วันอาทิตย์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2549

ออ ... ที่รัก

ตั้งแต่ปี 1 อาจารย์บอกกุและเพื่อน ๆ ว่า
" พวกเธอจะต้องมีการไปสอนเด็กฯ ที่บ้าน "
โดยอาจารย์จะกำหนดเวลาที่จะต้องสอนให้
ในตอนนั้นกุก็สอนเด็กเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอยู่บ่อย ๆ
เพราะไม่ค่อยมีเวลาสอนเด็กคนเดิม
แต่สุดท้ายกุก็ได้เคสอย่างเป็นตัวเป็นตนขึ้นมา

น้องเป็นเด็ก ออทิสติก แต่ก็ไม่ถึงกับขั้นรุนแรง
อาจจะเป็นเพราะน้องได้รับการฝึกตั้งแต่เล็ก ๆ จากแม่
แล้วแม่ก็พาน้องไปหาหมอ ก็คงได้ฝึกอะไรต่อมิอะไรได้เรื่อย ๆ
แถมน้องก็ยังเป็นเด็กที่เข้าเรียนในศูนย์ฯ ที่กุเรียนอยู่ด้วย
ตามปกติแล้ว เด็กออทิสติก หน้าตาก็จะเป็นเหมือนเด็กปกติทั่วไป
แต่พฤติกรรมหรือการเรียนรู้มันไม่ใช่
น้องเป็นเด็กหน้าตาดี รูปหล่อ น่ารัก อายุไม่ถึง 10 ขวบ
กุก็ไปบ้านเค้า ไปฝึกไปสอนเค้า 

กุ : หนูครับ ขยำดินน้ำมันสิคับ
น้องก็จะแลบลิ้นใส่กุ แล้วก็วิ่งหนี ๆ ๆ แล้วก็ออกไปกระโดดเล่นหน้าบ้าน
กุก็สุดจะทนกะมัน เด๊วนี้แม่งก็ไม่เคยเชื่อเหี้ยไรกุเรย
พูดปากเปียกปากแฉะจนปากแทบเน่าเพราะฮ่องกงฟุตอยู่แระ ( ใช่เหรอ ? )
แม่งก็ไม่ฟังกุ
ทำให้เลือดสูบฉีดเข้าหัวใจกุล้นปรี่ด้วยความโกรธ อยากจะกระชากตบก็ทำบ่ได้
เพราะกุรักเด็ก ต้องทน ๆ ๆ ๆ ฮึ่ม ๆ มึง ๆ ๆ ๆ มึงไม่ฟังกุ๊
แต่กุก็เข้าใจในตัวเด็ก ถ้าเรียนเอกนี้แล้ว
ไม่มีความเข้าใจ กุว่าอย่าเรียนแม่งเรยดีกว่า คิดงี้ก็ดีขึ้น
คงเป็นเพราะตอนนี้น้องโตแล้ว เรียนรู้อะไรได้มากขึ้น
กุจึงเริ่มอยากจะหาเด็กมาสอนใหม่น้องก็ไปเข้าเรียน
ในโรงเรียนปกติที่เป็นแบบเรียนร่วมแล้ว อะไรหลาย ๆ อย่าง
เปลี่ยนไปไม่เหมือนเมื่อก่อน ที่มันยังพอทำตามที่กุบอกบ้าง
ตอนนี้อาจจะเป็นเพราะเค้าเครียด ที่ต้องอยู่กับสภาวะแวดล้อมที่กดดัน
มันก็คงเป็นเรื่องปกติธรรมดาของเด็กอยู่แระ
กุจึงเริ่มปรึกษากับครูที่อยู่ในศูนย์ฯ ที่กุเรียน
เค้าก็บอกว่า ให้กุลองเอาน้องอีกคนที่เป็นเด็กขั้นรุนแรงมาสอนที่บ้าน
น้องคนนี้เป็นเด็กที่ถือว่าโตแล้ว ในบรรดาเด็กในศูนย์ฯ
น้องเค้าอายุ 12 ขวบ เริ่มมีพัฒนาการทางร่างกายเป็นวัยรุ่น
( กุเคยแอบเห็น กร๊ากกก )
แต่น้องก็ไม่รู้เรื่องอะไรยิ่งกว่าคนแรกซะอีก
กุจำได้ว่า กุเคยเช็ดอ้วกน้องครั้งนึง เพราะตอนนั้นน้องนั่งอยู่คนเดียว
ก็เอากำปั้น ยัดใส่ปากตัวเอง แล้วก็อ้วกออกมา
โอ่ย กุจะบร้าตายห่า แม่งเอ๊ย ! ต้องไปหาผ้ามาเช็ดอ้วกให้
อะไรที่ไม่เคยทำ ก็ต้องทำ แร้วตอนนี้กุก็ไปรับน้องมาสอนที่บ้าน
การฝึกก็อาจจะปกติเรื่อย ๆ ของมันดี ถ้ามันไม่เกิดเหตุการณ์นี้
น้องแม่ง ขี้แตก !
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด
แค่อ้วกกุก็ว่าหนักสำหรับกุแร้ว นี่มันขี้อีก แร้วน้องแม่งช่วยเหลือตัวเองบ่ได้
ทีนี้มันจะตกถึงใครล่ะ ถ้าไม่ใช่กุ๊ แง้ ๆ ๆ เคราะห์ซ้ำกรรมซัด
รับมาสอนวันแรก กุก็เจอดีเรย ทำไมไม่ถูกหวยเหมือนอย่างนี้บ้างวะ
แสดดดด
จริง ๆ แล้วน้องเค้าก็ใส่แพมเพิร์ส ไว้ตลอดเวลา
ถ้าแค่ฉี่กุจะไม่เดือดร้อนเหี้ยไรเรย แต่นี่แม่งขี้อ่ะ
กุอุตส่าห์ถามจากครูเค้าแร้ว ก่อนกุจะรับมาบ้าน
กุ : พี่คะวันนี้น้องขี้ยังอ่ะคะ
พี่ : อ่อ ก็เข้าห้องน้ำแล้วนะ พี่ล้างให้เองเมื่อกี้นี้
กุ : ง่า ดี ๆ ๆ เหะ ๆ ๆ หนูกลัวต้องได้ล้าง เหะ ๆ
พี่ : คงไม่แล้วล่ะ เพราะน้องถ่ายเป็นเวลา
กุจึงรู้สึกโล่งใจเป็นอย่างยิ่ง
แต่สุดท้าย สิ่งที่กุได้รับคือ ... น้องแม่งขี้แตกตอนมาบ้านกุนี่เอง
ชิบหาย ... ทำไงดีล่ะคราวนี้ ...
