบมากๆ พวกกุหัวเราะกันมาตลอดทาง โคตรมันส์! นั่งคุณแต๋น กับ
บรรยากาศที่ปลอดโปร่ง มีความสุขมาก แหกปากหัวเราะไม่ได้เกรงใจลุงคนขับเลย
แม่ง ราชรถมาเกยจริงๆ
พวกกุแม่งทำตัวยังกะเด็ก (ทั้งๆที่ก็แก่ชิบหาย) ลุงเค้าขับรถผ่านโรงเรียน
ก็จอดให้กุลงกัน โอ๊ย...พวกกุหัวเราะกันท้องคัดของแข็ง
หัวเราะความดอกของมัน 2 คน ที่ทำเป็นบอกว่า ไม่ขึ้นๆ สุดท้าย โดดขึ้นรถก่อนกุอีก
ทั้งๆที่กุเป็นคนโบก - -!
แระบรรยากาศที่โล่งสบาย ของคุณแต๋น กุมีความสุข
พี่เบียร์ และพี่ พี่ห่าไรวะ ช่างแม่ง 2 คน อ่ะ เค้าเห็นพวกกุพอดี
เค้าก็หัวเราะใหญ่ บอกว่า เห้ย โบกอีแต๋นมากันเรยเหรอวะพวกแก
หลังจากนั้นพวกกุก็สังคยานาตัวเอง แล้วก็เตรียมกิจกรรมตอนกลางคืนกัน
พวกน้องๆ ชั้นมัธยม เตรียมการแสดงต้อนรับพวกกุเช่นกัน กิจกรรมกลางคืน
ก็จะมีพวกชาวบ้าน ในหมู่บ้าน เข้ามาดูกัน พ่อแม่ผู้ปกครองของเด็กบ้าง หรือไม่ก็
เป็นสมาชิกในหมู่บ้าน ซึ่งก็เป็นธรรมดาของสังคมชนบทที่กุชื่นชมมาตลอด
พวกน้องมัธยม ออกมาแสดงเพลง ตามหาสมชาย กับเพลงไรวะ คอยรักหนุ่มตังเก
ของอิแมงปอ ไรนั่น อินุ่นถามกุว่า เห้ยบลิว มึงไม่คิดจะมีการแสดงอะไรบ้างเหรอวะ
นอกจากการที่เราจะแสดงละคร เกี่ยวกับเด็กพิเศษประเภทต่างๆเนี่ย กุอยากได้การแสดงว่ะ
กุเรยพูดติดตลกไปว่า เอ้ามึงจะให้กุทำไง ให้กุไปยืมชุดน้องเค้า แร้วก็ยืมเพลงน้องเค้า
ส่วนการแสดง กุคิดสดงั้นใช่ไม๊? มึงเอาไม๊? กุคิดว่ามันไม่เอา!
แต่มัน เอา! อิสาดดดดดดด ห่าเอ้ย กุ อิช่อ 2 คน รีบกุลีกุจอ ไปขอยืมอุปกรณ์การแสดงต่างๆ
จากพวกน้องๆเค้า ท่าเท่อห่าเหวไรกุก็ไม่มีท่าทางพวกกุต้อง สด! ตามสันดาน
กุคิดท่ากันเดี๋ยวนั้น ซักพัก หนุงหนิงเข้ามาบอกว่า ให้เราแสดงเป็นสมชายไม๊
กุกะอิช่อ เอา! จาก 2 คน เป็น 3 คน เอาวะ แล้วพวกกุก็ซักซ้อมกันใหญ่ ซักพัก อิอุ๋ย เดินมา บอกว่า
ทำไรกันน่ะ พอพวกกุบอก มันบอกว่า เห้ย ขอด้วยๆๆ อยากๆๆๆ พวกกุ เอา!
