วันพฤหัสบดีที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2551

จับเธอ ฉีดยา !

แค่ก ๆ ช่วงนี้กุไม่สบาย เป็นเพราะอากาศเปลี่ยนบ่อย
ถึงแม้หนังกุจะหนา หน้ากุจะด้านเพียงใด
กุก็ขอเหอะอากาศเปลี่ยนงี้หลาย ๆ ครั้ง
ต่อให้หนังหนาปานหนังแรดแค่ไหน กุก็ไม่สู้หรอก
เย็ดแม่ !
แต่เพื่อนบางคนก็แซวกุจนได้ว่า " แหม มึงไม่สบายกายหรือใจล่ะ "
ไม่มีเหี้ยไรจะถามกุแล้วใช่มั้ย ? มาแซวกุเรื่องนี้ มาฆ่ากุให้ตายห่าไปเลยดีกว่าค่ะ
เจ็บจี๊ด ดั่งทศกัณฑ์โดนทิ่มหัวใจที่แปลงเป็นแมลงภู่ ณ เขาพระสุเมรุ
และตลอดหน้าหนาว กุก็เป็นไข้ป่วงห่านี่ ตั้งกะต้นฤดูกันเลยทีเดียว
อันตัวกุก็มิได้บอบบางเหมือนน้องปอย ตรีชฎา แต่อย่างใด
( กะเทยแม่งยังบอบบางกว่ากุง่ะ กรี๊ดดดด )
เมื่ออากาศหนาวกัดกร่อนร่างกายกุให้แย่แล้ว
กุจึงตัดสินใจก่อนจะสิ้นลมหายใจ
โดยที่ยังมะได้ทำประโยชน์ให้กับชาติบ้านเมือง และผองชนร่วมโลก
( จะลิเกไปไหนล่ะสัด )
ดังนั้น กุแม่งตัดสินใจ พาร่างกันถึก ดั่งควายโกรธ ไปหาหมอ
ไปนั่งรอหมา เอ๊ย ! หมอ ซัก ครึ่งชั่วโมง
นี่ถ้ากุโคม่า กุตายห่าไปตั้งกะวินาทีแรกแระ
ปกติที่คลินิกนี้จะต้องรอหมอ ก็ทั้ง ๆ ที่กุก็รู้ แต่ก็ยังเสือกมา
ดังนั้น หมอไม่ผิด ไม่มีใครผิดเล้ย มองมาที่กุ๊ กุเอ๊ง
กุผิดเอ๊ง ยอมรับอย่างหน้าตาเฉย ( และแอบแสยะยิ้มแรด ๆ นิดนึง )
กุขี้เกียจไปโรงพยาบาล ต้องรอนาน นั่งจนเหน็บแดกตูด
หมอก็คงยังไม่เรียกกุเป็นแน่
จำได้ว่าคลินิกนี้กุเคยมาเมื่อฤดูหนาวปีที่แล้ว โดนฉีดยาไป 3 เข็ม
หาเงินมาได้เท่าไหร่ เอาไปเป็นค่ายาหมด
คุ้มจริง ๆ ควยเอ๊ย
และก็อย่างที่บอก คือรู้ทั้งรู้อยู่แล้วเต็มอก น้อย ๆ ไม่ค่อยมีนม
ว่า ... มันต้องรอนาน แต่มันรู้สึกดีว่ะ ที่กุได้มีโอกาสมาสัมผัสคลินิก
ไม่ต้องนั่งมองหน้าคนไข้ด้วยกันในโรงพยาบาล
ถ้าเป็นปลากัด แม่งท้องกันเต็มโรงพยาบาลแน่ ๆ
ใครร้องโอดร้องโอย กุก็สยิว แม่งจะมาตายต่อหน้ากุมั้ยเนี่ย
ลุ้นแล้วลุ้นอีก
ฉะนั้น การมาคลินิก ถึงแม้จะนั่งรอหมอ แต่กุสบายใจกว่ามาก
ไม่ต้องมองหน้าแล้วท้อง หรือกลัวคนตายผ่านหน้า หรืออะไร
แค่ได้มองหน้าน้องที่ทำบัตรให้ก็พอแระ กุไม่มีปัญหา
( หรือใครจะมีปัญหากับกุ ? )
บรรยากาศตึงเครียด เพราะคลินิคเปิดข่าวการเมือง
กุก็เริ่มหงุดหงิด แม่ง ป่วยก็ป่วย เสือกมาเจอเรื่องการเมืองตอแหลอีก
ยิ่งรู้สึกว่า ความตอแหลในตัวกุจะโดนนักการเมืองแย่งไปหลายต่อหลายครั้ง
ใจกุ สั่นระริก ๆ เยี่ยงสาวแรกรุ่นโดนผู้ชายจีบ
กลัวว่าความตอแหลที่กุได้ดูในทีวี
จะทำลายต่อมตอแหลภายในตัวกุให้แตกซ่าน
รอคุณหมอ ก็ยังไม่มา กุก็เริ่มเบื่อกับทีวี ( ก็แม่งตอแหล อะ )
มองหน้าน้องคนนั้น สลับกับการมองน้ำไหลนอกกระจกหน้าคลินิก
