วันจันทร์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2555

... เจ็บกว่านี้ มีอีกมั้ย ? ...

นานมวาก ! จริง ๆ ค่ะ ที่กุไม่ได้เข้ามาเขียนบล็อกของกุเลย
ปล่อยร้างมานาน จนต้องทำความสะอาดหยากไย่ และฝุ่นไร
แต่ด้วยสันดานที่กุพึงมีมาโดยตลอด นั่นคือ สันดานแห่งความขี้เกียจ
เรื่องอะไรกุจะเก็บกวาด วะฮะ ๆ เมื่อยค่ะสัด ! ไม่กวาดละ
เอาเป็นว่า กุไม่ได้หายหัวไปไหนค่ะ ยังคงอยู่บนโลกออนไลน์
และส่วนใหญ่ก็ไปร่าน และ แรดออนไลน์ใน Facebook ค่ะ
เพราะมันไม่ต้องใช้หัวคิดอะไรมาก ไม่สิ ก็ต้องใช้หัวคิดนะ
กุมันพวกคิดมาก คิดน้อยอย่างคนอื่นไม่ได้ ไม่ถูกจริต
แต่คือมันก็น้อยกว่ามานั่งเขียนบล็อก ที่ใช้เวลาเยอะมวากกกกกก
ด้วยความที่เกิดเรื่องราวห่าเหี้ยกับกุหลากหลายเหลือเกิน
ทำให้กุไม่สามารถคิด หรือ เขียน ในสิ่งใดลงบล็อกได้เลย ในระยะเวลาปีกว่า นี้
แม่งอี่ห่า กุไม่ได้อวยพรวันเกิดบล็อกกุเลย อีกทั้งไม่ได้รวมเรื่องราวในช่วงปีใหม่ด้วย
ก็ถือโอกาสนี้ ขอให้บล็อกกุมีความสุข อยู่กับกุไปตลอด
และสวัสดีปีใหม่บล็อกกุด้วยค่ะ กุรักบล็อกกุเช่นเดิม มิเคยเปลี่ยนแปลง
บอกไปมึงจะเบื่อกุมั้ยคะเนี่ย ? อย่าเบื่อกุค่ะ เพราะกุคงไม่มีน้ำหน้าไปหาใคร
นอกจากจะมาปลดปล่อย ระบายขี้ ต่าง ๆ นานา ลงในนี้ค่ะ
ตลอดเวลาที่ผ่านมา กุสูญเสีย และเสียศูนย์ หรือเรียกว่า เสียการทรงตัว มวาก !
หลังจากที่กุไม่ได้ไปเมืองนอกแล้ว กุเป็นบ้าเป็นหลังอยู่นานค่ะ
ตัดสินใจมาทำงานที่เดิม อีกครั้ง ด้วยหวังว่าคงมีบางอย่างดีขึ้น
กุก็ตั้งใจที่จะทำงานค่ะ แต่หลังจากนั้น เหตุการณ์เริ่มย่ำแย่ลง
กุปวดหลัง ปวดต้นคอ ปวดไหล่ สะบัก มันจี๊ดไปจนถึงขา
มันเป็นปัญหามาโดยตลอด นั่นเพราะการทำงาน ความเครียด
และสวะ ชีวิต ได้เกิดขึ้นให้ตัวกุมีความฉิบหายกันอีกแล้ว ในครานี้
เวลาผ่านไปนานพอดู อาการกุเริ่มแย่ รู้สึกได้ว่ามีก้อนอะไรแข็ง ๆ
ที่จับแล้วปวด มันเจ็บ มันเหี้ย มันอะไรก็ไม่รู้
ในเช้าวันอังคาร ที่ 16 พฤศจิกายน 2553
กุลางานครึ่งวัน คือครึ่งเช้าไปทำงานด้วยความลำบาก
แต่นึกถึงเด็กว่า ใครจะเป็นล่ามฯในห้องเรียนให้วะ ? เอาเถอะ ไปก็ไป
แต่พอหมดชั่วโมงตอนเช้า กุเริ่มแย่กว่าเดิมมวาก !!!
เลยขอกลับบ้านครึ่งบ่าย และคิดว่า เอาวะ วันพุธเช้า คือพรุ่งนี้
ไปหาหมอดีกว่า ที่บ้านกุ ก็จะได้สบายใจ ไม่ต้องกังวลกับอาการของกุ
กุโทรคุยกับป้า นานมาก ฝากป้าให้บอกย่าว่ากุกำลังจะไปหาหมอ
แต่ป้าบอกกับย่าว่า " บลิวมันไปหาหมอแล้ว ไม่ต้องห่วง "
หมายความได้ว่า ป้ากุหลอกย่าค่ะ แต่คือหลอกด้วยความที่อยากให้ย่ากุสบายใจ
เพราะยังไงซะ กุก็จะไปหาหมออยู่แล้ว ก็โอเคค่ะไม่ว่ากัน
เรื่องราวมันก็กำลังจะจบลงด้วยความงดงาม แต่ทว่า มันก็ยังไม่จบ
มันเสือกเริ่มเรื่องราวที่กุไม่นึกคิด อาจจะเคยแอบคิด แล้วนอนร้องไห้ก็ตาม
แต่ไม่คาด และไม่คิดว่าจะเร็วขนาดนี้
หัวค่ำ ประมาณ ทุ่มกว่า ๆ กุโทรหาเพื่อนชวนกันไปกินข้าว
แต่ก็ไม่ได้รู้สึกหิวอะไร กุรู้สึกถึงความเจ็บปวดกล้ามเนื้อที่อักเสบอย่างแรง
จะไม่แดกข้าว ก็ไม่ได้ กระเพาะแดกกุอีก พ่อแม่กุต้องลำบากหลายเท่านัก
ดังนั้น กุเลยไปกับเพื่อนด้วยใจลอย ๆ หน้าตาไร้ความสุข
สั่งข้าวแล้วเรียบร้อย น้องชายที่เป็นลูกอาโทรหากุ แล้วเสือกร้องไห้
บอกกุว่า " รู้รึยังว่ายายเข้าโรงพยาบาล ยายไม่สบาย ตอนนี้อยู่ห้องไอซียู "
( ยายของมัน หมายถึงย่าของกุ  เพราะยายของกุนั้นตายไปแล้วค่ะ )
กุก็บอกว่า รู้แล้ว ป้าบอกแล้วว่าเข้าโรงพยาบาลตอนเช้า เห็นว่าย่าอ้วก
แต่ไม่ได้เป็นอะไรมาก แต่ งงว่า น้องกุจะร้องไห้ทำห่าอะไร ไอ่ห่านี่
แล้วไปเอาข่าวจากไหนว่าเข้าไอซียู สมองกุตีบตัน ประดุจถูกตีนยัน
แล้วน้องชายกุก็ถามว่า กุจะไปแพร่พร้อมมันคืนนี้มั้ย ?