จาก 3 เป็น 4 สู้โว้ย! ซ้อมไปซ้อมมา ทุเรศตัวเองบ้าง หัวเราะกันเองบ้าง รอแล้วรออีก
แม่งเมื่อไหร่ พวกกุจะได้ขึ้นเต้น เรื่องอายเพื่อนพวกกุไม่เคยอาย แต่นี่ มาเต้นให้ชาวบ้าน
และพวกเด็กๆเค้าดู กุจะไปได้ไม๊ กุก็ไม่รู้ เพราะเต้น step ที่เป็นสันดานจริงๆ
พอพวกกุขึ้นไป เพื่อนๆกรี๊ดกันใหญ่ เต้นตาม step ที่วางไว้กัน ส่วนกุมันส์กว่าใคร
มันส์ชิบหาย ตาลุงแก่คนนึง ควักแบงค์ 20 ยื่นให้กุ กรี๊ดดด ยังกะคาเฟ่
กุรีบยกมือไหว้ขอบคุณ อิสัดนี่มันขอจับมือกุ กุนึกว่ามันจะเอาเงินคืน กุถามมันว่า
กุ : ลุงจะเอาเงินคืนเหรอคะ
อิลุง : อ่อ ป่าวๆๆๆ ขอจับมือหน่อยๆๆๆ
อิสาด โดนคนแก่หลอกจับมือ พวกกุเต้นกันสุดตรีนมากๆ เพื่อนๆกุกรี๊ดกันเกรียวกราว
พอพวกกุเต้นเสร็จ เป็นปลื้มว่ะ แม่งเห้อ มีแต่คนชอบ พวกน้องๆมัธยมที่กุยืมชุดเค้ามา
มาหาพวกกุ โหยพี่บลิว คิดได้ไงเนี่ย พวกนู๋อายเลย กุบอกน้องไปว่า อ่อ หน้าด้านๆเข้าไว้น้อง
อย่าไปอาย ถ้าอายก็ไม่ได้ทำไรกินหรอก อยู่ที่นู่น พวกพี่ยิ่งกว่านี้ - -"
(กิจกรรมเหี้ยไรก็พวกกุๆๆ)
กุรับจ๊อบแม่งหลายอย่างจริงๆ พอเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ กุก็ต้องไปแสดงละคร เป็นเด็กหูหนวก
อิวัยรุ่นผู้ชายแถวๆนั้น แซวกุ ฮิ้วๆๆๆ เต้นสุดๆไปเลยนะ แต่กุบ่ได้สนใจมากนัก
ช่างแม่ง กุได้มาตั้ง 20 บาท -"-
ตอนกุแสดงพวกมันก็เอาแต่เห่าหอน ส่งเสียงแซวกัน กุได้แต่คิดว่า อย่าใส่ใจๆๆ มันแค่เห่าหอน
แร้วการแสดงสดของพวกกุ ก็รอดตัวไป ฟู่ววววว แก้ผ้าเอาหน้ารอดซะจริงๆ!
ก่อนเข้านอน อ.เรียกพบทุกคน แระทบทวนสิ่งที่ทำไปแล้วว่าได้อะไรบ้าง
ผ่านพ้นวันแรกไปด้วยความอ่อนเพลีย พวกกุนอนหลับสลบไสล
วันที่ 2 อาจารย์เรียกพวกกุไปทำความเข้าใจกิจกรรมก่อนจะสอน แล้วพวกกุก็พาเด็กๆ
ทำกิจกรรมต่างๆ พวกกุให้เด็กๆ ปั้นในสิ่งที่ตนเองชอบ โดยมารับ แป้งปั้นสีต่างๆ จากพวกกุ
เด็กๆชื่นชอบกันใหญ่ เพราะสีสวย และมีกลิ่นหอม กุจำได้แค่นั้น นอกนั้น กุงีบหลับ
จะว่าไป เหมาะกับคำว่า แอบหลับซะมากกว่า เพราะถ้า อ. เห็น เป็นเรื่องแน่ๆ
เมื่อกิจกรรมทุกอย่างจบลง ในแต่ละฐาน
พวกกุ ก็จับกลุ่มให้เด็กๆเล่นเกม ไม่ว่าจะเต้น หนอนน้อย , ไก่ย่าง , ฯลฯ
ก่อนเที่ยง เมื่อกิจกรรมทุกอย่างเสร็จสิ้น พวกกุก็จับกลุ่มวงกลม แล้วร้องเพลง
สามัคคีชุมนุม
ร้องได้บ้างไม่ได้บ้าง กล้อมแกล้มไปแม่ง
พวกกุนอนรอรถหางปลาทู สุดแรง นานมาก กุเผลอหลับไป นานเท่าไหร่ไม่รู้
ได้ยินเสียงเพื่อนเห่า ว่า เห้ย รถมาแร้วว้อยยยยยยยย เท่านั้นแหละ พวกกุ