ใจก็ปั่นป่วน แต่ก็ไม่ได้หน้าหงิกเหมือนปวดขี้ ขี้ไม่ออก ป่วย
ทำไงดี
หันรีหันขวาง หมอทำไมช้าจังวะ
คิดในใจแล้วว่า ถ้ากุตายนะ กุจามาหลอกหมอ ฝันไปเหอะว่ากุจะเอาเลขมาให้
กุจาบอกเลขผิด ๆ ให้โดนแดกแม่งเยย งิงิ ซาหนุกจางเรย
เมื่อน้องคนนั้นเห็นกุป่วง ๆ น้องจึงนำเครื่องมือวัดความดวยหัวคัน
เอ๊ย ! เครื่องมือวัดความดัน มาวัดให้ อุ๊ย กุปกติง่ะ
แต่แอบมีไข้ อ๊ะ ไม่ได้แอบนี่ กุเป็นไข้จริง ๆ
( ทำเป็นใช้คำว่าแอบ จะได้ดูว่ากุแอ๊บแบ๊ว เป็นวัยรุ่น )
เค้าเริดมาก ส่วนใหญ่เห็นเป็นปรอทให้อมใต้ลิ้น
แต่คลินิคนี้เป็นแถบเหี้ยไรวะ คล้าย ๆ แม่มึง เอ๊ย แม่เหล็กง่ะ
กุก็ไม่รู้จัก เพราะยังไม่เคยมีผัวเป็นหมอ
ไว้มีผัวเป็นหมอกุค่อยมาเขียนเฉลยแล้วกันว่ามันคืออะไร
พอเอาอีแถบนี่ออก ก็เสือกรู้เลยว่า " พี่มีไข้นะคะ "
อีน้อง หรืออีพี่คนนี้แม่งรู้ได้ไงว่า
น้ำหน้าอย่างกุ จะเป็นพี่เมิง เอ๊ะอินี่ ตบกับกุมั้ย
น่าจะเรียกกุว่าน้องสิ น้องน่ะ กุหน้าแก่กว่ามึงยังไง
ก็ควรเรียกกุว่าน้อง !!!
อินี่ไม่มีหัวในเรื่องการตลาดเลย คนโดนเรียกพี่จิตใจก็ยิ่งป่วงไปใหญ่
ไม่มีสมอง !
( กุว่าตัวกุนี่แหละ งี่เง่าไร้สมองกว่าเค้า ฮ่าๆ )
พอคุณหมอมา กุก็เข้าไปตรวจ
คุณหมอให้กุอ้าขา อ๊ะ มะช่าย !
อ้าปาก เพราะกุบอกว่า
" เจ็บคอค่ะ "
พออ้าปาก ยังไม่ทันได้อ้ากว้าง ๆ เลย
แม่งหยั่งรู้ได้ไงวะว่าคอกุอักเสบ หมอเก่งว่ะ
อ้าปากนิดเดียว รู้ไปถึงไส้ติ่งกุเยย
แล้วก็บอกกุว่า
" นอนตะแคงค่ะ "
แว้กกกกกกกกกกกกกกก
กุจะโดนฉีดยาเหรอ กุเป็นอันงุงงงอย่างแรง
ไม่ได้กลัวฉีดยานะ แต่กุมาหาหมอคลินิกนี้ทีไร
กุต้องเป็นโดนฉีดยาทุกที
ใจกุน่ะอยากฉีดให้มันหาย ๆ แต่พี่ที่ออฟฟิศดันเตือนกุมาก่อนว่า
" การฉีดยาไม่ใช่เรื่องดีนะบลิว มันเป็นเรื่องที่อันตรายมาก ไม่ค่อยมีใครฉีดหรอก "
อ่าว เวรแล้ว หมอเค้าเห็นกุเป็นอมตะหรือเยี่ยงไร ?
จึงมิได้เกรงกลัวว่ากุจะตายหรือกลายเป็นอีผีบ้าอะไรเลย
เอ่อ ... คุณหมอคะ เวลาที่คุณหมอจิ้มเข็มมาน่ะค่ะ
กรุณาเอาตามามองกุด้วย
ชิบหาย
คิดจะทิ่มแม่งก็ทิ่ม นี่เนื้อกุนะ ฉีดยาดี ๆ แม่งฉีดเป็นมั้ย ?
คือหัดเอาลูกกะตา เหลือบมามองกุซักนิดก็ยังดีค่ะ
อย่าได้เหลือบตาไปมองซองยา แล้วใช้แขนข้างขวาจิ้มเข็มลงมา
กุเจ็บ !!!
จากนั้น คุณหมอก็บอกกุว่า
" นู๋ควรแดกยาด้วยนะคะ ไว้มาในวันที่หมอนัดนู๋อีก 3 วันค่ะ มาตรวจซ้ำอีกที "
พอกันทีค่ะคุณหมอ แค่ครั้งนี้ ค่ายากุก็บานเบอะแล้ว
ให้กุมาอีก 3 วัน กุยอมนอนซม หรือไม่ก็นอนตายคาห้องจะดีกว่า
หมอให้นู๋จ่ายค่ายาขนาดนี้ มันก็ไม่ต่างอะไรกับที่หนูตายหรอกค่ะ
เงินกุก็หมด หาเงินมา ก็จ่ายค่ายา เอาสิ หน้าหนาวเป็นอะไรที่กุไม่ได้ใช้เงินเลย
เงินน้อย ก็เสือกไม่ได้ใช้ ดันได้มาแดกยาแทนข้าว มันคุ้มมั้ยเนี่ย ?