บ้านกุไม่ได้เคลือบยาถ่ายนะ ทำไมต้องเป็นเช่นนี้
มาจะกล่าวบทไป ถึงเรื่องขี้ ๆ
คงไม่มีใครขี้เป็นกลิ่น ราสเบอร์รี่ ฉะนั้น น้องเค้าก็เช่นกัน
ถ้ากุจะทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ก็คงไม่ได้ เพราะมันเหม็นโคตร
กุเกิดความลังเล แม่ง ยิ่งลังเลเท่าไหร่ กุก็เริ่มจะทนไม่ไหว
คิดในใจ ... แม่งเอ๊ย กุจะพาน้องไปล้างดีมั้ยวะ
แต่อีกใจก็คิดอีกว่า ไม่เอ๊า ... ไม่เอา กุรับบ่ได้ ให้กุล้างขี้เนี่ยนะ
แม่กุเขียนงานอยู่ ก็บ่น ๆ ว่าให้พาน้องไปล้าง ด่ากุก็แล้ว
ว่ากุก็แล้ว แต่กุกลับไม่สะทกสะท้าน กุยอมให้แม่ด่า ดีกว่าให้กุล้างขี้ !
ในตอนนั้นกุคิดงั้น
สุดท้ายแม่กุคงทนไม่ไหว ( แต่กุเสือกทำเป็นทนไหว เพราะไม่อยากล้าง )
แม่กุเกิดอาการสุดจะทนกับพฤติกรรมจัญไรของกุได้
แม่กุเรยบอกให้กุพาน้องไปหาแม่ แร้วแม่จะเป็นคนล้างเอง
แต่กุเกิดความคิดในด้านดี ของความเป็นนางฟ้าอีกครึ่งของตัวกุ
กุคิดว่า เอาวะ ล้างก็ล้าง จะให้แม่ล้างได้ไง
กุจึงจัดการถอดแพมเพิร์สของน้องเค้าออกด้วยท่าทางเก้ ๆ กัง ๆ
อุวะ ... จริง ๆ กุก็เคยถอดแพมเพิร์สให้เด็กเล็ก ๆ อยู่เหมือนกันแหละน่า
แต่ตอนนั้นมันเป็นฉี่ค่ะ มันบ่ใช่เป็นขี้ ! คนละแนว คนละสปีชี่ส์กัน
พอกุถอดแพมเพิร์สน้องเสร็จ แม่ก็เอาไปเผาไฟรวมกับขยะทันที
อี๋ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ แร้วกุก็จัดการล้างขี้น้อง แร้วก็อาบน้ำให้น้องด้วย
จะได้หอมสดชื่น ล้างสะอาด ดมยิ่งสะอาดล้ำลึก
แหวะ !
แหม่ ... แร้วน้องเค้าก็ไม่ใช่เด็ก ๆ ตอนกุถอดเสื้อผ้ามันหมด
กุก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะมองตรงนั้นตรงนี้ ( กุไม่ใช่โรคจิตนะคะ )
กุก็ดันเหลือบไปเห็น อะไรต่อมิอะไรที่กุไม่คิดว่าอยากจะเห็น
อืม ... ไอ่น้อนี่มันโตแล้วจริง ๆ ด้วย กุแทบกรี๊ด
รู้สึกว่าตัวเองเขิน ๆ อยู่เหมือนกัน ทำไมต้องเป็นกุ๊
เมื่อกุอาบน้ำให้น้องเสร็จ ชำระ ชำแหละ อะไรหลาย ๆ อย่างหมดแล้ว
กุก็ไปหาเสื้อผ้าที่กุไม่ใส่แล้ว เอามาให้น้องใส่
แล้วก็ทาแป้ง แต่งตัวให้น้องใหม่เอี่ยม สดชื่น
แต่กุไม่ได้ขอแพมเพิร์สมา เพราะกุไม่คิดว่า น้องจะฝากรักให้กุขนาดนี้
กุคิดว่า ... เฮ้อ หวังว่าคงมีวันนี้แค่วันเดียวที่กุจะเจอดี
ตอนเอาน้องไปส่ง กุก็เล่าให้พ่อแม่ของน้อง แร้วก็พี่ที่เป็นครู ฟัง
เพราะพี่เค้า ไปรอรับน้องไปนอนที่บ้านอยู่แล้ว
สุดท้ายก่อนกุจะขอตัวกลับ แม่กะพ่อน้อง ก็เอาเสื้อผ้าของน้อง
แระก็แพมเพิร์ส ใส่ถุงให้กุ เอากลับบ้าน เพราะกุยังต้องเอาน้องมาสอนอีก
เค้าบอกว่า " เอาเผื่อไป เผื่อน้องขี้อีก "
เอาล่ะสิ นี่กุยังจะเจออีกเรอะ
พอกุรับน้องมาสอน กี่วัน ๆ น้องแม่งก็ขี้ทุกวัน
กุต้องพาน้องไปล้างทุกวัน

แม่กุเคยบอกว่า
" ก็คิดจะเรียนเอกนี้แล้วนี่ ทุกอย่างก็ต้องทนต้องทำให้ได้ ไม่งั้นจะเรียนทำไม "
เอาสิวะ ... กุเสือกมาเรียนแล้วนี่ จะจบแหล่ไม่จบแหล่อยู่แระ
เรื่องแค่นี้ กุต้องอดทนให้ได้
ฮือ ๆ ๆ เหลืออีกตั้งเดือนกว่า ๆ ที่กุต้องรับน้องมาสอนที่บ้าน
กุจะรอดไม๊วะเนี่ย แง้ ๆ ๆ ๆ
หลับก็ฝันว่าน้องขี้ ตื่นก็กินขี้ เอ๊ย ... ตื่นก็คิดกลัวว่าน้องจะขี้
แม่ง หลอนน่าดู๊ ทำไมชีวิตต้องพัวพันกับเรื่องขี้ ๆ ด้วยวะ
โอ้ววว เยะเป็ด !

ภาษาเหนือวันละคำวันนี้ คำว่า อ่องอ้อ อ่านว่า อ่อง - อ้อ แปลว่า สมอง
แต่งประโยค รถจนกั๋นคนต๋ายเป๋นนัก น่องหันอ่องอ้อเขาไหลน่ากั๋วเจ่นเจ้า
แปลอีกทีว่ะ รถชนกันคนตายเป็นเบือ หนูเห็นสมองเค้าไหลโคตรน่ากลัวเรยค่ะ
บ๊าย ... บาย
นู๋บลิว เซเลอร์มูน ก๋ากั่น
ป.ล. ขออภัยหากท่านกำลังแดกข้าวอยู่ ช่วยไม่ได้ เสือกมาอ่านบล็อกกุเองนี่
ก๊าก ๆ ๆ สะใจแสด เยะเป็ด !