ตื่นกันอัตโนมัติ (อยากกลับบ้านไปอาบน้ำกัน เหนื่อย และก็เพลีย)
ก่อนกลับ พวกครู และน้องๆ ที่เข้ากิจกรรมฐาน มาส่งกุ พอพวกกุลาทุกๆคนแล้ว
ก็ขึ้นรถกัน แระรถก็ออกจากโรงเรียน เด็กบางคน โบกไม้โบกมือร่ำลาพวกกุกัน
พวกกุก็โบกมือ บ๊าย...บาย กุและเพื่อนจะไม่มีวัน ลืมวันนี้ไปเลย
กิจกรรมนี้ ทำให้กุมีความสุข ถึงแม้กุจะเสียใจเรื่องพี่เอกก็ตาม แต่กุร้องไห้ไม่ออก
ทั้งๆที่ใจก็อยากร้อง แต่กุต้องทำกิจกรรมกัน กุยังร้องไห้ไม่ได้
ภาษาเหนือวันละคำวันนี้ คำว่า เก้าไม่ อ่านว่า เก้า - ไม่
แปลว่า ต้นไม้
แต่งประโยค เก้าไม่แถวนี่ ร่มรื่น ดีเนาะ วันพูกเฮามานั่งยะงานตี้นี้ดีกว่า
แปลอีกทีว่ะ ต้นไม้แถวนี้ ร่มรื่นดีเนาะ พรุ่งนี้เรามานั่งทำงานที่นี่ดีกว่า
บ๊าย...บาย
นู๋บลิว เซเลอร์มูน ก๋ากั่น
ป.ล ตอนนี้กุกะพี่เอกเคลียร์กัน แระกลับมาคบกัน แต่ความรัก ก็ยังลุ่มๆดอนๆ
สัดดอก เชี่ยไรก็มีความสุข แต่ความรัก สร้นตรีนจริงๆ
แระอิห้อย (วุ้น) มันคือ เกย์ตัวหนึ่ง
ของต่างๆที่เด็กๆได้เข้าร่วมกิจกรรมในฐาน พวกกุยกให้เด็กๆ
เอากลับบ้านหมดเพราะถือว่าเป็นฝีมือของพวกเค้า ปลื้มจริงๆ

ส้มตำยกครก

หลังจากที่กุขี่รถผ่านร้าน ส้มตำยกครกอยู่บ่อยๆ แถวหน้าม.ใน แต่วันนี้ กุเข้าไปคุย
เรื่องการแข่งกีฬาระหว่างคณะศึกษาศาสตร์ของม.น กับครุศาสตร์ ของกุ
กับพวกเพื่อนๆสโมฯทั้งหลาย หลังจากคุยกันเสร็จ เพื่อนๆพากุไปกินส้มตำ ที่ร้าน"ส้มตำยกครก"
กุก็ว่า เอ๊ะ ... ทำไมคุ้นๆ ที่แท้กุเคยเห็นมันอยู่ตรงข้ามกะม.ในนี่หว่า
แต่กุเสือกได้มากินที่ม.นอก หุๆ เจ๋งว่ะ (ทำไมต้องเจ๋งวะ) - -"
เพื่อนๆสโมฯ ของม.น ได้แก่ เชษฐ์ ตู่ สร้อย แระใครอีกคนวะ กุจำชื่อไม่ได้แระ
ส่วนของพวกกุก็มี กุ อิห้อย(วุ้น) รุ่ง ต้อย แมว ขิม เชษฐ์ บอกว่า บลิวสั่งได้เลย
อยากกินไร ก็สั่งเลยนะ เขียนเลยๆๆๆๆ เอ้า...อย่านะ กุบ้ายุนะ เรื่องกิน อย่าได้
มาถาม กุแด่กกระจาย! กุอ่านเมนูไปๆมาๆ อยู่อย่างนั้น กุถามเพื่อนๆกุว่า เห้ย ช่วยกุหาหน่อย
กุหา ตำปูไทย ไม่เจอ กุเจอแต่ตำไทยปูม้า กุไม่อยากกินปูม้า กุอยากกิน
ปูเค็ม สุดท้าย กุก็ได้กิน ส้มตำปูม้าจริงๆ ใครสั่งวะ?
กุอ่านอยู่นาน ไปสะดุดตรงเมนู "ตำโล่งโจ้ง" เห้ย กรี๊ดดดด
ร้านนี้ ติดเรท ฤ? กุถามเพื่อนเชษฐ์ เพื่อนเชษฐ์บอกกุว่า เราไม่รู้วว
เพื่อนเชษฐ์มันเรยสั่ง "ตำโล่งโจ้ง" 1 ที่ เชษฐ์บอกว่า ไม่เคยกินเหมือนกัน
ส่วนกุนั่งอ่านเมนู ตาแหก ไม่รู้จะเอาไรกระแทกปากดี กุเรยเขียนส่งๆ
"ยำวุ้นเส้น" หืมมมมม กุน่าจะสั่งเหี้ยไรที่มีสาระมากกว่านี้นะ - -!