กุก็ยัง งง ๆ ว่า พรุ่งนี้กุก็จะไปหาหมอ ลางานมาแล้ว กุไม่คิดว่า
ย่ากุจะอาการหนัก ก็คุยกับป้ารู้เรื่องแล้วนี่หว่า กุก็งงได้อีกค่ะ
พอวางสายจากน้องชาย ก็คือกุกับน้องโอเค กลับแพร่กัน
ซักพักกุลองโทรหาแม่กุ พ่อกับแม่อยู่พิษณุโลก
ตอนแรกแม่กุไม่รับสาย ก็เลยคิดว่า คงติดสายอยู่ ธุระมั้ง
แล้วซักพัก แม่ก็โทรมา แม่บอกกุว่า
" บลิว ลูกเอ๊ย ทำใจนะลูก ย่าตายแล้ว ย่าไปสบายแล้วลูก "
กุอึ้ง !!! หมดแรง หน้าเอ๋อ จนเพื่อนมองหน้ากุ กุตะลึงงัน
จะร้องไห้ดีมั้ย ? น้ำตาทำไมไม่ไหล ? จะไหลต่อหน้าคนอื่นเยอะ ๆ นี่เหรอ ?
คำถามมากมายประดังเข้ามา มันถาโถมจนกุรู้สึกมึนงง เกิดอะไรขึ้นกับกุ ?
ผู้หญิงที่รักกุสุดชีวิต มากมายกว่าชีวิตของตัวเอง คนที่เลี้ยงกุมา
ตั้งแต่กุอายุได้เจ็ดเดือน คนที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากับกุ และทุ่มเทให้กุ
คนที่เป็นแม่ ในวันแม่ให้กุกราบ เป็นพ่อในวันพ่อให้กุกราบ
เป็นคนที่ลำเอียงในการให้เงินค่าขนมแก่หลาน ๆ มากที่สุด
เพราะให้กุเยอะกว่าใคร รักกุกว่าใคร แน่นแฟ้นกับกุกว่าใคร
ในบรรดาหลานทั้งสี่คน เพราะกุหลานคนโต
( และเชื่อกันในครอบครัวว่า กุคือปู่มาเกิด คือกุเกิดตอนปู่ยังอยู่
แต่เค้าก็บอกกันว่า คนเรามีขวัญ 32 ขวัญ ดังนั้น ขวัญจะมาก่อนก็ไม่แปลก
ก็นั่นแหละค่ะ ปู่กุตายในปีที่กุเกิด จะนับการจากไปของปู่
ก็นับอายุกุนี่แหละ ง่าย ๆ ค่ะ
และปู่ก็มาเกิดเป็นน้องชาย ลูกของอากุอีกเช่นกันค่ะ
สรุปว่า ปู่กุมาเกิดเป็นกุ กับน้องชาย เอามา 2 ขวัญ
ขนหน้าแข้งปู่กุไม่ร่วงค่ะ เหลืออีกตั้ง 30 โนะ )
ย่ารักพ่อกุมาก จนลำเอียงเช่นกัน
ทุกคนในครอบครัวรู้ว่าย่ารักกุมากแค่ไหน รักพ่อกุมากแค่ไหน
แต่ไม่อิจฉา ริษยา เพราะรู้ และเข้าใจความรู้สึกของย่า
ย่าคือคนแก่ หรือที่กุชอบเรียกว่า " คนเฒ่าน้อย " ที่น่ารัก
ไม่ว่าเพื่อนกุ หรือแฟนเก่ากุ ก็รู้จักย่า และรักย่าเช่นกัน
น้องสาวอีกคน ที่เป็นน้องสาวของน้องชายกุ ( งงมั้ยคะ ?
มาเสือกเรื่องชาวบ้าน อย่า งงค่ะ แม้มึงจะงง กุก็ไม่แก้ไข
หรืออธิบายใหม่นะคะ เพราะกุเข้าใจในสิ่งที่กุเขียนค่ะ @^_^@ )
มันไม่รู้ว่าย่าตายแล้ว และกุก็ไม่รู้ว่ามันเนี่ยไม่รู้
กุไปรับมันที่หอพัก จะรวมตัวพี่น้องทั้งสามคน เพื่อกลับแพร่
อากุ ซึ่งเป็นแม่น้องสาวโทรมา บอกว่าย่าตายแล้ว
มันหันหน้ามาร้องไห้กับกุ และพูดว่า " เย่ยบลิว ยายต๋ายแล้วววว ฮื้ออออ "
กุตกใจ ไม่คิดว่ามันจะไม่รู้ กุเลยต้องไปกอดมัน แล้วปลอบว่า
" อ้าว นี่ยังไม่รู้เหรอ ว่าย่าตายอ้ะ ? " น้ำตากุก็ไหลริน เพราะกุก็แย่แล้ว
เพื่อนกุยืนดูอยู่ สายตาก็รู้ว่าเป็นห่วง แต่ไม่รู้จะพูดอะไร
วันนั้นกุซ้อนมอไซค์เพื่อนมา น้องชายมันก็โทรมาว่าไปรอกุที่หอพักกุละ
น้องสาวก็บอกว่าขอขึ้นไปเก็บเสื้อผ้าชุดดำก่อน เพราะตอนแรก
เอากระเป๋ามา แบบไม่ได้เก็บเสื้อผ้างานศพเลย เพราะคิดว่ายังไม่ตาย
ตอนแรกกุ 3 คน ตั้งใจว่าจะรวมตัว และนอนด้วยกัน ที่หอพักกุ
แต่เนื่องจากมีเหตุการณ์ที่ทำให้ปั่นป่วน และไม่ลงตัว
ก็เลยนอนที่หอพักของตัวเอง และตอนเช้าจะกลับแพร่
สาเหตุอีกอย่างคือ รถเมล์เขียวสายเหนือเสือกไม่มีรถเลย !
เป็นไปได้ไงวะ อี่ห่าลาก !!! มึงจะมารถหมดส้นตีนอะไรตอนนี้คะ ? !!!
กุกระวนกระวายใจ โทรถามเหตุการณ์ไป ร้องไห้ไป ไม่รู้จะทำไง
น้ากุ ก็โทรหากุ ด้วยความที่ทุกคนรู้ว่ากุกับย่ารักกันขนาดไหน
มีกุมีย่า มีย่ามีกุ มันรู้กันไปโดยอัตโนมัติ จนไม่ต้องอธิบายห่าอะไรอีก
กุนอนไม่หลับ นั่งร้องไห้บ้าง นั่งเบลอบ้าง ไม่รู้จะจัดการกับชีวิตยังไง
โทรหาเพื่อนสนิทที ก็ร้องไห้ที เพื่อน ๆ ต่างพากันตกใจ
เพราะรู้จักย่ากุ ก่อนหน้านี้ ตอนอาจารย์บังคับให้ไปถือศีล 8 ที่วัด
ตอนอยู่ปี 1 อาจารย์อนุญาตให้พาคนในครอบครัวไปด้วยได้
กุก็เอาย่านี่แหละ ไปด้วย เพราะย่ากุเข้าทางธรรมะมาตลอด