( เวลากุแดกข้าวแร้วนึกถึงเรื่องนี้ทีไร กุก็จะอ้วกแตกทุกทีสิวะ )

วันเสาร์ที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2549

เด็กเอ๋ย ... เด็กดี

เมื่อวันเด็กที่ผ่านมาที่คณะกุ มีการจัดงานวันเด็กกัน
โดยคณบดี คืออาจารย์ที่ปรึกษาของกุเนี่ยแหละ
แกอยากให้มีการจัดงานวันเด็ก แกบอกว่า
" ที่สถาบันของเราเคยมีงานวันเด็ก แต่ก็ไม่ได้จัดมานานแล้ว
20 กว่าปีแล้ว ครูอยากให้วันเวลาอย่างนั้นกลับมาอีกครั้ง
ในฐานะที่คณะเรา เป็นที่ผลิตครู ควรจะมีงานอะไร
ให้กับเด็ก ๆ บ้าง "
เออ ... กุว่าความคิดนี้ดี กุก็เห็นด้วย เพราะทุกปี ไม่มีใคร
จะรู้จักว่า คณะกุจะมีงานวันเด็ก
เอาล่ะวะ ... คราวนี้ล่ะ จะได้รู้กันซักที ไหน ๆ ก็เป็นที่ผลิตครูแระนี่
หลังจากประชุมนัดแนะกันป็นที่เรียบร้อยทั้งคณะ ว่าเอกไหนทำหน้าที่อะไร
เอกกุก็นัดประชุมกันทุกชั้นปี แร้วก็แบ่งหน้าที่กันไปทำ
ปี 2 มันก็มีหน้าที่คิดกิจกรรม ปี 3 ก็มีหน้าที่ จัดซุ้มจัดสถานที่
ส่วนพวกกุ ปี 4 ก็มีหน้าที่เย็บกระทง ใบเล็ก ๆ
ไม่ใช่อะไร อาจารย์กุ เค้าอยากแจกข้าวเด็ก โดยเย็บกระทงเอา
แทนที่จะให้ใส่กล่องโฟม พวกกุก็เอาวะ นั่งเย็บกระทง
หลังขดหลังแข็ง กุซึ่งไม่เค้ยไม่เคย ก็ต้องหัดเอา
เย็บเสียบ้าง เละบ้าง เพื่อนด่ากันชิบหาย กุก็ยังจะเสือกนั่งทำ
หน้าด้านหน้าทน เพราะอยากทำเป็น โฮะ ๆ ๆ ๆ
อีกอย่าง พวกกุเรียนวิชาเลือกเสรี " การแสดงละครสำหรับเด็ก "
เรียนกะอาจารย์คณะมนุษย์ฯ แร้วจารย์แกก็ส่งละครที่พวกกุแสดง
มาช่วยงานนี้ด้วย แมร่ง ... กุก็ทำหน้าที่หลายอย่างเรย
ไหนจะจัดงาน ไหนจะแสดงละครอีก เหอะ ๆ
แร้วให้กุไปเตรียมกับน้องปี 1 เอกดนตรี ให้มันทำเสียงให้
กุโคตรเซ็ง พวกมันแม่งไม่รับผิดชอบเหี้ยไรเรย กุโทรไปด่าตลอด
นัดแร้วก็ไม่มา บางทีก็ไม่ซ้อม เหี้ยไรของมัน กุเซ็งสัด
บอกให้มาซ้อม ๆ พอบอกว่าเด๊วน้องจะไม่ได้คะแนนจากจารย์นะ
มันก็บอกว่าไม่เป็นไรคับพี่ ไอ่เชี่ย !
น่าถีบ สุดๆ
กุไม่ง้อแม่งก็ได้ แสดดดดดด ก็เลยตามเลยไม่ใช่คะแนนกุนิ่
คะแนนกุมีแค่แสดงละคร ส่วนพวกทำเสียงอะไร ก็คะแนนพวกมัน
เรื่องของพวกมึง !
และแล้วก็มาถึงวันงาน ... ทุกเอกเตรียมตัวเตรียมซุ้มกันอย่างดี
มีบางซุ้มเอากลองมาตี ร้องเพลงกันสนุกสนาน
นี่ถ้ากุไม่ติดภาระ ไปแต่งตัวแสดงละครนะ
กุไปเต้นเย้ว ๆ กับเพื่อน ๆ เอกคณิตไปแระ ร้องเพลงเต้นกันมันส์น่าดู
แร้วการแสดงละครก็เริ่มขึ้น เพื่อนกุที่รับผิดชอบเป็น ทีมงาน
ออกไปพูดๆแพล่ม ๆ กันก่อนเป็นนางฟ้า นางสวรรค์อะไรกันก็ไม่รู้
usher : น้อง ๆ คะ ต่อไปนี้พบกับละครเรื่อง " แม่อึ่งอ่างกับวัว " ค่า
แร้วพวกกุก็ออกไป คงไม่ต้องบอกว่ากุแสดงเป็นอะไร
ตอนแรกเพื่อนแม่งบอกให้กุเป็นแม่อึ่งอ่าง
แต่กุไม่สามารถที่จะทำหน้าที่อันทรงเกียรติ นี้ได้
กุไม่ถนัด เป็นแม่ ทั้ง ๆ ที่หุ่นกุให้จะตาย
แต่เป็นแม่อึ่งอ่างมันแร่ดไม่ด๊าย เป็นลูกอึ่งอ่างได้แร่ดกว่า
ได้พูดเสียงแร่ด ๆ ทำตัวแร่ด ๆ มากกว่า
แม่อึ่งอ่างแม่งเรียบร้อย ไม่ใช่ตัวกุซักนิด กุเรยไม่แสดง ซะงั้น
แม่อึ่งอ่าง จึงตกเป็นของเพื่อนกุ โดยปริยาย แกม ๆ บังคับ
วะฮะ ๆ
เห็นอาจารย์ที่สอนกุ เค้าเดินออกมาบอกตอนที่พวกกุแสดงเสร็จว่า
อาจารย์ : เมื่อกี้ คณบดี ที่ปรึกษาพวกหนูน่ะ หัวเราะจนน้ำตาไหลเลยนะ
พวกกุ : โว้ว ขนาดนั้นเรยเหรอจารย์ อะไรจะตลกขนาดนั้น
นี่ตลกพวกหนู หรือตลกบทกันแน่
