วันพฤหัสบดีที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2553

ซาลาเปาเจ้าน้ำตา

เมื่อ ปี สองปี ที่แล้ว กุทำงานที่เชียงใหม่
ในช่วงกลาง ๆ ของชีวิตที่เริ่มต้นทำงาน
กุไปเจอน้องคนนึงระหว่างที่กุทำงาน 
น้องคนนี้ทำงานอยู่กับองค์กรหนึ่ง



กุเห็นน้องเค้าเล่าว่ามีคนไทใหญ่กับคนพม่ามาเรียนภาษาไทยด้วย
กุก็เอ๊ะ ! น่าสนใจแฮะ กุบอกน้องว่า
ถ้ากุไปเป็นอาสาสมัครเป็นครูสอนภาษาไทยจะได้มั้ย
น้องแม่งก็บอกกับกุว่า ... ได้ แต่ไม่มีเงินให้
อะฮ้า ... ไม่เป็นไรค่ะคุณน้อง กุไปได้
กุคิดว่า เอาล่ะ ... กุเริ่มมองเห็นแล้วว่า

ณ ตอนนี้ ชีวิตกุต้องการอะไร

มันรู้สึกอิ่มใจอย่างบอกไม่ถูก การทำงานของกุมันช่างมีอะไรต่อมิอะไร
มาทำให้ปวดกบาลอยู่ไม่น้อย เครียดทางใจ
ห่าเหวอะไรมากมายกว่าเรื่องงาน
ดังนั้น สิ่งนี้คงเปิดโลกใหม่ทางใจให้กับกุไม่มากก็น้อย แน่ ๆ
อันตัวกุ ก็มิได้มีความรู้เหี้ยอะไรเลย แต่อาศัยว่าเป็นภาษาไทยพื้นฐาน
และเคยฝึกสอนวิชาภาษาไทยอยู่นิดหน่อย สมัยเรียนป.ตรี
เอาล่ะ ... ไม่มีคนรู้หรอกว่า กุเป็นใคร จบอะไรมา
ขอแค่มาสอนให้ตรงกับที่เค้าอยากเรียน
... นั่นก็เพียงพอแล้ว ...
พอกุได้ไปคุยกับครูใหญ่ ( ซึ่งเป็นคนไทใหญ่ )
กุก็พอจะรู้คร่าว ๆ ว่าต้องสอนอะไรบ้าง
กุจึงต้องเตรียมตัวก่อนสอนว่า ภาษาไทยขั้นพื้นฐานสำหรับชาวต่างชาติ
ต่างภาษา ต้องเริ่มที่ตรงไหน
บางคนยังพูดภาษาไทยไม่เป็นเลยด้วยซ้ำ

ตายห่าล่ะ ... แล้วเค้าเรียนกันถึงไหน อะไรยังไงแล้ววะเนี่ย !
กุร้อนรนมาก งานที่ทำในชีวิตประจำวัน ก็ทำ
และกุก็ไปเป็นครูต่อในตอนเย็นของทุกวัน
งานประจำกุเลิก 4 โมงครึ่ง งานที่จะไปสอนเริ่มตั้งแต่เวลา 6 โมงเย็น ถึง 2 ทุ่ม
อาาาาา ... กุจะลองดูซิว่า งานที่แตกต่างกัน จะเติมเต็มสิ่งที่กุขาดไปได้มั้ย
นักเรียนที่มาเรียนกับกุ บางคนอายุมากกว่ากุหลายช่วงปีเลยทีเดียว
บางคนก็เด็กวัยรุ่นธรรมดา ๆ อายุสิบกว่า ๆ เท่านั้น

คนเหล่านี้คิดว่าเข้าเมืองไทยมาเพื่อหาเงินเลี้ยงตัวเองให้อยู่รอด
มันก็คงจะเหมือนกับคนต่างจังหวัดที่ดิ้นรนไปทำงานในบางกอก
เลี้ยงตัวเองบ้าง ส่งกลับบ้านบ้าง ใจเขาใจเรา ก็คงเป็นเช่นเดียวกัน
ถ้าหากว่าไม่มีประเทศไทย แต่เป็นบ้านเมืองอื่นเค้าคงไม่ได้เข้ามาสบายแบบนี้
กุว่าคนไทยจะไปต่างประเทศ หากไม่มีเงินเพียงพอ ก็ลำบากจะตายห่า
กุสงสารบางคนมาก ซึ่งกุมารู้ทีหลังว่า เพราะอะไรทำไมถึงตามเพื่อนไม่ทัน
คนอื่นเขียนได้แล้ว แต่คนนี้ทำไมยังทำไม่ได้
สุดท้ายก็คือ เค้าเพิ่งเข้ามาสมัครเรียน ก็โดนส่งมาที่ห้องกุ
แค่ลากเส้นอักษรไทยยังทำไม่เป็นเลย กุสอนให้เรียนไปถึงอ่านแล้ว