รอซักพัก ไม่นานเท่าไหร่ ส้มตำ ยกครกก็มาเสิร์ฟเต็มโต๊ะ กุขอบอกว่า เต็มโต๊ะจริงๆ
เหมือนกะว่า ครกใครครกมันเลยว่ะ อีกอย่าง ไม่ใช่เฉพาะส้มตำ ที่กุกินกัน ยังมีพวก
ขนมจีนเอย ต้มแซ่บเอย เนื้อย่างเอย ฯลฯ เยอะสัด กุไม่รู้เหมือนกันว่า ใครสั่ง!
แต่มันก็ทำให้ไส้กิ่วๆ ของกุที่ยัดก๋วยเตี๋ยวมา 2 ชามเต็มๆก่อนหน้าที่กุจะไปประชุมนั้น
ตึงเปรี๊ยะ! ครกน้อยๆ น่ารักชิบหายกุอยากจิ๊กกลับบ้าน
ทำให้กุนึกถึง เด็กๆเวลาเล่นขายของ ครกอันน้อยๆน่ารักดอกๆ
สุดท้าย "ตำโล่งโจ้ง" ติดเรท ของกุก็มาถึง สิ่งที่กุได้เห็น คือ ตำเหี้ยไรเนี่ย
เกิดคำถามขึ้นในใจ แต่ไม่ได้พูด แต่ใครคนใดคนนึงไม่รู้วว ถามเจ้เจ้าของร้าน
มันจึงได้คำตอบว่า "ตำโล่งโจ้ง ก็คือ ตำปูม้า ไม่ใส่เส้นอะไรเลยค่ะน้อง"
อีดอกกกกกกกกกกกกกกก!! กุว่าแล้ว มันต้องคิดเมนูสร้นตรีนนี่มา
เพื่อให้คนง่าวๆ อย่างพวกกุลองกันแน่ๆ
สุดท้าย "ตำโล่งโจ้ง" แม่งก็โล่งโจ้งกันจริงๆ เพราะไม่มีใครแด่ก
กุไม่ชอบปูม้า มันไม่สะระตี่ เหมือนปูเค็ม กุแด่กไม่เป็น
แด่กแต่เครื่องของมัน เพื่อนเชษฐ์บอกว่า พี่คับขอถุงหน่อย
ผมเขิลล์ ผมจะเอาปูม้าไปแทะเล่นที่หอ เออนะ ดูมัน
ซักพัก โจ้ เพื่อนชาวม.น อีกคนก็มา พร้อมกับ บอย เพื่อนใหม่ ที่พวกกุ
พึ่งจะรู้จักกัน ในครกส้มตำ เอ้ย! ในร้านส้มตำยกครก
วันนี้ กุเผลอทำทุเรศ น่าอายสัด กุทำแก้วเป๊บซี่ตก น้ำแข็ง กะเป๊บซี่
ร่วงเต็มจาน ขายหน้าชิบหาย แต่ไม่เป็นไร ยางอาย
แถวบ้านกุขาดตลาด กุเรยไม่ค่อยอายเท่าไหร่ หิหิ
พอพวกกุ อดอยากปากมัน และ อิ่มจังตังค์อยู่ครบกันแล้ว
พวกกุก็ขอตัวกลับเข้าเมือง กัน ประทับใจชิบหาย
มากับเพื่อนๆอย่างนี้ ทำให้กุลืมเรื่องบางเรื่องที่ไม่ค่อยอยากจะนึกถึง
ได้บ้าง แต่พอกุกลับบ้าน อะไรๆก็เหมือนเดิม
เมื่อกุกลับถึงบ้าน ก็เตรียมตัวไปท็อปแลนด์ เพราะกุมีจ๊อบงานแต่ง
(ใจก็หวังอ่อยเหยื่อ) หิหิ แต่คงทำแร่ดไปงั้นแหละ
ตอนนี้กุกลัวผู้ชาย ไม่รู้เป็นเหี้ยไร กลัวผู้ชาย
ให้กุบอกว่าไอ่ห่านี่ หล่อว่ะ กุทำได้ แต่ถ้าให้คบ กุไม่คบ กุกลัว
เออ ช่างแม่ง เด๊วไม่เข้า คอนเซ็ปต์ ส้มตำยกครก ไม่อยากเจิ่นไปเรื่องอื่น
ภาษาเหนือวันละคำวันนี้ กึ๊ดเติง แปลว่า คิดถึง
แต่งประโยค น่องบลิวบ่หันกั๋นเมินเลยเนาะ อยู่ปุ้นกึ๊ดเติงบ้านพ่องก่อ
แปลอีกทีว่ะ น้องบลิวไม่เห็นกันนานเลยเนาะ อยู่ทางโน้น คิดถึงบ้านบ้างไม๊จ๊ะ
บ๊าย...บาย
นู๋บลิว เซเลอร์มูน ก๋ากั่น
ป.ล ขอบใจเพื่อนโจ้ ณ ม.น ที่มาทีหลัง แต่โดนกุใช้ให้เติมเป๊บซี่ให้
ขอบใจเพื่อนๆม.น ที่เลี้ยงส้มตำยกครก!