สิ่งที่กุได้จากย่า ก็คือธรรมะที่ปลูกฝังตั้งแต่เล็ก ๆ
มันฝังเข้ามา และยังซึมอยู่ในจิตใต้สำนึก จะมาเอาจริงเอาจัง
( แต่ก็ไม่ถึงกับจริงจังว่ะ แค่รู้สึกอยากศึกษาให้มากขึ้นกว่าเดิมมากกว่า )
ก็ตอนที่ย่าตายไปแล้ว สมัยที่ย่ายังอยู่ ถ้ากุสวดมนต์ยาว ๆ เช่น ชินบัญชร
หรืออะไรก็ช่าง ย่าจะรู้สึกยินดี ย่าจะปลื้มกับสิ่งที่กุทำ
น้ำหน้าอย่างกุ เคยอกหักนะคะ เคยมีความรัก และคนรักค่ะ
ณ ช่วงเวลาที่จำต้องเลิกรา กันไป ก็ชินบัญชรนี่แหละค่ะ
พกติดตัวตลอดเวลา เครียดก็หยิบขึ้นมาอ่าน ๆๆๆ ท่อง ๆๆๆ
เพื่อให้ลืมความเจ็บปวดไปบ้าง แม้เพียงกระผีก ริ้น ก็ยังดี
ตอนนั้นกุอยากท่องปากเปล่าได้ กุเลยบอกย่า
ย่าก็ให้กุหันหน้าไปทิศที่วัดระฆัง ( หลวงปู่โตฯ ) ตั้งอยู่
แล้วอธิษฐานขอให้กุสวดมนต์คาถาชินบัญชรได้แบบปากเปล่า
ย่าดีใจมาก ที่กุมีความคิดที่จะสวดมนต์แบบนั้น ปกติก่อนนอน
กุก็สวดมนต์ค่ะ แต่ก็แค่นิดเดียว ไม่ถึงกับเป็นอะไรยาว ๆ ขนาดนี้
ถ้าวิญญาณย่ากุได้รู้ได้เห็น คงรู้สึกยินดียิ่งขึ้นอีกกระมัง
เพราะตอนนี้กุสวดยอดพระกัณฑ์ไตรปิฏก พร้อมกรวดน้ำเสร็จสรรพ
ส่วนชินบัญชร กุเลิกสวดตั้งแต่รู้ว่ากุไม่ได้ไปเมืองนอกละ
กุงอน !!! งอนจริง ๆ กุรู้สึกว่า เป็นเหี้ยไรวะ
กุผิดอะไร !!! แม่งชะตาเล่นตลกกับกุละ ไม่ยุติธรรม !!! และ ฯลฯ
พอย่าตายไป กุจนปัญญา จนได้รู้จักกับสิ่งที่ทำให้เกิดความเป็นไปในวันนี้กับกุ
ขี้เกียจพิมพ์ว่ะอี่ห่า ยาวเกิน กุขี้เกียจระลึกย้อนไปขนาดนั้น
มันยิ่งทำให้กุกลับเข้าสู่สภาวะเดิม ๆ ที่กุเคยเคียดแค้น เกลียดชัง
ทุกสิ่งทุกอย่าง ที่ทำให้กุพลัดพรากจากย่าของกุ
กุไม่มีลางร้ายบอกเหตุอะไรเลย นอกจากอาการไม่หิวข้าว
แต่ก็เนื่องด้วยความเจ็บปวด ร่างกาย ในสิ่งที่กุคิดว่ากุทำดีแล้ว
เหตุใดจึงต้องมีเรื่องหัวควย ๆ เข้ามากระทบกับกุอีก !!!
ย่ากุไม่สบายใจมาก ย่าบอกว่าอยากมาเชียงใหม่ ใครชวนไปไหน
ก็รู้สึกไม่อยากไป นึกแค่ว่าอยากเห็นกุ เป็นห่วงกุ อยู่แค่นั้น
จะไม่ให้กุเคียดแค้นอะไรได้วะ ก็ในเมื่อตัวกุทำในสิ่งดี
ตามที่ย่า และครอบครัวปลูกฝังแล้ว แต่เรื่องร้ายแรง
ก็เกิดขึ้นกับกุไม่หยุดหย่อนเลย แม้แต่คนใกล้ชิด
ที่ไม่คิดว่าแม่งจะมองกุในทางเลว ก็ไม่เคยถามกุซักคำ
ในพฤติกรรมนั้น ๆ  ที่คิดว่ากุเป็นคนผิด หรือทำสิ่งผิด ( จากที่ทำงาน )
สุดท้าย ก็นั่นแหละค่ะ ก็เพิ่งได้รู้ ว่าใครกันแน่ ที่แม่งชั่ว !!!
ตอนนั้น ย่ากุกินโจ๊กที่อาต้มให้ แล้วก็คุยกับหลานที่เป็นญาติของย่าซักพัก
อาอีกคน ( ที่เป็นแม่น้องทั้ง 2 ที่อยู่เชียงใหม่กับกุ ) ก็เดินสวนเข้ามา
เกิดเอะใจ เดินเข้าถามป้าที่อาบน้ำอยู่ในห้องน้ำว่า
" จะนอนเป็นเพื่อนแม่ใช่มั้ย ? " ป้ากุตอบว่า " เอ้อ ก็จะนอน "
อากุเลยเดินไปห้องย่าอีกที แล้วมองลอดมุ้งลวดเข้าไป
เห็นย่ากุนอนหงาย ลักษณะมือออกแนวหงิกงอเข้ามา ( แม่งกุนึกภาพไม่ออก )
แต่เค้าบอกว่า มันคือลักษณะคล้ายกับคนที่หัวใจวาย
อากุพอจะรู้นิดหน่อย เลยไม่ชัวร์ ก็เรียกย่ากุ
" แม่ แม่ แม่ แม่ !!! แมมมมมมมม่ !!! แม่จ๋า !!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!! "
ไม่ต้องพูดอะไรมาก ย่ากุไปแล้ว ตายไปแล้ว !!!
อากุร้องไห้ เสียงดัง เรียกทุกคนในบ้าน ป้ากุรีบออกจากห้องน้ำ
เกือบลืมใส่เสื้อผ้า ส่งเสียกเรียกย่า ป้ากุ และอา 2 คน ช่วยกันเรียก
และปั๊มหัวใจให้ย่า ( ความรู้พื้นฐาน อสม. )
ย่าไม่ตื่น ย่าไม่กระดิกตัว ไม่อะไรเลย !!!
หลานย่าซึ่งเดินสวนกับอากุในตอนแรกรีบวิ่งเข้ามาดูว่าเกิดอะไรขึ้น
เพราะยังเดินไม่ถึงรั้วประตูบ้าน รีบอุ้มย่าขึ้นรถอากุ
แล้วขับรถไปโรงพยาบาล เข้าไอซียู และปั๊มหัวใจ
ก็เท่านั้น ... ชีวิต นอกจากจะบัดซบ แล้ว ก็เท่านั้น ...
มีแต่หายใจ กับไม่หายใจ ที่เป็นนิรันดร์