... อีเหี้ย ! ... บัดซบว่ะ กุนี่แม่งเหี้ยจริง ๆ เพราะกุไม่เคยนึกเลยว่า
จะมีความจับฉ่ายในห้องเรียนของกุขนาดนี้
กุเลยต้องขอโทษขอโพยนักเรียนของกุโดยพลัน
มันคงเป็นที่ระบบด้วยที่ใครสมัครก็ให้เข้ามาเรียนได้เลย ไม่ได้จัดให้สมัครเป็นเวลา
เหมือนที่เราคุ้นเคยกัน จะไปว่าแม่งก็ไม่ถูกเหมือนกันว่ะสัด
เพราะนายจ้างคนไทยเค้าบอกให้มาเรียนนี่หว่า
แรงงานของคนเหล่านี้ถูกกว่าการจะจ้างแรงงานไทยซะเอง

กุเริ่มรู้สึกเติมเต็ม ยิ่งนานวันที่สอน และยิ่งทำงานประจำ
กุมีความรู้สึกว่ากุเหนื่อยเหลือเกิน แต่กุก็ไม่ทำให้งานประจำกุเสีย
กุเหนื่อยที่ทำงาน แต่กุไม่เหนื่อยเมื่อได้รับผลตอบแทนทางจิตใจ
กุปลื้มใจ ชื่นใจ สุขใจ อย่างบอกไม่ถูก
กุก็เลยนำเรื่องราวเหล่านี้ไปแชร์ให้คนที่ทำงานที่เดียวกับกุฟัง
มีพี่ที่ทำงานบอกกับกุ ณ ตอนนั้นว่า
" อาชีพ อาชีพ เดียวที่เราทำ มันตอบทุกอย่างในชีวิตของเราไม่ได้หรอก "

โอ้วววว ฮานาก้า !!!

มันจริงเลยค่ะคุ้ณณณณ

กุก็เก็บมาเป็นประเด็นในชีวิตกุให้ได้ฉุกคิดเช่นกัน
การสอนของกุก็ดำเนินมาเรื่อย ๆ ในแต่ละวัน
บางทีกุก็เรียนรู้ภาษาไทใหญ่กับพม่าบ้าง บางทีกุก็สอนการพูดภาษาไทยบ้าง

( ปกติ เรียนเรื่องหลักภาษาเยอะกว่า
เพื่อให้สะกดและพูดตามสำเนียงเราเป็น )

มีอยู่วันนึง นักเรียนชายวัยรุ่นของกุ ชื่อน้องห่านฟ้า

( กุชอบแซวว่า โฆษณาของเมืองไทยมีคำพูดว่า
ห่านดินกินหญ้า ห่านฟ้ากินยุงด้วยนะ )

แต่แม่ง มันไม่ขำ คงเป็นเพราะแม่งไม่เข้าใจ และไม่รู้ว่าคือเหี้ยอะไรวะ 55
ช่างมัน !

น้องห่านฟ้าคนนี้มันก็เอามือล้วงเข้าไปในกระเป๋า
ที่มันเอามาเรียนกับกุทุกวัน
ซักพักก็หยิบซาลาเปาลูกนึงมาให้กุ
กุก็นึกว่าน้องเค้าจะเอาให้กุดูเฉย ๆ ว่า
เนี่ยซื้อซาลาเปามานะ คงเก็บไว้แดกอะไรงี้
กุก็หยิบมาดู แล้วก็บอกว่า
" เอ้าเก็บไป ซื้อมากินเหรอ รีบกินนะ เดี๋ยวจะเย็นหมด "
น้องมันก็บอกว่า " ซื้อมาให้ครูนั่นแหละครับ "
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด
แล้วกุก็หน้าเหวอ " ฮ้า ซื้อให้ครูเหรอ เฮ้ยไม่เป็นไร ห่านฟ้าเก็บไว้กินเหอะจ้ะ "
ห่านฟ้าก็บอกกับกุว่า " ครูครับ ผมตั้งใจซื้อมาให้ครูครับ "
พอห่านฟ้าพูดจบ เด็กนักเรียนกุ ทั้งผู้ใหญ่และเด็ก ก็จ้องมาที่หน้ากุ
เหมือนกะในหนังมาก ประมาณว่า รับไปเหอะ เค้าซื้อมาให้จริง ๆ
โอ้ว เหมือนในหนังจริง ๆ นะโว้ยยยย กุนี่แม่งเหมือนนางเอกมากอะ
ที่ทุกคนเอาใจช่วยด้วยสายตาวิงวอน
และท่าทางที่แบบว่า รับไปสิมึงรีบรับไปสิ
กุก็แบบว่า " ขอบใจนะห่านฟ้า เดี๋ยวครูเอากลับไปกินที่บ้าน "
แล้วกุก็ยิ้มหวาน ๆ
( เอ่อ ... คิดว่าหวานนะ เพราะตากุหยีเชียว )
เมื่อกลับถึงบ้าน กุก็เกือบลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่ามีซาลาเปาอยู่หนึ่งลูก
ในกระเป๋าสะพาย
กุหยิบออกมาดู แล้วคิดว่า เอาวะ วันนี้ฝนตก
แดกซาลาเปานี่แหละสัด !
ตอนบิออกมากุเห็นว่าเป็นซาลาเปาไส้หน่อไม้ แอบมีหมูนิดหน่อย

เชี่ยแม่งงงงงงงงงงงงงงงงงงง !!!