ขอบใจเพื่อนเชษฐ์ที่สั่ง "ตำโล่งโจ้ง"
ทำให้พวกกุรู้ว่า มันโล่งโจ้ง ซะจริงๆ
ขอบใจตัวกุด้วย ที่จริงๆแล้วไม่อยากไป ม.น แต่นึกครึ้มเสือกอยากไป ซะงั้น!

วันศุกร์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2547

ฤๅกุจะไร้สาระ!


ไม่มีไรหรอกว่ะ กุแค่อยากให้รู้ว่า เวลาที่กุกำลังเรียนๆอยู่ แล้วกุชอบทำไรเท่านั้นเอง
กุโรคจิตไรมะรู้ ที่กุชอบขีดๆเขียนๆ ในสมุดเล่นๆ ไปงั้นๆ เพื่ออะไร?
กุก็ตอบไม่ได้ แต่กุไม่ได้เขียนในเรื่องมีสาระหรือวาดรูปเหี้ยไรหรอก
(เพราะกุไม่มีหัวเรื่องศิลป์) แต่ว่า ... กุชอบเขียนกลอน แร้วกลอนเหี้ยนี่
กุก็เขียนแม่งอยู่กลอนเดียว บางครั้งเขียนหลายๆกลอน แต่ทุกวิชา
แม่งก็กลอนซ้ำๆกันอยู่นั่น ไม่รู้เป็นห่าไร ทำไมกุไม่นึกถึงกลอนอันอื่น
หรือกลอนที่กุแต่งเอง อาจจะเป็นเพราะกลอนนี้ มันโดนใจกุมั้ง แร้วกุก็เสือกจำได้
กุเรยเขียนแม่ง ด้วยความไม่มีไรทำ กลอนที่กุชอบเขียนแก้ง่วง ก็เช่น
ว่างๆก็นั่งเขียน เพี้ยนๆก็นั่งฝัน
หัวเราะได้ทั้งวัน สนุกมันทุกเวลา
เหงาๆก็เศร้าหน่อย แต่ไม่บ่อยนักหรอกหนา
เสียดายหยดน้ำตา กว่าจะหามาได้ก็แทบตาย
กลุ้มๆทุบขมับ ตั้งท่าหลับเดี๋ยวก็หาย
หลับแล้วค่อยสบาย เรื่องมากมายเหมือนไม่มี
สักวารักอื่นให้ชื่นหวาน
แต่ใจเราร้าวรานเป็นไฉน
ก็รู้อยู่ว่าเขาเป็นของใคร
แต่ฝืนใจตัวเรามิได้เอย
เป็นต้น
ไอ่กลอนที่ 2 นี่ ไม่ใช่ตัวกุ เพราะกุไม่เคยอยากแด่กแฟนใคร
แต่ไม่รู้เพราะห่าไรเหมือนกัน กุหาข้อสรุปให้ตัวเองไม่ได้
ทำไมกุต้องเขียนกลอน (กุไม่ได้แต่งเองหรอก)
แต่กุชอบขีดๆเขียนๆ กุชอบเขียนแต่กุไม่ชอบบันทึก
กุชอบเขียนบรรยาย หรือเขียนจดหมาย กุช๊อบ...ชอบ
ใครจะรู้ว่าผู้หญิงอย่างกุเนี่ย จะหวานกะเค้าเป็นเหมือนกัลล์
เพราะถ้าให้กุยืนอยู่เฉยๆ หน้าตาไม่ต้องยิ้มแย้มหรือพูดอะไร
หน้าตากุจะน่าตบมาก! ฮ่าๆ เพราะหน้ากุมันร้ายจนน่าหมั่นไส้
ใครจะรู้ว่าใจกุมันละเอียด หุๆ กุไม่บอกใครหรอก กุไม่คอ่ยได้บอกใคร
เอ้า...วกกลับมาเรื่องกลอน ไม่ว่ากุจะเบื่อหรือกุจะหงุดหงิดจากการเรียนในวิชา