นี่ขนาดกุเห็นซองยาว่ามีพาราเซตามอลแล้วนะ
กุยังบอกอีน้องนั่นเลยว่า
" เอ่อ พาราฯ ที่ห้องพี่มีเพียบเลยค่ะ ไม่ต้องก็ได้ "
กุก็คิดว่าจะลดให้กุบ้าง เพราะค่ายาไม่น่าจะแพงห่าไรขนาดนี้
" พี่ไม่เอาพาราฯ ใช่มั้ยคะ ? "
อีน้องคนนั้นยังคงถามกุซ้ำอีกรอบ
อาจเป็นเพราะเมื่อกี๊ไม่ชัวร์เพราะน้องมีขี้หูเยอะไป ทำให้ไม่ค่อยได้ยิน
ไม่เป็นไร กุให้อภัย
กุก็เลยยิ้มหวาน ๆ ( คิดว่าหวานนะ เอ๊ะ รึเปล่า ??? ) ให้อีน้องไป
แล้วก็รีบพูดโดยมิกลัวลิ้นจะพันกัน
เพราะกลัวเสียเงิน พูดอย่างเต็มภาคภูมิและมั่นใจว่า
" ไม่ค่ะ บ้านพี่มีเป็นขวด ๆ เลยค่ะ ซื้อเก็บไว้ตลอด "
" ทั้งหมด 590 บาท ค่ะ "
อีเย็ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด
นี่แหละ ทำให้กุถึงกับหน้าชา เยี่ยงโดนตีนเหยียบหน้ากันเลยทีเดียว
อืม นี่กุไม่เอาพาราฯ นะคะเนี่ย ยังเก็บขนาดนี้
ถ้ากุเอาพาราฯ ด้วย กุไม่หมดเป็นพันเลยเหรอคะ
เมื่อได้ยามาแล้ว กุจึงคิดต่ออีกว่า ถ้าคราวนี้กุยังไม่หาย
กุก็ไม่มาตรวจซ้ำเป็นแน่ ไม่มีเงิน
พ่อแม่กุก็คงเป็นห่วง ถ้ากุไม่มีเงิน ก็คงโทรหาพ่อแม่ให้อุปถัมภ์กุได้บ้าง
แต่กุไม่เอาแล้ว คิดว่าเลี้ยงไข้กุเปล่าว้า
เริ่มจะไม่แน่ใจ
แต่ไม่เป็นไร กุก็ยังคงดูแลตัวเองอยู่
( แต่ยังรับสมัครคนดูแลนะ เผื่อกุไม่ว่างดูแลตัวเองน่ะ งิงิ )
อาการของกุตอนนี้ ก็ทรงตัว อาจตายพรุ่งนี้ มะรืนนี้ ก็ไม่ทราบได้
แต่ไม่เป็นไร กุก็ทำประโยชน์เพื่อสาธารณะมามากแล้ว
( แต่ก็กลัวตายง่ะ แง้ ๆ )
เอาวะ อย่างไรก็ดี กุก็จะพักผ่อนเยอะ ๆ
เพื่อคุณพ่อคุณแม่ และผู้มีอุปการะคุณทุกท่าน ของกุ
จะได้ไม่ต้องเป็นห่วงมาก ( จริง ๆ กุชอบมากเลยที่มีคนห่วง ฮ่า ๆ ๆ )
ขอให้ทุกท่านเป็นกำลังใจให้กุฟันฝ่าอีเหี้ยไข้จังไร นี่ไปให้ได้นะคะ
กุจะอดทนต่อไป จะจามจะไอ มึงก็มาเลย
กุเตรียมพร้อม ถ้าแม่งจะตายจริง ๆ คงโทรเรียกเพื่อนให้มาช่วย
เพื่อนกุเคยเข้ามาเยี่ยมครั้งนึง แล้วพูดขึ้นมาอย่างอารมณ์ดีว่า
" วัดพร้อม เมรุพร้อม เหลือแต่ศพมึง "
รักกุมากเหลือเกิน อีเพื่อนเหี้ย
กุขอขอบใจ อย่างน้อย ถึงศพกุยังไม่พร้อม เค้าก็เผาคนอื่นก่อนได้ กุไม่รีบ
กลัวโดนเผาแล้วร้อน กลัวไม่เหลือใคร ไม่อยากอยู่คนเดียว
เอาล่ะ ได้เวลาพักผ่อนกุแระ จริง ๆ เลยเวลานานแล้ว
... ง่วงนอน ไม่รีบนอน เด๊วไม่หายไข้ ต้องทำตัวเป็นคุณหนูอนามัยซะหน่อย ...