หากกุเขียนบล็อกในช่วงเวลาที่ยังรู้สึกกับสิ่งใดมากมายอยู่
ในวันนั้น ภาษา ที่กุเขียนคงไม่เป็นแบบนี้
มันคงจะคุ กรุ่น และเต็มไปด้วยคำสาปแช่ง เดือดดาล
ให้แก่ทุกอย่างที่แม่งเกิดขึ้นกับกุ รวมถึงบุคคลต่าง ๆ
ที่แม่งคงตายห่าไปเพราะคำแช่งของกุ ทั้งเป็น
และตัวกุด้วย ที่ต้องตายไปกับหัวใจที่อ่อนแอ
ซ้ำร้ายก็ยังถูกเผาด้วยความแค้นจนไม่เหลืออะไรอีกเลยก็เป็นได้
พ่อแม่กุเก็บความรู้สึกมากที่สุด โดยเฉพาะพ่อกุ
พ่อขับรถด้วยอาการเสียใจอย่างรุนแรง แต่ไม่ร้องไห้
ป้าและอาทั้ง 2 ยังไม่เอาย่าเข้าโลง เพราะอยากให้พ่อมาเห็นก่อน
แต่พ่อกลัวจะเป็นเหมือนปู่ ที่สมัยก่อน ปู่ตัวแข็งมาก
( แต่อา กับป้ากุบอกว่า ย่าตัวนิ่มมาก แล้วก็ตัวอุ่น ๆ ไม่แข็งเลย )
ตอนที่เอาเข้าโลง จนต้องหักแขน หักกระดูกกันบ้าง
พ่อไม่อยากให้ย่าเป็นอย่างนั้น อากุได้แต่ร้องเพลงที่เคยร้อง
แล้วถ้าร้องทีไร ย่าจะร้องรับทุกที อาร้อง ๆๆๆ ร้องจนเสียงแห้ง
ย่ากุก็ไม่ฟื้นมาขานรับเพลงที่ร้องเลย นิ่งไปแล้ว
TT______TT