อาจารย์ : นั่นสิ ครูก็ยังสงสัยอยู่ ปะ ไปถ่ายรูปไว้หน่อยเร็ว เป็นอนุสรณ์
อืม ... มันก็น่าเก็บไว้เป็นความทรงจำอยู่หรอก นะ เป็นอึ่งอ่างเนี่ย
จากนั้นกุก็ไปช่วยน้อง ๆ เอกกุ ทำกิจกรรม กุก็ทำเป็นชวนเด็ก ๆ
ประมาณว่าหลอกเด็กมาว่างั้น ให้มันมาเล่นเกมที่ซุ้มกุ
แร้วก็แจกหนม แจกของเล่น ให้เด็ก ๆ ไป
กุเหลือบ ๆ ไปดูซุ้มของเพื่อน ๆ เอกอังกฤษ
กุเห็นมันมีหน้ากากเซเลอร์มูนด้วย กรี๊ด ๆ ๆ ๆ แร้วก็เห็นถุงเป็นรูปเซเลอร์มูน
กุก็เดิน ๆ เข้าไปบอกมัน
กุ : กรี๊ดดดด มึงมีเซเลอร์มูนด้วยเหรอ ขอกุนะ เก็บไว้ให้กุอันนึงน้า
เพื่อน : บลิว มึงโตแร้วนะ นี่เอามาแจกเด็ก
กุ : แต่กุชอบเซเลอร์มูนนี่ ไม่รู้แหละ เก็บไว้ให้กุอย่างละอันด้วยนะ
จากนั้นกุก็เดินหนีไป ปล่อยให้พวกมันสาปแช่งกุตามหลัง
อิอิ
กุทนต่อเสียงร้องเพลงของเพื่อน ๆ เอกคณิตไม่ไหว
กุจึงวิ่งไปเต้นกะพวกมัน แฟนของน้องรหัสกุแม่งเสือกตาดี
มองเห็นกุ มันเรยยิ้ม ๆ แซวๆ แร้วชี้ให้น้องรหัสกุดูกุเต้น
น้องรหัสกุก็ตะโกนถามประมาณว่า กุไม่อายใครเรยเหรอ
แร้วกุจะอายทำห่าไร มันถามยังกะไม่รู้จักกุ
เป็นพี่น้องรหัสกันมากี่ปีวะ ง่าวจริง
แต่กุก็ไม่สนว่าใครจะแซวไง เสือกเก็บกด อยากเต้นมานานแระ
ก็เรย เย้ว ๆ กับเพื่อนๆเอกคณิตกันซักพัก แร้วก็กลับมาซุ้มต่อ
จากนั้นก็ไปแร่ด ๆ ที่ซุ้มของเอกวิทย์ต่อ อิอิ เหมือนผีตองเหลืองเรยว่ะ
แม่งต้องย้ายถิ่นย้ายฐานไปตลอดเวลา
นี่ถ้าอาจารย์กุไม่มองนะ กุจะเต้นให้เอวหลุด แต่นี่จารย์มอง
กุเรยเกรงอกเกรงใจนิด ๆ เซ็งว่ะ ไม่เป็นตัวของตัวเองเล้ย
หรือว่านี่กุหน้าด้านเกินไปวะ ?
ถึงเวลาที่กุต้องไปทวงเซเลอร์มูนกุแระ
กุเรยเดินไปหาเพื่อนเอกอังกฤษ
ถามว่าเซเลอร์มูนอยู่ตรงไหนจะให้มันหยิบให้
แต่มันบอกว่า มึงก็หยิบเองเหอะ กุเรยบ่เกรงใจ
เรยหยิบ หน้ากากเซเลอร์มูนมาอันนึง กร๊ากกก
ตามด้วย ถุงใบเล็ก ๆ ที่มีหน้าเซเลอร์มูน ก่าเซเลอร์มาร์ อีกถุงนึง
น่าร๊ากจริง ๆ แหม่ ... กุเห็นมะค่อยมีเด็กมา
กุเรยกลัวเสียของ เรยหยิบ ๆ มา ถือว่าความเป็นเด็กในตัวแระหัวใจของกุ
... มันเรียกร้องก็แร้วกัลล์ ...
จากนั้นกุแวะ ๆ ไปซุ้มที่แจกข้าว ปรากฎว่า กระทงใบตองที่พวกกุ
ตั้งใจลงแรง ลงมือ ลงเงิน กันทำ กลับกลายว่าไม่ได้ใช้เหี้ยไรเรย
ดันกลายเป็น กล่องโฟมไปได้ไงมะรู้
สอบถามจึงได้ความว่า กระทงมันแห้ง ไม่สามารถเอามาใส่ข้าวได้
กุก็ว่าแล้ว ... กุคิดไว้ตั้งแต่เย็บกระทงกันแระ
แต่ทำไงได้ เป็นความคิดของอาจารย์ พวกกุก็ไม่กล้าขัดใจ
ขัดใจไป ก็โดนเด่ะ แค่มองตา ก็ยังไม่กล้าจะมองเรย
ซวย เสียดายก็เสียดาย แม่ง อุตส่าห์ทำกัน ตั้งแต่เช้า ยันเย็น
ทำกันเป็นพัน ๆ กระทง เน่าแดกซะหมดเรย เซ็ง
มีเด็ก ๆ บางคน พ่อแม่จูงมือมา กุแอบขำ
เห็นเด็กคนนึง มือนึงจับพ่ออยู่ อีกมือนึง พยายามที่จะเอาไอ๊ติมใส่ปาก
มันเป็นไอ๊ติมแบบเขย่า ๆ ถัง เค้าเรียกกันว่า ไอ๊ติมหลอด
พอพ่อเค้าเดิน เด็กก็กะลังจาเอาเข้าปาก ไอ๊ติมก็หลุดจากปาก
เพราะเวลาเดินมันไม่ได้สัมพันธ์ก่ามือ
กุกะเพื่อนขำกันแทบตาย เดินที ไอ่มือที่จะกินไอ๊ติม ก็เฉไปอีกข้าง
ไม่เข้าปากซ้ากที เออนะ ... น่ารักไปอีกแบบ
เด็กบางคน ใส่ชุด ไอ้แมงมุม กุก็เข้าไปแซว น่ารักโคตร
บางคนใส่ชุด ซูเปอร์แมน กุก็เรียก ๆ ให้มันเข้ามาเล่นซุ้มกุ
เด็กก็งง ๆ เรยวิ่งหนีพวกกุไปซะงั้น น่าตบจริง ๆ 
อุตส่าห์ทำตัวใจดีแร้วนะมึง !
แต่ไม่เป็นไรค่ะ บลิวรักเด็ก โฮะๆๆๆ มึงหนีได้หนีไป
กุจะไปวิ่งจับตัวมึงม้า
...