แต่แหม ... ไม่ค่อยได้อัพบล็อกที่รักของกุมาแสนนานแล้ว
ถ้าหากมีหยากไย่ขึ้นได้ ก็คงขึ้นจนกลายเป็นบล็อกแห่งตำนานแล้วกระมัง
ขอให้บล็อกยังอยู่คู่ชาติไทย เอย ( เอย ทำไม ? ไม่ได้เขียนกลอน เอ๊ะ กุก็บ้า )

ภาษาเหนือวันละคำวันนี้ คำว่า ซะป๊ะ อ่านว่า ซะ - ป๊ะ แปลว่า มากมาย , มีเพียบ , เยอะแยะ
แต่งประโยค วันนี้ไปเดินแอ่วตี้กาดสวนแก้ว มีของลดราคาซะป๊ะ เช่น เตี่ยวใน เสื้อใน
แปลอีกทีว่ะ วันนี้ไปเดินเที่ยวที่กาดสวนแก้วมา มีแต่ของลดราคาเพียบเลย
เช่น กางเกงใน เสื้อใน
บ๊าย ... บาย
นู๋บลิว เซเลอร์มูน ก๋ากั่น
ป.ล รักส้วมของกุเหมือนเดิม และจะไม่หมดไปจากเดิม
ถ้ากุไม่อัลไซเมอร์ซะก่อนอะนะ

วันพฤหัสบดีที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2551

ส้วมเต็ม ... สูบครั้งที่ 4

โอ๊ะ ! ไม่ทันไร ส้วมสีชมพูของกุก็เต็มอีกแว้วเหยอ ?
แล้วกุก็ยังทุเรศเหมือนเดิม ทำเหมือนทองไม่รู้ร้อน
ในการมา อวยพรวันเกิดบล็อกของกุเรย
( ช่างเป็นเจ้าของที่เหี้ยมาก )
4 ปี แล้วสินะ ที่กุได้มาทำตัวปั้นจิ้มปั้นเจ๋อในนี้
ขอขอบใจมาก ที่ยังมีโอกาสได้เข้ามาอ่านบล็อกตัวเองอยู่เป็นนิจ
อ่านแม่งอย่างเดียว ไม่ค่อยอัพ ไม่มีอารมณ์เขียน
ไม่เป็นตัวของตัวเอง
ไม่รู้สึกรู้สมกับห่าอะไรซักอย่าง
แค่เข้ามาอวยพรวันเกิดบล็อกตัวเอง
ก็ยังผลัดวันประกันพรุ่ง ตลอดเวลา
สันดานจริง ๆ
ไงก็ ขอให้บล็อกสีชมพูของกุ อยู่คู่กับชีวิตของกุไปเรยนะ
หากกุได้มีผัว ได้แต่งงาน มีลูก มีหลาน
กุก็อยากให้คนในตระกูลได้รับรู้ประวัติศาสตร์
ไม่ต้องมีฝรั่งมาบันทึก จดหมายเหตุ กุบันทึกเอง แม่งเลย คนไทย ใจสู้
เพราะคงไม่มีใครกระแดะมารู้ชีวิตกุ เท่าตัวกุอีกแระ
เกิดอะไรขึ้นในชีวิตกุบ้าง กุก็เขียน เขียน เขียน อย่างเมามันส์
ตามด้วย อารมณ์ สุดวิปริต จิตป่วน
ก็ไม่รู้แหละ อารมณ์ไหน ที่กุอยากเขียน กุก็จะเขียน
คนอย่างกุ ทำไรตามอารมณ์อยู่แล้ว
( และมึงก็จะซวยเพราะอารมณ์ขึ้น ๆ ลง ๆ ของมึงบ่อย ๆ อะนะ )
จริง ๆ มีเหตุการณ์หลายอย่างที่อยากบันทึก แต่นึกในใจ
ไม่ได้กลั่น ออกมาเป็นลายลักษณ์อักษร เท่าไหร่
บัดนี้ น่าจะเป็นเวลาอันสมควย เอ๊ย สมน้ำหน้า เอ๊ย สมควร แล้ว
( เอาฤกษ์ เอาชัย มาจากไหนวะ ? )
สนุกดีว่ะ ได้เข้ามาอ่านเรื่องเก่า ๆ หรือไม่ก็เรื่องสมัยสาว ๆ ของตัวเอง
บางทีก็รู้สึก เอ๊ะ ทำไมกุเขียนแบบนี้วะ ?
เอ๊ะ ทำไมกุต้องหัวเราะกับเรื่องนี้ด้วยวะ ?