แอร๊ยยยย กุไม่คิดเลยว่าซาลาเปาแบบนี้จะยังมีชีวิตอยู่
มันเป็นรูปลักษณ์ของซาลาเปาสมัยกุตัวเท่าจิ๋มมด
สมัยที่กุยังวิ่งไปขอตังค์ป้ากับย่าซื้อกิน แล้วก็ยังจำรสชาติของมันได้ดี

( แบบว่าไม่มีตังค์ จะได้กินซาลาเปาแต่ละทีนี่วิเศษชิบหายละ
แทบจะบินได้เลยกุ )

กุนั่งนึกถึงหน้าห่านฟ้ากับนักเรียนของกุทุกคน นึกถึงความตั้งใจของเค้า
ที่เอาซาลาเปามาให้กุแดก มาเป็นของขวัญให้กุ
แล้วแม่งอะไร ตอนนี้เรามีเซเว่น ซาลาเปาไส้หมูแดง
ลูกเหี้ยไรตั้งแพ้งแพง
( เสือกรู้อีก เพราะซื้อแดกตอนไปสอนเด็กประจำเยย แฮ่ ๆ )
ก็ซื้อหามาแดกกันได้ รถที่ขายซาลาเปาก็เช่นเดียวกัน
เดี๋ยวนี้มีแต่หมูสับอร่อย ๆ หอมหวานได้อีก
แล้วเด็กพวกนี้ซื้อมาจากที่ไหน
เอามาได้เยี่ยงไร
กุเริ่มสับสนกับชีวิตหน่อย ๆ
เพราะเสือกตั้งคำถามที่จะตั้งทำห่าไรก็ไม่ทราบ

น้ำตากุเริ่มซึม แทบแดกซาลาเปาไม่ลงเลยเหมือนกัน
เพราะความซาบซึ้งใจที่ล้นหลั่งออกมาจุกอก จุกคอหอย
ตอนนั้นไม่ได้เปิดไฟด้วย ฝนก็ตก ถ้าคนที่อยู่หอข้างหลังกุ
เห็นกุทางประตูหลังห้อง อาจจะกลัวได้
เพราะกุดูเหมือนเป็นเงาตะคุ่ม ๆ และกำลังร้องไห้ตัวโยน
ปากก็งับซาลาเปาลูกน้อยเข้าปากไป
ใครอาจจะคิดว่ากุเป็นอีผีปอบ นั่งแดกไก่อยู่ในหอพักก็ได้
มานึกอีกที ก็ทุเรศตัวเองว่ะ โชคยังเข้าข้างกุอยู่บ้างที่ไม่มีใครเห็น


โห่ว แม่ง ไม่มีใครเข้าใจความอ่อนไหวของกุเล้ยยยยย

ถึงตอนนี้กุไม่ได้ไปสอนเค้าแล้วว่ะ เพราะช่วงนั้นงานรุมเร้า
ก็เลยต้องเลิกสอนไป ป่านฉะนี้นักเรียนของกุเหล่านั้น
จะพูดภาษาไทย เขียนภาษาไทยได้บ้างรึเปล่าน้อ

( บางทีสำเนียงเค้าก็ไม่ตรงกับการผันวรรณยุกต์ของเราเยอะมาก )

เอาวะ อย่างน้อย กุก็ได้ทำในสิ่งที่คิดว่า
ครั้งนึง กุเคยช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกันมา
เคยคิดว่า ถ้าน้ำหน้าอย่างกุได้ไปอยู่เมืองนอกเมืองนากะเค้า
อาจมีคนช่วยเหลือกุโดยไม่หวังผลตอบแทนแบบที่กุทำกับคนอื่นบ้างก็ได้

( เอ๊ะ ! อีห่า แบบนี้มึงก็หวังผลตอบแทนว่าคนอื่นจะช่วยอยู่นี่ ? )

งิงิ
พวกนักเรียนของกุ จะยังจำกุได้อยู่มั้ยน้าาา าาา าาาาา าาาา
( หรืออาจจะไม่อยากจำ !!! )


ภาษาเหนือวันละคำวันนี้ คำว่า แมงบ้ง อ่านว่า แมง - บ้ง แปลว่า ตัวหนอน
แต่งประโยค แมงบ้งสีเขียวตั๋วนี่ต่อไปมันกะย่ะก๋ายเป๋นกะเบ้องาม ๆ หนาเจ้า
แปลอีกทีว่ะ หนอนสีเขียวตัวนี้ต่อไปมันก็จะกลายเป็นผีเสื้อสวย ๆ นะคะ

บ๊าย...บาย
นู๋บลิว เซเลอร์มูน ก๋ากั่น


ป.ล อัพเชี่ยะไรย้าว ยาว วะกุ 555
เอาให้หายอยากไปเรยค่ะสัด วะฮะ ๆ