พ่อบอกว่า เอาย่าเข้าโลงได้เลย ไม่ต้องรอ ไม่อยากต้องหักแขนหักขาท่าน
คนที่แพร่ เลยต้องหามย่าเข้าโลงเย็น ยังไม่ปิดฝาโลง
ย่าเหมือนคนนอนหลับ ปากยิ้มนิด ๆ ลูก ๆ ของย่า
เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดขาว ตามที่ย่าเคยสั่งเสียไว้
( บ้านกุสั่งเสียกันไว้ตลอด เรื่องความตายไม่เคยแคร์สื่อ
ไม่เคยคิดว่ามันคือลาง คือห่าอะไร ตายก็ตาย )
ย่ากุเข้าวัดบ่อย ไปนอนวัดบ่อย ทำสมาธิบ่อย
นุ่งขาวห่มขาวตลอด เลยอยากตายในชุดสีขาวของแก

มันมีความรู้สึกมากมายนัก ที่กุอยากเขียน
กุอยากเขียนไว้ทุกสิ่ง ทุกอย่าง มันคือที่ที่กุสามารถเก็บเรื่องราวไว้ได้
แต่กุก็ไม่รู้จะเขียนเหี้ยอะไร เขียนยังไง ผ่านมาปีกว่าแล้ว
ความรู้สึกนั้นยังอยู่ หลายครั้งที่กุต้องนอนร้องไห้
ที่กุต้องนั่งร้องไห้ ที่กุต้องร้องอยู่อย่างนั้น เป็นวรรคเป็นเวร
กุกับน้อง ๆ ลงจากรถที่หน้าปากซอย เดินเข้าบ้านมา
สวัสดีทุกคน ที่รู้จัก และไม่รู้จัก
น้องสาวแท้ ๆ ของกุ มันอยู่บางกอก ก็นั่นแหละ เกือบไม่มีรถมาเช่นกัน
มันทำทุกอย่าง แม้จะได้ยืน หรืออะไรมันก็ยอม
จนมันได้ขึ้นมาบนรถทัวร์ มันก็ร้องไห้มาตลอดทาง
มันบอกว่า คนอื่นอาจคิดว่ามันหนีพ่อแม่มา หรือ อกหัก หรือเหี้ยไรก็ช่าง
มันไม่ได้แคร์ ไม่ได้ใส่ใจ หรือสนใจใครอีกต่อไป
ในใจมีแต่เรื่องย่าเท่านั้น มันบอกว่า มันบอบช้ำเหลือเกิน
เพราะวันที่มันจะกลับบางกอก ย่าก็มาส่งมัน มันรู้สึกโหวงเหวงใจ
แต่ก็คงเป็นอาการเดิม ที่จะต้องจากบ้านมา
มันเลยบอกว่า ถึงวันนี้เลยได้เข้าใจ ว่าทำไมถึงรู้สึกโหวงเหวงขนาดนั้น
เพราะย่ามาส่งมันเป็นครั้งสุดท้ายนี่เอง
( น้องกุเพิ่งกลับจากแพร่ไปบางกอก แค่วันเดียว ย่าก็ตาย )
มันมาถึงแพร่ก่อนกุกับน้อง ๆ ทั้ง 2 คน
น้องชายกับน้องสาวเดินเข้าไปหาโลงศพย่า และร้องไห้
ส่วนกุ นั่งทำใจ ไม่กล้าเดินเข้าไป พอทำใจได้ กุเดินเข้าไป
มองหน้าย่า ในโลงเย็น กุร้องไห้เสียงดัง กรีดเสียงร้องเหมือนคนบ้า
ตอนยายกุตาย ก็แบบนี้ ได้มางานยายตอนวันเผา เพราะมีสอบ
และเมื่อย่าตาย กุไม่ได้อยู่ในวันที่ย่าตายจากกุไป กลับได้มา
ในอีกวัน กุน้อยใจ กุเสียใจ กุเสียความรู้สึก กุเจ็บปวดทั้งกายและใจ
กุซื้อพวงมาลัย หมายจะกราบเท้าย่าครั้งสุดท้าย ก็ไม่ได้กราบ
เพราะย่าอยู่ในโลง ได้แค่กราบหน้าโลงเท่านั้น
น้องสาวกุแม่งเสือกมารู้ว่าตัวเองสอบผ่าน จบปริญญาตรีแล้ว
ก็ตอนที่ย่าตายได้ 1 วัน พอดี ( อีกแล้ว !!! น้องกุประสบแต่สิ่งที่
เป็นอะไรที่ ผ่าน 1 วัน แล้วย่าตาย ตลอดเลยเว้ย )
คราวนี้มันร้องห่มร้องไห้น่าสงสารมาก มันบอกว่า
ผิดจากที่เคยหวังไว้ มันหวังว่าย่าจะได้ไปงานรับปริญญาของมัน
มันคิดว่า ตอนบอกว่าเรียนจบ ย่าจะดีใจกับมันสุด ๆ
ที่จริงผลสอบคงจะออกนานแล้ว แต่เพิ่งติดประกาศอย่างเป็นทางการก็คือวันนั้น
ที่ย่าตายเพียง 1 วัน เศร้าว่ะ ห่า
TT___________TT