หลากหลายอารมณ์มาก ๆ อ่านบล็อกตัวเองบ่อย ๆ
อาจทำให้กุได้เข้าไปหาคุณหมอเพื่อขอยาระงับประสาท ก็เป็นได้
อันเนื่องมาจาก สติ ไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
เด๊วหัวเราะ เด๊วร้องไห้
การได้มีชีวิต เกิดมาเป็นคน มันทำให้กุได้เห็น
ได้พบ ได้เจอ อะไรเยอะแยะเลย
ได้คิด ได้ทบทวน อะไรมากมาย
และบล็อก ก็ยังมีประโยชน์สำหรับกุเสมอ
กุขอขอบใจอีกครั้ง ที่บล็อกนี้ ยังเป็นของกุอยู่
( แม่งยึดติดชิบหาย )
ตัวกุ ของกุ ( ของพ่อแม่กุ ) และบล็อกก็ยังเป็นของกุอยู่
เมื่อสิ่งใด มันเกิดมาเป็นของเรา มันก็จะเป็นของเราต่อไป
กุมีอัตตา ในบางครั้ง และบางครั้ง ก็ปราศจากอัตตา โดยสิ้นเชิง
เอ่า เวร เขียนเหี้ยไรล่ะเนี่ย ปรัชญา มาเชียว
ไม่เหมาะกับกุอย่างยิ่ง
กุอยากจะรู้เหลือเกินว่า บรรพบุรุษ หรือทายาท ของกุ ในแต่ละรุ่น
จะภูมิใจมั้ยวะ ที่มีกุอยู่ร่วมสายเลือด
แต่กุก็มั่นใจว่า เหล่าบรรดา ผู้ร่วมสายเลือด
ควรดีใจที่มีกุอยู่ร่วม เจนเนอร์เรชัน
ไม่รู้แหละ กุไม่สน โฮะ ๆ ๆ ๆ ๆ
ใครจะมาห้ามให้กุทำอะไรที่ไม่ใช่กุไม่ได้
ดังนั้น กุก็ภูมิใจในความเป็นกุ
นี่กุมาอวยพรบล็อกข้ามชาติกันเลยทีเดียว
แม่ง ครอบรอบ 4 ขวบ ตั้งกะ เดือนพฤศจิกายน
เสือกมาอวยพร เอาตอน เดือนธันวาคม เวรจริง ๆ
แต่ไม่เป็นไรค่ะ ( กุก็พูดงี้แม่งทุกปี )
อย่างไรก็ดี กุก็มาแล้ว และคงไม่ลืมบล็อกของกุ
อ้อ ... สิ่งที่ลืมไม่ได้เลย
คือ ต้องขอกล่าวถึงสถาบันการศึกษาต่าง ๆ
หรือบรรดาเพื่อน ๆ หรือใครก็ตามเหอะ
ที่กุได้กล่าวถึง ลงในบล็อก จะตั้งใจ หรือเพราะอารมณ์พาไป
หรืออะไรก็ตาม
ทุกสิ่งทุกอย่างที่กุได้เอ่ยถึง โดยไม่ได้เซ็นเซอร์
เป็นเพราะกุคิดว่า กุอยากมีประวัติศาสตร์เป็นของตัวเอง
กุไม่ผิดอะไร เพียงแค่ถ่อยเฉย ๆ
แต่เป็นนักเรียน และนักศึกษา และบุคคลที่ดีคนหนึ่ง
( ใครจะทำไม ก็กุว่ากุเป็นคนดีอะค่ะ )
อย่างน้อย กุก็ไม่ได้ขายยาบ้า ไม่ได้ฆ่าคน
ไม่เอาผัวคนอื่น
( ถ้าไม่รู้มาก่อน ถือว่าไม่ผิด แต่ไอ่เหี้ยนั่นผิด )
ฉะนั้น แค่กุพูดหยาบคาย หรือแสดงความเป็นตัวตนมากนัก
แล้วมีคนบังเอิญมาเจอ หรืออะไรก็ตาม
เปิดใจให้กว้าง ยอมรับกับมัน ( เพราะเปิดมาเจอเองนี่ )
รับไม่ได้ก็ปิดไป ไม่ว่ากัน กุก็ไม่ได้บังคับใครให้มาอ่านนี่เนอะ
อย่างน้อย หากคิดในมุมอีกมุมหนึ่ง
อาจจะได้รู้ว่า จริง ๆ แล้ว จะมีซักกี่คน ที่ได้บันทึกเรื่องส่วนตัว
ให้ใครก็ไม่รู้มาอ่าน และอีนี่ ก็เข้ามาอ่านของตัวเองตลอดเวลา
ภูมิใจจะดีกว่า คนเหี้ยกว่านี้ มีอีกเยอะมาก
โกงกินบ้านเมือง ตำรวจยังไม่จับเลย
อย่ามาเอาอะไรกับอึ่งอ่างเยี่ยงกุเลย
ขอบคุณบล็อกสีชมพู อีกครั้งนะคะ
ไม่มีมึงนี่ กุก็ไม่รู้จะระบายที่ไหนอีก
แบบว่า คิดเยอะ แต่ขี้เกียจเขียน แต่ก็ไม่อยากให้สิ่งที่คิดหายไป
อีกแระ กุว่าจาไม่เขียนเยอะแล้วนะ แล้วนี่อะไรเนี่ย
บ่นเยอะมาก ช่างแม่งเหอะ ก็กุเป็นอย่างงี้อะนะ
งิงิ
เอาล่ะ แล้วกุจะเข้ามาเขียนบ่อย ๆ ถ้ากุมีอารมณ์
และไม่เป็นไข้เหมือนทุกวันนี้
และคงได้เข้ามาอ่านบล็อกตัวเองซ้ำ ๆ อีกเรื่อย ๆ เหมือนที่เคยทำ
ยังคงมี หยดน้ำตา เสียงหัวเราะ และความคิดอีกมุมหนึ่ง
อยู่ในบล็อกกุเหมือนเดิม
เวลากุอวยพรให้คนอื่น ชอบลงท้ายด้วยคำว่า " คุณพระคุ้มครองค่ะ "
แต่อวยพรให้บล็อก กุจาบอกว่าไงดีวะ ?