กุสังเกตว่า ทุก ๆ คน ไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่
ก็มีความสุขกันทั้งนั้น เด็กๆได้ของแจก
ผู้ใหญ่ ( กุ ) ก็แต๊บของแจก อิอิ
สุดท้าย งานก็เป็นไปอย่างเรียบร้อย
อาจารย์บอกพวกกุว่า ปีนี้คนยังไม่ค่อยรู้จักกันมาก
แต่ปีหน้า คงจะยิ่งใหญ่ แระไปได้ดีกว่านี้
กุก็ดีใจ กุอยากบอกทุกๆคนว่า
จริง ๆ แร้ว วันเด็ก ไม่จำเป็นที่ต้องให้เด็กไปเที่ยวได้อย่างเดียว
ผู้ใหญ่ก็เที่ยวได้ เพราะทุกคน ก็มีความเป็นเด็กอยู่ในตัวเองอยู่แระ
แต่ทำเป็นซ่อน ทำเป็นแอบ กุก็ไม่เข้าใจว่าจะแอบหาพ่อง
หรือยังไง บางทีปลดปล่อยความเป็นเด็กกันซะบ้าง คงจะดีหรอกนะ
แต่ไม่ใช่ให้ปล่อยความเป็นเด็ก เรยไปแอบปี้เด็ก อันนี้ก็จังไรเกินไป
ไม่ดีนะคะ ไม่ดี คุกนะคุก
จากเพื่อนที่หาว่ากุแต๊บของแจกเด็ก มันก็กลายมาแต๊บกันเอง
เพราะแจกเด็กไม่หมด มันเหลืออีกบานเบอะ
แหม่ ทีตอนนั้น ล่ะว่ากุแอบจิ๊ก อีเวร
จารย์เรยบอกให้เพื่อนกุ อีกคน เอาไปแจกเด็กที่ถูกทิ้ง
ที่บ้านอะไรก็ไม่รู้ กุจำบ่ได้แระ ก็เป็นความคิดที่ดีแฮะ
งานนี้มีความสุขแร้วก็เหนื่อยสุด ๆ โคตร ๆ
ก่อนกลับบ้าน กุก็เข้าประชุมกับอาจารย์ แร้วก็เพื่อนๆน้องๆทุกๆซุ้ม
ว่ามีปัญหาอะไรกันบ้าง
พอกุกลับถึงบ้าน กุก็หลับเป็นตาย ไม่พูดไม่จากับใครทั้งนั้น
เหนื่อยชิบหายเรย
ภาษาเหนือวันละคำวันนี้ คำว่า ผะเลิด อ่านว่า ผะ - เลิด แปลว่า ลื่นล้ม
แต่งประโยค ตะวานี้ฝนมันต๊กนัก น่องเลยผะเลิด เจ๊บเจ่น
แปลอีกทีว่ะ เมื่อวานนี้ฝนตกหนัก นู๋เรยลื่นล้มเจ็บโคตร
บ๊าย...บาย
นู๋บลิว เซเลอร์มูน ก๋ากั่น
ป.ล. วันนั้นทั้งวัน กุท่องคำขวัญวันเด็กแทบตาย มาถึงวันนี้
กุก็ยังจำไม่ได้เรย น่าอายสรัด อายเด็ก ว่ะแม่ง

วันพุธที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2549

เรื่องของกุ ... ในรอบปี '48

โอวววว ... ถึงเวลาที่กุต้องรวบรวมสิ่งที่ผ่าน ๆ มา
แร้วอัดแน่นบีบเต็มไฟล์ เหมือน zip หรือ rar แร้วเหรอวะ
สิ่งที่เกิดมามีทั้งดีทั้งเหี้ย ก็หมุนวนเวียนกันไปตามเรื่องตามราว
มันก็คงจะเหมือนกับโลกที่หมุนนั่นแหละมั้ง
ร่างกายคนมันก็เกิดมาจากธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ มันคงขึ้นอยู่กับโลกสิน่า
และชีวิตมันก็คงจะไม่เรียบเหมือนโดนรีดจนเป็นกลีบโง้ง
กุยินดีที่สุด
เรื่องที่ 1
ในที่สุดกุก็ทำได้ริ้ววว กุสามารถเลื่อนชั้นขึ้นมาอยู่ปี 4 ได้
เป็นไปได้ไงเนี่ย สมองกลวง ๆ กะหลั่ว ๆ แบบกุ จะมาถึงปีสุดท้าย
โอวววว กุเกิดมาเพื่อสิ่งนี้จริงๆ การี๊ด การี๊ด
เรื่องที่ 2
ทั้งการทดลองสอนตลอดระยะเวลา เดือนครึ่ง
ณ บางกอก
แระการฝึกสอนเต็มรูปแบบความเป็นควาย เอ๊ย ! ครู ของกุ
ตลอดระยะเวลา 5 เดือน พิดโลก
ผ่านไปแล้ว มันผ่านแล้ว ผ่านมา เอ๊อ ... เออ ผ่านไป
ไวเหมือนโกหก ตอแหล แต่มันก็ผ่านมาแร้วจริง ๆ
ยังกะฝันไป ครั้งนึงกุได้เอาตีนไปเหยียบไปย่ำแผ่นดินเมืองฟ้าภมร

แป๊บ ๆ กุก็มาซิ่งมอไซค์จนเมื่อยก้นเพื่อไปสอนภาษาไทย
( ซึ่งกุไม่ได้เรียนเหี้ยไรเกี่ยวกับเอกภาษาไทยเรย
มีความรู้พื้นฐาน กะต๊อยเดียว )
อีกอำเภอนึงที่ห่างจากตัวเมืองพิดโลก ประมาณ 20 กว่าโล
แหม่ ... อิห่า ... ทำไปได้นะกุ
เด็กๆติดกุกันงอมแงม ยังกะกุเอายาบ้าให้เด็กแดก
เรียกกัน " ครูบลิว ๆ " กันไม่ขาดปาก
รู้สึกดีใจ และมีเกียรติเป็นอย่างยิ่ง ในประสบการณ์ของชีวิตกุ
กุหลอนที่สุด
เรื่องที่ 1
ตอนทดลองสอน มีข่าวว่าก่อนหน้าที่กุ
กับเพื่อน ๆ จะไปถึงโรงเรียนนั้น มีเด็กผู้หญิง
ผูกคอตายในห้องน้ำที่พวกกุไปอาบทุกว้าน ... ทุกวัน
สัดดอก ! หลอนชิบหายเรย ทำไมจะต้องรับรู้เรื่องราวแบบนี้ด้วยวะ
กลัวจนแม่งเยี่ยวแทบราดใส่ที่นอน แม่งน่าเกลียดโคตร
นอนหลับไม่ลง กระวนกระวาย นอนคลุมโปง โอ๊ย ... อุบาทว์ที่สุด