มันบอกว่า ถ้าแม่งติดประกาศก่อนหน้านี้ ย่าคงได้รู้แล้วล่ะ
แต่ย่าก็ดูมั่นใจ ตอนที่เคยคุยกันกับมัน ย่าบอกว่า
" ย่ามั่นใจ๋ ว่าโบต้องจบปีนี้ แน่ ๆ "
( น้องกุแม่งเรียนจบช้าค่ะ เสือกไปเรียน นิติฯ อี่ ดอก ! ยากเลยมึง )
น้องกุก็เลยคิดว่า ย่าคงรู้แล้ว เพราะมั่นใจซะเหลือเกิน ก่อนที่จะตาย
น้องกุบอกว่า มันเหมือนกับว่า ออกจากแพร่กลางคืน ไปถึงบางกอกเช้า
เอาข้าวของเก็บ พอตกเย็น ถึงหัวค่ำ รู้ว่าย่าตาย จากเราไปแล้ว
มันก็รีบกลับมาแพร่อีก แค่เอาของมาเก็บ แล้วก็มางานศพย่าน่ะเหรอ !!!
มันก็รู้สึกโกรธทุกสิ่งอย่าง ไม่แพ้กุเช่นกัน

ในวันเผา กุซ้อมร้องทำนองเสนาะ ตอนแรกจะอ่านแค่กลอน
ที่ไม่ต้องใส่ทำนอง อะไร
แต่กุก็บอกอาว่า " แบบนี้ทำไมไม่อ่านเป็นทำนองไปเลย ? "
อาถามกุว่า " อ้าว กล้ามั้ยล่ะ ? บ้านเราก็ยังไม่เคยมีใครทำนะ
เค้ามีแต่คนอ่านกลอนธรรมดา ๆ ถ้ากล้าทำเลย ซ้อมเลย "
ก็ด้วยความที่กุก็หน้าด้าน เอ๊ย กล้าแสดงออกไง
กุก็ไม่ได้อาย กุเลยซ้อมอยู่หน้าโลงศพของย่า
เช้าวันนั้นกุไปไม่ทันที่เค้ายกศพย่าออกจากโลงเย็น พร้อมปิดฝาโลงไม้
เตรียมลากไปเผาที่ป่าช้า กุขอให้เค้าช่วยเปิดอีกที เพราะกุอยากเห็นย่า
อยากแต่งหน้าให้ย่า แม้ว่าอาจะแต่งให้แล้วก็ตาม แต่กุอยากเห็น
กุอยากแตะหน้าย่า กุอยากสัมผัสกับย่า ไม่มีใครอยู่กับกุเลย
กุทั้งกล้า และทั้งกลัว เพราะคำว่า เป็น กับ ตาย ก็ห่างกันเพียงนิดเท่านั้น
มันจึงมีบางอย่าง ที่ทำให้กุกลัว กุถามตัวเองตลอดว่า
อ้าวอี่ห่า จะกลัวทำไมวะมึง อี่บลิว ในเมื่อตอนนอนกับย่าตัวเป็น ๆ
มึงก็ทำมาแล้ว นี่ก็ย่าเช่นกัน แต่ในใจอีกใจ กุก็บอกตัวกุอีกว่า
เฮ้ย ก็ย่าตายแล้วอ้ะ ย่าตอนนี้ ไม่มีวิญญาณอีกแล้ว
เหมือนสังขารที่อยู่เฉย ๆ มีเน่า มีพัง ไปได้ และดูเหมือนว่า
ร่าง ๆ นี้ ไม่ใช่ย่ากุ ซะงั้นแหละ เอาเป็นว่า
กุทำกล้า ๆ กลัว ๆ ไปซักพัก พระก็เข้ามา แล้วมองดูย่ากุ
" เอ้อ ยายเอ๊ยย ยายไปสบายแล้วเนาะยายยย หลับแล้วยิ้มด้วยเนาะยายเนาะ "
ก็คือทุกคนเข้าใจว่าย่ากุไปสบาย แบบที่สบายจริง ๆ หลับตายไปเลย
เวลาแค่ไม่กี่นาที ที่อาเดินสวนกับหลานย่า อาจแค่เอนตัวหลับ
จิตก็ลอยล่องไปทันที กุคิดว่าเป็นแบบนั้นนะ
หลานย่ากุ ที่เป็นพระ ก็ฝันเห็นย่ากุไปนั่งยิ้มให้ ใส่ชุดขาวซะด้วย
ตอนนั้นพระรูปนี้ปิดมือถือ ใคร ๆ  ก็ติดต่อไม่ได้
พอฝันเห็นย่าเท่านั้น ก็โทรมาถามที่บ้านว่า " ป้าเป็นอะไรรึเปล่า ? "
จึงได้รู้ว่า ย่ากุตาย ที่บ้านกุก็กังวลว่าหลานย่าที่เป็นพระนี้
ยังไม่รู้ว่าย่ากุตาย จะทำยังไงดี จู่ ๆ พระรูปนี้ ก็เดินลงจากรถทัวร์มาเลย