( อ่าว ที่พล่ามมานี่ยังไม่ได้อวยพรเหรอ ? )
เอางี้แล้วกัน
" กุขอให้บล็อกมีความสุขกับเรื่องของกุมาก ๆ
กุขอให้ตัวกุกลับมาอ่าน
แล้วมีความสุขกับการได้อ่านเรื่องตัวเองมาก ๆ เช่นเดียวกัน
ขอบคุณที่เป็นเพื่อนกุ ขอบคุณที่ทำให้กุมีพื้นที่ได้ปลดปล่อยตัวเอง
( เอ๊ะ กุเป็นวิญญาณห่าอะไรที่ไหน ? )
เอาเถอะ ไงก็รักบล็อกสีชมพูของกุมาก ๆ
ขอให้อยู่อย่างงี้ไปตลอดเลยนะ อย่าหายไปไหน อย่าล่ม อย่าเจ๊ง
รักนะจ๊ะ จุ๊บ ๆ "
กุขอโทษที่อวยพรช้า แต่หาใช่กุมิใส่ใจไม่
บอกแล้ว แม่งเขียนตามอารมณ์
แล้วกุจะกลับมาถ่อยอีก งิงิ
ภาษาเหนือวันละคำวันนี้ คำว่า กะเบ้อ อ่านว่า กะ - เบ้อ แปลว่า ผีเสื้อ
แต่งประโยค กรี๊ดดดดด ผ่อหั้นเลาะ กะเบ้อตั๋วใหญ่ขนาด บ่เกยป๊ะเลย ถ่ายฮูปเร้วว
แปลอีกทีว่ะ กรี๊ดดดดด ดูนั่นสิ ผีเสื้อตัวใหญ่มากเลย ไม่เคยพบเคยเจอ ถ่ายรูปเร้วว
บ๊าย...บาย
นู๋บลิว เซเลอร์มูน ก๋ากั่น

วันจันทร์ที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

มึงเป็นไรมากป้ะ ?

กุมาทำงานที่เชียงใหม่ได้ครึ่งปีแระมั้ง
มาตั้งแต่ปลายฝนต้นหนาวเลยทีเดียว
กุดีใจมากๆที่ฝนตกแต่กุก็เสือกช้ำใจอีกมากๆเช่นกัน
เพราะฝนตกไม่เท่าไหร่อากาศหนาวแม่งเสือกเข้ามาแทนที่
เซ็งสัด !
กุเป็นคนที่เกลียดหน้าหนาวสุดๆ เกลียดพอๆกับอีอากาศร้อนๆห่าลากนั่นด้วย
ฤดูทั้งสองฤดูนี้ ทำกุหงุดหงิดมากๆ ร้อนเกินไปก็หงุดหงิดจิตตก
ยิ่งหนาวล่ะก็ หงุดหงิดจิตตกไม่แพ้กัน
ตอนแรกกุคิดว่าเชียงใหม่จะมีอาหารที่เร้าใจ
แต่สุดท้าย กุคิดว่าพิดโลก ยังดูมีอะไรน่ากินกว่านี้อีก
( แล้วมึงไม่ไปทำงานพิดโลกล่ะ ? )
และแล้วสายตากุก็เหลือบไปเห็นร้านส้มตำ กุคิดได้ว่า
เอาวะ แดกส้มตำดีกว่ากุเดินดุ่ม ๆ ผ่านหน้าร้านส้มตำแล้วชายตามองดูว่า
เอ ... วันนี้จะแดกของร้านไหนดีหว่า หาร้านที่น่ากิน ๆ
ดูแล้วรู้สึกว่า มันน่าจะตำได้อร่อยเหาะ
กุจึงมาหยุดอยู่ที่ร้านส้มตำร้านหนึ่ง กุบอกอิเจ้นี่ว่า
( ณ บัดนาว กุใส่ภาษาเหนือล้วนๆ กุไม่แคร์ว่า
คนที่กุพูดด้วยพูดภาษากลางหรือไม่กุพูดเหนือตลอด )
กุ : พี่คะ เอาส้มตำปูไทย ค่ะ เอ่อ ... เอาเป็นแบบว่าใช้มะม่วงตำแทนได้มั้ยคะ ?
เอาแบบตำแทนมะละกอน่ะค่ะแต่ตำแบบปูไทย ไม่ใช่ตำเหมือนตำมะม่วงน่ะ ?
( คือกุกำลังอธิบายประมาณว่า ไม่ใช่ตำใส่ปลาแห้งอะไรนั่น
เหมือนตำแบบเอาเส้นมะม่วงแทนมะละกอ
กุจะเอารสชาติที่ใส่เครื่องเหมือนมะละกอ )
อิเจ้ : ก็อะไรล่ะ ตำแบบไหนล่ะ
กุ : เอ่อ ... ก็เอาเส้นมะม่วงใส่แทนมะละกอไง
อิเจ้ : ใส่ปลาแห้งนั่นไง
กุ : เอ่อ ไม่ใช่ค่ะ ที่ไม่ต้องใส่ปลาแห้งไงคะ ที่เอาเส้นมะละกอใส่แทน ไง
แต่ทำเหมือนตำปูไทย
ฯลฯ
กุอธิบายอยู่นานมาก แล้วอีเหี้ยนี่ก็ไม่ได้พูดดี ๆ กับกุนะ
เอ๊ะ อีสัด กุไปฆ่าพ่อมึงเหรอ ?