กุมักหาทางออกสำหรับตัวเอง คือกุจะเขียนกลอนเหี้ยนี่ ซ้ำๆซากๆ
เขียนไปนั่งแต่งลายมือตัวเองไป อ่านออกบ้าง อ่านไม่ออกบ้าง ตามประสา
หลายครั้งที่กุเขียนเนื้อเพลงที่กุร้องได้ (แต่ไม่จบ) กุน่าจะทำอะไรที่เป็นสาระมากกว่านี้
แต่กุก็ไม่รู้ว่าเมื่อกุเบื่อ กุจะทำอะไรเวลาที่กุดูอาจารย์ปิ้งแผ่นใส
ไปมากกว่าการที่กุเขียนกลอน ซ้ำๆซากๆนี่ไปวันๆ
กุอยากมีอะไรใหม่ๆบ้าง แต่กุหาแล้วมันก็ไม่มี ไปกว่าการขีดๆเขียนๆใส่สมุด
ไปแบบนี้ ไม่ว่าจะนึกห่าไรได้ กุก็จะเขียนๆๆๆ แต่มันไม่ใช่สาระ
ซักเท่าไหร่ บางทีกุครึ้มๆ กุก็จะเขียนชื่อกุ เต็มหน้ากระดาษ
เพื่อนกุเห็นแม่งก็จะบอกว่า เห้ยมึงทำเหี้ยไรเนี่ย
พ่อมึงรวยเหรอ ทำสมุดขายรึไง แม่มึงคงเยี่ยวเป็นน้ำหมึกล่ะสิ
(กุไม่อยากจะบอกเลยว่าความจริงกุคิดเอง แต่เอาเพื่อนมาอ้าง
แต่ที่มันถามกุว่ากุทำไรน่ะ มันพุดจริงๆนะ อิอิ)
เออ กุก็ไม่รู้ แต่กุโรคจิต กุชอบเขียน เขียนเหี้ยไรก็ได้ ที่กุนึกออก
เพราะกุเบื่อ กุง่วงนอน กุเซ็ง วิชาเหี้ยไร กุก็เซ็งแม่งหมดแหละ
ระบายห่าไรไม่ได้ กุก็ระบายทางปากกากับสมุดเนี่ยแหละ
พูดถึงเรื่องเรียนแม่ง กุพาลนึกไปถึง คำขวัญของนายก
ที่เคยบอกไว้ว่า เรียนให้สนุก เล่นให้มีความรู้ ว่ะ
กุอยากให้อาจารย์มีไรให้กุเล่นบ้าง ดีกว่ากุมานั่งเก้าอี้ 4 ชั่วโมง
จนรากงอกติดเก้าอี้แล้วอ่ะ กุเบื่อ การปิ้งแผ่นใส กุเบื่อทุกอย่างที่มันเป็นตัวหนังสือ
กุอยากทำกิจกรรม เห้ย กิจกรรมนะ ไม่ใช่ กิจกาม เออ
กิจกรรมอ่ะ กุชอบ มันสนุกดี ไม่ให้กุเครียด แล้วก็ง่วงนอน
ถ้ากุได้เป็นครูเมื่อไหร่ กุจะให้เด็กของกุเรียนแบบมีกิจกรรม
จะได้ไม่เครียด กุเบื่อว่ะ ไม่สวย แร้วก็ยังสอนน่าเบื่ออีก เชอะ!
(แร้วขี้กลากก็จะขึ้นหัวกุ)
บาปชิบหาย
ภาษาเหนือวันละคำวันนี้ ผ่อ แปลว่า ดู , มอง , เบิ่ง ,แหกตาเบิ่ง
แต่งประโยค วันนี้มีลิเกมาแถวบ้านเฮา เฮาไปผ่อกั๋นก่อ เดียวฮาย่ะเอาสาดไปปู๋โตย
แปลอีกทีว่ะ วันนี้มีลิเกมาแสดงแถวบ้านเรา เราไปดูกันมะ เด๊วกุเอาเสื่อไปปูด้วย
บ๊าย...บาย
นู๋บลิว เซเลอร์มูน ก๋ากั่น