นี่คือสังหรณ์ คือวิญญาณ คือผี คืออะไร กุไม่รู้
แต่มันเกิดขึ้นแล้ว ทำให้ได้รู้ว่า เรื่องแบบนี้ มันก็มีจริง
กุนึกเสียดาย ในวันเผาย่า ไม่ได้ถ่ายรูปกับหน้ารถแห่ศพเลย
ไม่มีรูปกุเลย เพราะกุมัวแต่ซ้อมอ่านทำนองเสนาะนั่นแหละ
แต่ย่าคงเข้าใจกุ กุรู้ว่าย่ารู้ มันมีบางอย่างที่กุรู้สึกได้
ว่าย่าชอบแบบนี้ ชอบให้กุกล้าแสดงออก ชอบให้ทุกคนรื่นเริง
ชอบให้เป็นในแบบที่ครอบครัวของกุกระทำให้ ปฏิบัติให้
ระหว่างทางที่เดินไปพร้อมรถแห่ศพของย่า ไปถึงป่าช้า
กุร้องไห้ไปตลอดทาง งานทางเหนือ จะมีตุง หรือธง
สำหรับงานศพ ปักอยู่บนรถพร้อมโลงศพ
ธงสะบัดมาปัดแก้ม ปัดหน้ากุตลอดเวลา อาจเพราะกุอยู่ในมุม
ที่ทำให้ธงปลิวมากระทบก็เป็นได้
แต่ใจกุ มโน ได้อย่างเดียวว่า ย่ามาปลอบไม่ให้กุร้องไห้
ย่ามาเช็ดน้ำตาให้กุ กุสบายใจที่จะคิดแบบนี้
ถ้าเป็นเหตุการณ์ที่บังเอิญ กุคงไม่มีความสุข
อย่างน้อย กุขอคิดแบบนี้ มันทำให้กุใจชื้นขึ้นบ้าง ไม่มากก็น้อย
สงสารพ่อเหลือเกิน พ่อเป็นผู้ชายที่ต้องข่มอารมณ์ ไม่ให้แสดงออกมาก
ทำไมพ่อกุไม่ร้องไห้วะ ? กุรู้สึกอึดอัดแทนพ่อกุมาก ไม่รู้จะทำยังไง
อยากให้ย่าไปเข้าฝันพ่อ บอกให้พ่อแสดงออกมา ไม่ต้องห่วง
ไม่ต้องกังวล ว่าจะกลายเป็นคนอ่อนแอ จะกลายเป็นคนไม่เข้าท่า
จะกลายเป็นที่พึ่งพาของคนในครอบครัวไม่ได้
ธรรมชาติสร้างน้ำตาให้คนเราได้ระบายออก ถ้าไม่ระบาย
มันจะทำให้คนเราเป็นบ้า เป็นทุกข์กว่าที่เคยเป็น มันแย่ กุรู้ !!!
ก่อนเผาย่า กุขอขึ้นไปดู กุถามคนอื่น ๆ ว่า " ไหนมือย่า ๆๆ "
เพราะกุร้องไห้ไปด้วย เค้าก็จะเอากุออกไป กลัวกุแย่
แต่กุอยากจับมือย่า ซักนิดก็ยังดี กุหามือย่า
กุขอสัมผัส กุขอจับมือย่า เป็นครั้งสุดท้ายจริง ๆ
เสียดายอีกครั้ง ที่กุทำไมไม่บอกให้เค้าหาเท้าย่าให้กุที
กุจะได้กราบแทบเท้าย่ากุ เสียดายชิบหายค่ะ จริง ๆ
เจ็บปวดว่ะค่ะ นึกแล้วก็เจ็บปวด มันแย่จริง ๆ ที่เสียคนที่เรารัก
และรู้ว่า คน ๆ นั้นก็รักเรายิ่งกว่าอะไรทั้งหมด อะไรก็บลิว อะไรก็บลิว
มันเป็นอย่านั้นจริง ๆ ว่ะ เฮ้อ ~
TT_________________TT

หลังจากเหตุการณ์นี้ กุต้องกลับเชียงใหม่ มาสะสางทุกอย่าง
ไปหาหมอ ได้ยามาแดก แต่อาการไม่ดีขึ้น
หมดเวลาในการลาป่วย ที่หมอกำหนดให้พักในใบรับรองแพทย์
กลับไปทำงาน อีกครั้ง คราวนี้ กุปวดจนแย่ ยกแขนไม่ขึ้นจริง ๆ
กุต้องแอดมิท ที่โรงพยาบาล โทรเรียกน้องชายให้มารับด่วนมวาก !!!
หมอบอกกุว่า กุจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่กี่วัน ฮ่า ๆๆ ไม่ใช่ค่ะ
หมอบอกว่า ถ้ากุไม่หยุดทำงานนี้ กุจะเป็นอัมพาต
วันต่อมา กุทำงานไม่ไหว กุเลยฝากเพื่อนยื่นใบลาออกให้
ลาออกแบบกะทันหัน และแนบใบรับรองแพทย์ไปด้วย
และหลังจากนั้น จนถึงวันนี้ กุก็ต้องไปหาหมอตลอดเวลา
ฝังเข็มเอย กายภาพบำบัดด้วยการดึงคอเอย
รู้สึกว่า หมอให้กุไป X - ray ก็รู้ว่ากระดูกคอกุเคลื่อนนิดโหน่ยยย
คือก็นะ หลังจากงานศพย่า แล้วกุก็เสร่อไปหาหมอเนี่ยนะ
กุไปมาแล้วหลายที่ค่ะ 4 ที่ ได้มั้ง แล้วก็เสร่อไม่หายอะค่ะ
จนกุตัดสินใจปรึกษากับคุณหมอเรื่องฝังเข็มกระตุ้นไฟฟ้า ฯลฯ
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด แอร๊ยยยยยยยยยย ~
กุต้องทำนั่นนี่เยอะมวากกก กุสงสารพ่อแม่กุ๊วววววววววว
จ่ายเงินไปเป็นแสนแล้วมั้ง !!! อีกอย่าง คุณหมอก็เป็นแผนปัจจุบันนี่แหละ
แต่บินไปเรียนศาสตร์จีน โดยตรง มาด้วย โอ้ววว หมอกุเก่งหลายอย่างค่ะ
ก็นั่นแหละ ชีวิตในวันนี้ ผ่านอะไรมาแม่งเยอะแยะเลยว่ะ
แต่กุก็หายไปบ้างนะ อาการเจ็บปวดยังมีอยู่
ทว่า ... ไอ่ที่แม่งบวม ๆ คือพังผืดค่ะ ที่มันหน้าด้าน
มายึดกล้ามเนื้อกุอย่างเปิดเผย ก็นิ่มลง สลายลงไปบ้าง
ยาก็ไม่ต้องแดกมากเหมือนเมื่อก่อน แดกจนแม่งลิ้นกุขม
ฆ่ากุเลยดีกว่า อี่ห่าาาาาาาาาาาาาาาาา !!!