หรือกุเคยไปเป็นชู้กับผัวมึง ?
อ๊ะ หรือกุกะลังใช้ตุดสั่งส้มตำแทนปาก ?
อะไรยังไง
บ้าป้ะเนี่ย คุยกับกุดี ๆ ก็ได้ กุเป็นลูกค้ามึงนะ เอาเงินมาแลกกับส้มตำดี ๆ ซักถุง
มึงตั้งร้านไว้ทำไม ไปเป็นฝ่ายเร่งรัดหนี้สินดีมั้ย ?
หน้าตาอย่างกะส้นตีน
กุก็เอ๊า หน้าตาไม่ได้บ่งบอกถึงหัวใจกุพยายามคิดเช่นนี้
ไม่มองคนที่หน้าตา แต่อิเจ้นี่ไม่ไหวจริงๆค่ะพี่น้อง
หน้าตาหงิกเป็นส้นตีนแล้ว ยังสันดานถ่อยมาอีก
กุว่ากุถ่อยแล้วนะ !!!
พออธิบายจนอีเจ้เก็ทแล้ว มันก็บอกว่า
อิเจ้ : ( หันหน้าไปคุยกับเพื่อนมันที่นั่งข้างๆ )
โอ๊ย ก็แค่เนี้ยะ ก็แค่บอกว่า ตำเป็นมะละกอ
แค่เอาเส้นมะม่วงใส่
อ่าวอีหน้าส้นตีน กุบอกมึงแล้วนี่ มะกี๊น่ะ ตั้งใจฟังกุบ้างมั้ย
แล้วเหี้ยอะไร หันไปนินทากุต่อหน้าต่อตา กับเพื่อนแม่ง
แล้วก็ทำเป็นเชิด ๆ ใส่กุ
ตอนนั้น ถ้ากุไม่มีสมบัติผู้ดีแล้วล่ะก็ กุคงด่า แล้วเดินเชิ่ดหนีไปแระ
จากนั้นแม่งก็ตำ ๆ ๆ ๆ ๆ ให้กุ กุก็เริ่มสังเกตแระ
อ่าวๆ นั่นมันอะไร นั่นมันขวดน้ำปลาร้านิ
กุไม่ได้กระแดะนะ แต่กุสั่งตำปูไทย ไป 2 รอบ
กลัวแม่งไม่ได้ยิน
อ่าวเฮ้ย !!!
กุ : พี่คะ ๆ มะกี้นี้ใส่อะไรเหรอ ? ถ้าเป็นน้ำปลาร้า ไม่เอานะคะ
ไม่ได้สั่ง นู๋สั่ง ตำปูไทยค่ะ
อิเจ้ : อ้าว ก็สั่งปูปลาร้าไม่ใช่เหรอ
กุ : ( มองหน้าอีสัดนั่น ทำหน้ายิ้มเล็กน้อย ตามแบบคนเหนือที่เป็นคนอ่อนหวาน
แต่ในใจ กุอยากปรี่เข้าไปตบ ถ้ามันล้ม กุจะเอาตีนบี้หนังหน้ามัน ! )
หนูไม่ได้สั่งค่ะ มะกี้หนูบอกพี่ว่า เอาตำปูไทย สั่งไปตั้ง 2 ครั้งค่ะ
( กุยังยืนยันคำเดิม เพื่อศักดิ์ศรีของกุเอง )
อิเจ้ : ( ทำหน้าไม่พอใจ ราวกับว่า ผัวบอกเลิก
พร้อมกับยกทัพพีที่ตักเส้นมะละกอที่เปียกโชกด้วยน้ำปลาร้าขึ้นมา )
เอ้า ! แล้วแบบนี้จะทำไงเนี่ย
( หันหน้ามามองกุอีกรอบ เหมือนยัดเยียดว่า
มึงคงต้องแดกครกนี้แล้วล่ะ เพราะกุตำไปแว้ววว )
กุ : หนูไม่เอาค่ะ ไม่ได้สั่ง
( น้ำเสียงเริ่มเข้มกว่าเดิมนิดหน่อย
เพราะตอนแรกกระแดะทำเสียงหวาน ปานน้ำผึ้ง )
อิเจ้ : โอ๊ย เสียดายครกนี้
สันดาน ! มึงไม่แดกเองล่ะ กุไม่ได้สั่ง
กุคิดไว้ในใจแล้วว่า ต่อไปนี้ กุจะไม่ยอมอะไรง่ายๆอีกแล้ว
เมื่อก่อนกุโดนสอนว่า ต้องไม่เรื่องมาก ไม่ต้องไปต่อปากต่อคำ
อะไรที่โอนอ่อนได้ก็ทำไปแต่ตอนนี้มันไม่เหมือนเดิมแล้ว
นับวัน สังคมเราเริ่มจะเอาเปรียบกันมากขึ้น
อย่างเช่นกรณีอีเจ้ผัวไม่ล่อ คนนี้
จากนั้นกุจึงยืนรอแม่งตำให้กุจนเสร็จ สุดท้าย ก็โอเค
กุก็ได้ส้มตำปูไทย สมใจกุ
แต่ถ้าเป็นคนอื่น อาจจะเดินหนี แล้วก็ไม่ยอมจ่ายเงินก็ได้
แต่กุก็ไม่ทำแฮะ แปลกใจตัวเองเหมือนกัน แต่ยังคงยืนยันว่าจะเอาให้ได้
แต่ถ้าแม่งด่ากุ กุก็คงด่ากลับไปเหมือนกัน กุก็ว่า ตอนไปยืนสั่ง
กุก็ทำหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส ให้รู้กันว่า คนหน้าตาจิก ๆ เยี่ยงกุ
ก็เป็นคนมีมนุษยสัมพันธ์
กุจะไม่บอกเพื่อทำลายชื่อเสียงของร้านส้มตำมันหรอกว่า
ชื่อร้าน " ส้มตำครกเงิน "
บังเอิญ กุไม่อยากให้ใครที่เข้ามาอ่าน แล้วจะอคติง่ะ
ต้องพิสูจน์ด้วยตัวเอง เอ่อ ... กุไม่อยากบอกสถานที่ตั้งหรอกว่า
ร้านมันจะอยู่เยื้องกับ " กาดต้นพยอม " อ้ะนะ
กุกลัวบอกไปแล้วทำลายชื่อเสียงไงกุเป็นคนนิสัยอย่างงั้นเหรอ ?