เรื่องที่ 2
เมื่อวันที่ 3 ธ.ค เป็นวันเกิดย่ากุ
ก็ไปนัดเจอกันกับญาติ ๆ ที่แพร่ ที่ " คุ้มเจ้าหลวง "
เป็นคุ้มที่เจ้าหลวงเมืองแพร่ในสมัยก่อนได้อยู่
พูดง่าย ๆ ถ้าคนโง่ ไม่เข้าใจ ก็ประมาณว่า เป็นจวนผู้ว่าสมัยก่อน
ว่างั้นเหอะ ! อุ๊ย ... เบื่อจริงๆ พวกง่าว ๆ เนี่ย
อิ๊อิ๊อิ๊
เรื่องราวความเฮี้ยนต่าง ๆ นานา เข้ามายังโสตสัมผัสทั้ง 5 ของกุ
( มันมีไรบ้างวะ กุลืม เออ ช่างหัวแม่ง คิดเองแร้วกัน )
ไม่ว่าจะได้รับฟังจากการบอกเล่าของไอ่ดุ๊กดิ๊ก
ที่เป็นลูกสาวของอา เพราะโรงเรียนมันอยู่ตรงข้ามกับคุ้มเจ้าหลวง
แร้วมันก็ได้ยินคำบอกเล่ามาอีกที มันเคยเข้าไปในคุ้มกับเพื่อนมาก่อน
อีกอย่างมันก็เคยอ่านหนังสือพิมพ์ด้วย
เคยลงหน้า 1 ถึงความเฮี้ยนสุด ๆ ด้วย
ซึ่งก็เหมือนเดิม กุไม่เคยรู้เรื่องเหี้ยไรมาก่อน แร้วเสือกมารู้ทีหลัง
อีกแร้ว เยะเป็ด ! กุคงเกิดมาเพื่อสิ่งนี้จริง ๆ สาดดดด
ฟังจากน้องยังไม่พอ กุมาอ่านคู่สร้างคู่สม ( ที่อากุซื้อ กุไม่ซื้อ )
ก็พูดถึงเรื่องราวความเฮี้ยนของคุ้มเจ้าหลวงนี่เหมือนกัน
วู้ พิมพ์ไปพิมพ์มา รู้สึกเสียวสันหลังวาบ ๆ แฮะ
เหมือนเริ่มจะสติแตกอีกแร้วสิกุ เบี่ยจริงๆ
พอได้ขึ้นไปสัมผัสกับคุกใต้คุ้ม แระบรรยากาศภายในคุ้ม
ความหลอนกุก็เริ่มจะแสดงอาการเป็นระยะ แต่ก็ยังไม่เท่าไหร่
เมื่อกลับมาบ้านนี่สิ แม่งเอ๊ย นึกสภาพควายนอนคลุมโปง
อยู่ในผ้าห่ม นอนก็นอนไม่หลับ คิดวนๆเวียนๆ กลัวผี
รูปภาพอะไรต่อมิอะไร ก็จำติดตา จนนอนไม่หลับ
ฝากบอกท่านผู้ที่ติดตามบล็อกกุไว้ด้วยว่า
ใครคิดอยากจะทำหนังผี มาจ้างกุได้
กุจะบอกวิธีการที่คิดว่าน่ากลัวเหี้ย ๆ ให้ท่านได้นะคะ
รับรองหนังผีของท่าน แม่งรายได้กระฉูด
เพราะความน่ากลัวที่กุคิดขึ้นเอง ตามจินตนาการของกุล้วน ๆ
ไม่ว่าผีจะมารูปแบบไหน แลบลิ้นปลิ้นตายังไง
สุดยอดของความหลอนแห่งปี หนังของท่านจะได้รับการกล่าวขวัญ
เด็กมาดูจะนอนไม่หลับ ผู้ใหญ่ดูก็เยี่ยวราด
วุ้ย พูดแร้วหลอนว่ะ ถ้าไง ใครสนใจติดต่อกุนะคะ กร๊ากกกก
กุคิดว่าเป็นเรื่องที่โคตรจะเหี้ยที่สุด
นายก ท. จะให้ครูสังกัดกับพวก อปท.
ไม่มีห่าไรจะคิดแร้วไงวะ ที่คิดเอา
การศึกษากับการเมืองมาผนวกเข้าด้วยกัน
สัดหมาที่สุด ยากส์ที่กุจะรับได้
ทุกวันนี้ เด็ก ๆ ก็ สมองบรรลัยกลวงกันหมดแระ
ยิ่งมาโดนงี้อีก กุล่ะอยากถีบหำ !
จริง ๆ แร้ว จะมีคนบอกว่า นายก ท. ไม่ผิด
ใช่ มัน ถูกต้อง ถ้าจะบอกว่า ไม่ผิดว่าไม่ใช่คนออกกฎหมายนี้มา
ต้องโทษตั้งแต่รัฐบาล คุณ ช. ( เอ้อ เรื่องนี้ต้องพิณาอีกครั้งนึง )
ที่เสือกออกกฎหมายนี้ แต่ที่พวกครูเกลียดเข้าไส้
ก็เพราะ เมื่อ นายก ท. สมัยหาเสียง เสือกบอกว่าเรื่องนี้เก็บไว้ก่อน
ครูจึงเทให้ หมดเลย หมดใจ ให้กับ นายก ท.
เมื่ออำนาจตกอยู่ในมือ มันก็เหมือนกับกอลลั่มได้แหวน
อยากครอบครองทุกสิ่งทุกอย่าง
รวยกันล้นฟ้า ก็ไม่รู้จักอิ่ม จักพอ ก็ไม่เคยใส่ใจคำพูดของตัวเองอีกต่อไป
ไม่มีเงินซื้อของให้เด็กก็โทษครู เอาเงินตัวเองออกก็ครู
เพื่ออะไรเนี่ย ? คนหัวควย ๆ ไม่เข้าใจ ก็ด่าครู ๆ ๆ ๆ
พ่องตาย ... แร้วที่อ่านออกเขียนได้นี่ เคยนึกบ้างมั้ย
ว่าใคร ที่ทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างให้ลูกศิษย์
จนแร้วจนอีก พ่อแม่กุ เอ้า จนกันเข้าไป ฮิ้ววววว
อิพวกปอบที่หน้าบานกันอยู่แร้ว ก็ยิ่งบานเป็นกระด้งเข้าไปใหญ่
ค่านิยมแบบเหลี่ยม ๆ เริ่มครอบงำประเทศชาติแร้ว อูววววว
( ประเทศไทย ) ของรัก ... ของข้า
( กรุณาทำเสียงสยิวกิ้ว เหมือนกอลลั่ม )
เปลืองตัวที่สุด ( ไม่ยักกะได้ตังค์ )
เรื่องที่ 1
กุไปบ้านอินุ่น แร้วโดนเด็กจัญไร แอบดูตอนอาบน้ำ
ดีนะที่ไม่แอบดูตอนกุขี้ ไม่งั้นล่ะมึง จาเอาขี้ปาหน้ามึง !