กุเคยอธิษฐานบอกเจ้ากรรมนายเวรเยี่ยงนี้ด้วยค่ะ
" ถ้าไม่ให้ตาย ก็ขอให้หายบ้างเถอะ ! สงสารพ่อแม่ "
เชื่อมั้ยคะ แม่งกุหายจริง ๆ นะ ภาวะอาการปวดตอนนั้น
มันก็บอกไม่ถูก มันต้องรู้สึกเองว่ะ ของแบบนี้ แต่อย่างมงายมาก
บางทีมันอาจเป็นจิตใต้สำนึกสั่งตัวเองก็ได้ จะอะไรก็ช่างเถอะ
มันก็ทรง ๆ ทรุด ๆ มาตลอด จนกุก็เซ็งที่จะป่าวประกาศอะไรละ
ใครเข้าใจก็คือเข้าใจ ไม่เข้าใจก็ช่างมึง ! ไม่ใช่พ่อแม่กุ !!!
สิ่งที่ทำให้กุได้คิด ณ เวลานี้ก็คือ ถ้าย่าไม่ตายวันนั้น ยังไงซะย่าก็ต้องตายอยู่ดี
ในใจกุมโน นิดนึงว่า มันก็นะ ถ้ากุได้อยู่ด้วย ได้มีเวลาพูดคุยด้วย
ได้ลาจากกัน หรืออะไร มันจะเป็นยังไงวะ ? ช่างแม่งเหอะ
กุอาวรณ์ อาลัยถึงย่าเสมอ กุกรวดน้ำให้ดวงวิญญาณย่ากุ ปู่กุ และยายกุ ตลอด
ทำบุญให้ หลายอย่าง และแม้กระทั่งด้วยการบวชชีพราหมณ์ให้ย่า
ในวันเกิดกุที่ผ่านมา ปีที่แล้วด้วย
ใส่ชุดขาวของย่านั่นแหละ หวังว่า จะมีความสุขบังเกิดกับดวงวิญญาณย่า
และครอบครัวกุ ต่อแต่นี้ไป จะเป็นยังไงต่อก็ไม่รู้ แต่กุขอแค่ว่า
อย่าให้มีอะไรเบียดเบียนความรู้สึกครอบครัวกุอีกเลย
แค่กุคนเดียว กุก็ทำให้คนที่รักกุทุกข์มากมายละ
เป็นไปได้ กุขอไม่เกิดอีก กุรักใคร ไม่ว่าครอบครัว หรือคนรักกุก็ทุกข์
ใครรักกุ โดยเฉพาะครอบครัว
ที่รักไร้เงื่อนไข ปราศจากเหตุผล เค้าก็ทุกข์
กุเลือกอะไรได้บ้างวะ ? นอกจากความบัดซบของชีวิต
คำว่า " ชีวิตบัดซบ !!! " แม่งฟังแล้ว โคตรบัดซบ !!! ได้สาแก่ใจกุจริง ๆ
... น้องบลิวฮักย่าหนาเจ้า คนเฒ่าน้อย ... ยังนึกถึงตลอดเวลา
ไม่ว่าที่บ้านเราจะยะอะหยัง ทุกคนย่ะนึกว่ามีย่าอยู่เคียงข้างตลอดเวลาเจ้า จุ๊บ ๆ
น้องบลิวกึ้ดเติงหาย่าเจ้า นึกถึงต๋อนตี้นอนกอดย่า ต๋อนได้อ้อนย่า ต๋อนตี้ได้ฮ้องย่า
                                        " คนเฒ่าน้อย ๆๆๆๆๆ สลิดนัก ! " จะอี้นิ

                                            กึ้ดเติงขนาด TT_________TT ...
... น้องบลิวฮักย่าตี้สุดเจ้า ... กราบบบบบบบบบบ แทบเท้าย่า 
ถ้าเป๋นไปได้ ขอน้องบลิวกราบย่าเน้อเจ้า ...

ภาษาเหนือวันละคำวันนี้ คำว่า เวรตัน อ่านว่า เวน - ตัน แปลว่า กรรมตามสนอง
แต่งประโยค บ่ดีไปว่าฮื่อเขานักเน้อ ตั๋วเฮายังบ่มีลูกมีเต้า เดียวมันย่ะเวรตันลูกเฮา
แปลอีกทีว่ะ อย่าไปว่าให้ใครเค้ามากนัก เรายังไม่มีลูกมีเต้า
มันจะเป็นเวร เป็นกรรมที่ตามสนองรุ่นลูกของเรา
บ๊าย...บาย
นู๋บลิว เซเลอร์มูน ก๋ากั่น
ป.ล ไปเจอกุใน Facebook ก็ได้นะ ถ้าอยากเจอ แอดอีเมลกุมาละกันค่ะ
สำหรับคนที่อยากเจอ ไม่อยากเจอกุไม่ว่า กุจะไปว่าใครได้ กุด่าอย่างเดียว
อ้าว !!! 
ล้อเล่นค่ะ แต่ก็นั่นแหละ กุด่าถ้าไม่พอใจ ด้วยเหตุผลของกุ ฮ่า ๆ
รักทุกคนที่รักกุค่ะ ยังไม่ลืมบล็อกนี้ และจิตวิญญาณของตัวกุเอง ยืนยัน !!!










2 ความคิดเห็น:

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

เสียใจด้วยครับ

GirlTear กล่าวว่า...

ขอบคุณค่ะ

ว่าแต่ ... ใครหว่า ?