งิงิ
ใครไม่เชื่อต้องลองไปดูหนังหน้าของมันได้
อ๊ะๆ แต่กันเป็นโรค ต้องสวมใส่เสื้อเกราะ กันมันพ่นพิษใส่
และควรใส่แว่นตากันรังสีด้วย เพราะอินี่ มันมีของ ของเค้าแรงจริง ๆ
เผื่อสบตาไปแล้ว อาจตายได้ เด๊วแม่งจิก ๆ
กร๊ากกกกก
นับแต่วันนั้น อิเจ้เหี้ยนี่ ก็ไม่เคยได้รับเงินจากกุอีกเลย
กุเดินผ่านไป ก็เห็นมันหน้าหงิกเป็นส้นตีนกับลูกค้าเช่นเคย
ลูกค้าที่ยืนซื้อก็ไม่ค่อยมี ( เท่าที่กุเดินผ่านไปเห็นอ้ะนะ )
เสนียดมาก ๆ ไม่อยากจะเดินผ่านแม่งเลยจริง ๆ
กลัวหน้าหงิก ๆ นั่น จะติดแล้วซึมเข้าผิวหนัง
จากนั้นก็เข้าสู่กระแสเลือด กลัว ๆ ไม่เอา ไม่สวย
ฮรี่ ๆ ๆ ๆ
จะขายเหี้ยไรก็ขายไป แต่อย่าทำหน้าหงิก กุไม่ชอบ
คนจะซื้อไปแดกอย่างมีความสุข
เจอขี้หน้าเหี้ย ๆ ปากก็เหี้ย อย่างนี้ จะแดกลงมั้ย ?
ไอ่ที่ซื้อไปมันจะอร่อยป้ะ
กุบอกแล้ว กุไม่ยอม !!!
แล้ววันนั้น กุก็แดกส้มตำได้รสชาติสุดเฝื่อน
ไม่แน่ใจว่ามันตำไม่อร่อย หรือเพราะอคติที่กุใส่ลงไปผสมกับรสชาติส้มตำกันแน่
แต่ที่แน่ ๆ กุเอาไปโพนทะนา หมดแล้วว่า
ร้านเนี้ยะ อย่าไปแดก เจ้าของเป็นหมา ดุชิบหาย
เดินผ่านก็ต้องระวังกลัวผิวหนังเสื่อม แบบว่าน้ำลายจะกระเด็นมาโดน
ตอนที่แม่งพูดกับลุกค้าคนอื่น
ไม่แน่ใจว่าเป็นน้ำลายหรือน้ำกรดกันแน่
จริง ๆ ร้านน่ะไม่เหี้ยทะไหร่ ดูน่ากิน มั่กๆ
แต่อีคนขาย เหี้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย
เรื่องนี้สอนให้ทุกคนได้รู้ว่า มึงไม่รู้ซะแล้วว่ากุคือเจ้าของบล็อกถ่อย
"ภาษาเหนือวันละคำวันนี้ คำว่า เวิ่นเว้อ อ่านว่า เวิ่น - เว้อ
แปลว่า ไร้สาระ , เบลอ ๆ , งง ๆ , สุดฤทธิ์กันไป
( ศัพท์วัยรุ่นที่อุบัติขึ้นใหม่ เริ่มต้นในเชียงใหม่
และได้แพร่หลายไปยังอีกหลายจังหวัด )
แต่งประโยค ตะคืนกุง่อมไบ้ง่อมง่าว กึ้ดนัก เครียด เวิ่นเว้ขนาด
แปลอีกทีว่ะ เมื่อคืนกุเหงาโคตรๆ คิดมาก เครียด ไร้สาระมาก ๆ
บ๊าย...บาย
นู๋บลิว เซเลอร์มูน ก๋ากั่น
ป.ล. จริง ๆ กุคิดว่า การทำดี ไม่ได้มีส่วนช่วยให้ใครรักเราหรอก
มันจะรักหรือไม่รัก อยู่ที่จิตใจมัน ไม่ใช่ที่เราทำดี กุพิสูจน์มาแล้ว !!!