ไม่รู้ว่าได้ดูส่วนไหนไปบ้าง ช่างมึง ! คราวนี้เอาผิดไม่ได้
คราวหน้าถ้าแม่งมาแอบดูกุอีก มึงอดปี้สาวแน่
เวรเอ๊ย ถ้ากุไม่เอะใจ ป่านนี้
คงชักว่าวจนเสร็จไปแร้ว สาด
แม่ง ไม่กล้าไปบ้านอินุ่นอีกเรยกุ เศร้า ฮือ ๆ ๆ
เด็กจัญไร เด็กห่า สันดานหมา เหี้ย ๆ ๆ เชี่ยควาย กรี๊ดดดด
เรื่องที่ 2
กุโดนแอบดูที่บ้านพักครู ที่โรงเรียนที่ไปฝึกสอน
 แม่งเอ๊ย นี่คือเหตุผลว่า
ทำไมกุจึงต้องทนขี่มอไซค์จนเมื่อยก้นไปสอนเด็ก ตั้ง 20 กว่าโล
ขืนกุอยู่บ้านพักนั่นต่อไป คราวนี้ คงโดนปี้ จนคลอดลูกแร้วมั้ง
สาด ทำไมต้องห่าแดกขนาดนี้ ไม่น่าเชื่อว่าจะมีวันนี้เป็นของตัวเอง
เคยได้ยินแต่เรื่องคนอื่น ไม่น่าเชื่อว่า กุจะมีคนแอบดู
ตั้ง 2 ครั้ง 2 ครา ( ที่จับได้ แต่ที่ไม่เอะใจไม่รู้มีมั้ย )
กุคงเกิดมาเพื่อสิ่งนี้จริง ๆ อีกแร้วเหรอวะ ?
-"-
รู้สึกเริ่มฉลาดมากขึ้นที่สุด
เรื่องที่ 1
กุสามารถทำโปรแกรม movie maker ได้
อุวะ คนอย่างอิบลิวเนี่ยนะ ทำได้
มะ มะ มะ ม่ายน่าเชื่อ ฮิฮิ้ววววววว
แต่จงเชื่อว่ากุทำได้ ( ได้นิดหน่อย แต่ดีใจเหมือนมีฮาเร็มผู้ชาย )
จริง ๆ แร้วไม่ได้น่าตื่นเต้นอะไรเล้ย
สำหรับคนอื่น แต่สำหรับกุ ตื่นเต้นอย่างแรง
เพราะกุมะค่อยทำห่าไรเกิดขึ้นเป็นชิ้นเป็นอัน
เหมือนชาวบ้านชาวเมืองเค้า
กุเรยเกิดอาการดีใจ โฮะ ๆ ๆ ๆ ๆ I can do กุ ( ก็ ) ทำได้ นะเนี่ย
กริ๊วววววววว กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดด กร๊าดดดด
แต่กุคงต้องฝึกไปอีกเยอะ ๆ เพราะยังห่วยแตก อุบาทว์สัดหมาอยู่
อย่ามาหัวเราะเยาะกุ๊ เด๊วกุตบ
ถ้ากุเก่ง อย่ามากราบกุละกัลล์ เชอะ !
เรื่องที่ 2
กุส่งงานอาจารย์ทันเวลาที่กำหนด
เอ่อ ... มันก็ไม่ใช่ทั้งหมด แต่กุก็ดีใจวะ
ปกติ กุส่งเลทแม่งตาหลอด หดหู่เป็นอย่างยิ่ง
แต่ที่ผ่านมา กุเริ่มส่งงาน ได้เร็วขึ้น งิงิงิ เอาวะ สู้ๆ
แระเวลาที่กุได้เรียนวิชา การแสดงละครสำหรับเด็ก
ซึ่งเป็นวิชาเลือกเสรี กุก็ทำคะแนนได้ดี ถ้าเกรดเหี้ยนะ แม่ง กุจะด่า
( ด่าในใจ แม่งถ้าด่าต่อหน้า กุก็กลัวเซร่ อะโด่ )
กุเครียดที่สุด
เรื่องที่ 1
ไม่มีเรื่องอะไรที่น่าเครียดไปมากกว่าเรื่องความอ้วนอีกแล้ว
ในชีวิตกุ ว่าจะลดๆ แม่งลดไม่ได้ซ้ากที
โว้ย พิมพ์แร้วยังเครียดอยู่ อย่าๆ อย่าให้กุได้พิมพ์เยอะกว่านี้
ไม่ไหวแร้ว กรี๊ดดดดดดดดดดดด น้ำหนักขึ้น ไม่มีทีท่าว่าจะลด
เชี่ยๆๆๆๆๆๆ กะกุชอบแดรกนี่ แง้ๆๆๆ
อิพวกชอบยัดห่ายิ่งกว่ากุแม่งไม่อ้วนวะ
ทีกุจะแด่กไรนิดไรหน่อย แม่งให้กุอ้วนเรยเชียว
สรัดๆๆๆๆๆๆ งี้ไม่ให้กุเครียดได้ไง
ความเครียดทำให้กุอ้วน แต่ความอ้วนก็ทำให้กุเครียดเช่นเดียวกัน
เรื่องที่ 2
เพลงประจำบล็อกถ่อยของกุหายไป มันนึกอยากจะมามันก็มา
มันนึกอยากจะหายมันก็หายไป
ถ้าเปรียบเทียบกับเมนส์มา เป็นแบบนี้ กุคงสันนิษฐานว่ากุท้องไปแระ
ทำให้บล็อกกุไม่มีความเป็นตัวเองเรย
อิเพลงเซเลอร์มูนของกุ๊ มึงกลับม้า แง้ ม่ากี๊ ยังฟังได้ ตอนนี้เดี้ยงอีกแร้ว
ใครรู้บอกกุทีค่ะ กุจะร้องไห้แร้ว ฮือๆ
กุเหงาที่สุด
เรื่องที่ 1
เวลาประมาณ 5 โมงเย็น ถึง 2 ทุ่ม จะเป็นเวลาที่กุหดหู่ใจ
แระว้าเหว่มากที่สุด ไม่รู้เป็นครวยไร แต่ก็เป็นไปแบบนี้ตลอดเวลา
ไม่ว่าจะแก้ปัญหาด้วยการเช่าหนังมาดู ไปบ้านเพื่อน เล่นเน็ท หรือแด่ก
กุก็ไม่หายเหงา แต่ก็มีบ้าง ถ้าได้แด่ก แร้วดูหนังไปด้วย
กุจะมีความสุขขึ้นมามากๆ แต่ก็ต้องเครียดด้วยเรื่องอ้วน ส้นตีน !
เรื่องที่ 2
เวลาที่กุได้กลับแพร่ เป็นช่วงเวลาที่กุมีความสุข
ที่กุได้อยู่กับเครือญาติ ได้อยู่บ้านที่เคยอยู่
แต่เมื่อไหร่ ที่กุต้องกลับมาพิดโลก
วันนั้นทั้งวันแระทั้งคืน จะเป็นวันที่กุโคตรจะเหงา
อยากร้องไห้ยิ่งนัก ไม่อยากกลับมา แต่ก็ต้องกลับ
ด้วยหน้าที่ ที่จะต้องเอาขี้เลื่อยมาใส่หัว ไม่ให้มันกลวง
ต้องมาเรียนๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ เรียนให้มันจบๆ
เฮ้อ ... คิดถึงที่บ้านว่ะ กุบ่อยากกลับมาเล้ย
ไม่อยากเจออะไรที่ไม่ชอบ ไม่อยากเจออะไรที่ไม่มีความสุข
อยากอยู่ที่แพร่ กุอยากอยู่แพร่ แง้ๆๆๆๆๆ
กุมีความสุขที่สุด
เรื่องที่ 1
แด่ก เป็นเรื่องที่กุมีความสุขมาก ได้แด่กอะไรที่ตัวเองชอบ หรืออยากจะแด่ก
แต่ก็เป็นความชิบหายของกุ ที่ทำให้เกิดปัญหาการ ปลิ้น ได้
" รับอึ่งอ่างพองลมอย่างกุ ไปอ้อนเล่นบ้างไม๊คะ ? "
เรื่องที่ 2
การที่กุได้อยู่กับครอบครัวที่แสนจะอบอุ่น
บางครั้งกุจึงรู้สึกรับไม่ได้ ที่ครอบครัวกุเกิดความเปลี่ยนแปลงเล็กๆน้อยๆ
คนอื่นอ่านคิดว่าเป็นการดัดจริต บิดๆเบี้ยวๆ
แต่มันก็เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน ( อย่าคิดว่ากุถ่อย แร้วร้องไห้ไม่เป็น )
ไม่มีอะไรจะมาทำให้กุรู้สึกมีความสุข เท่ากับการได้อยู่กับครอบครัว
อันเป็นที่รักได้อีก ( ยกเว้นเรื่องแดรก 1 เรื่อง )
ฮรี่ๆๆๆๆๆๆ
เรื่องที่ 3
เวลาเครียดๆ กุจะชอบไปเล่นกับเด็ก เวลาอยู่กับเด็กๆ
ทำให้กุรู้สึกปลอดโปร่ง เรื่องเครียดๆ ก็เบาบางลง
เด็กๆไร้เดียงสา เมื่อไหร่ที่กุได้เข้าไปสัมผัส
ไม่ว่าเด็กเหล่านั้นจะดื้อจะซน น่าตบยังไงก็ตาม
มันก็ยังมีความน่ารักในแบบฉบับของพวกมันแหละน่า
กุจึงรู้สึกมีความสุข แระถ้าเครียด ก็จะหาเด็กมาแด่ก เอ๊ย !
กุจะหาโอกาสไปหยอก ไปเล่น กับเด็กๆ อูวววว มีความสุขจริงๆ
ลั๊ลลา
กุตอแหลที่สุด
กุไปเจาะซาดือมา ฮิ้วววว ครั้งแรกกุก็ว่าเจ็บแร้วนะ
ร้องอ๊อยยยย แต่ก็ไม่เท่าไหร่ พอกลับบ้านนี่เสะ
ตึงแผลมาก เจ็บๆๆๆ ต้องนั่งแบบผู้ดีแสด ดดดด
นั่งตัวตรง เชิดๆ แอ่นหน้า ที่จริงๆแร้ว กุเจ็บแผลตะหาก
ก๊าก ทุเรศชิบเป๋งเรยว่ะ ก๊ากๆๆ ขำตัวเอง
เวลาก็ผ่านไป แผลกุก็ไม่มีทีท่าว่าจะหาย แถมยังรู้สึกเจ็บอยู่ตลอดเวลาอีก
กุชอบส่องดูที่กระจกแร้วจะเห็นว่า ไอ่พี่คนนั้นมันเจาะให้เบี้ยว
กุเรยคิดไปคิดมา เอาวะ กุไปเจาะใหม่ดีกว่า
ว่าแร้วก็ไปบิ๊กซี ไปบอกพี่คนที่เคยเจาะให้กุว่าเค้าเจาะเบี้ยว
เค้าก็เอาจิลออกให้กุ แร้วบอกกุว่ารอให้แผลแห้ง แร้วมาเจาะใหม่ ฟรี !
ดูท่าทางพี่แกจะมะค่อยเชื่อเรยว่า เป็นฝีมือพี่แกเจาะเหรอ
แม่งถามกุจริงว่า " นี่พี่เป็นคนเจาะเหรอ ? "
กุก็ตอบว่า " ค่ะ ก็พี่นั่นแหละ "
เหมือนพี่แกจะแบบว่า อะไรวะ นี่ฝีมือกุเหรอ ประมาณนั้น
กุอยากบอกว่า พ่องดิ้ ถ้าไม่ใช่มึงแร้วจะใคร ค้วยยยยย
พอไปเจาะรอบสองนี่สิ เสียงกุเหมือนควายออกลูกเรย
มันเจ็บมาก เจ็บแบบสุดๆ เจ็บชิบหายวายป่วง
กุร้องเสียงหลงโอ๋ววววววววววววววววววววววววววววววววว
แต่เวลากลับบ้านมา แผลมันตึงแป๊บเดียวแฮะ ไม่เหมือนคราวก่อน
แต่แผลเก่าอ่ะเด้แม่ง อุบาทว์ว่ะ เหมือนแผลคนผ่าตัด
เป็นรอยๆ ช้ำๆ อยู่ด้วย
การเจาะซาดือ กุคิดว่ามันเป็นความสะใจเล็กๆของกุ อย่างบอกไม่ถูก
มันก็ไม่เชิงว่าซาดิสม์ แต่กุว่ามันสวยดี บอกไม่ถูก
ถึงพุงกุจาปลิ้น แต่กุก็อยากเจาะเว้ย กริ๊วววว
ตอนนี้กุรู้สึกว่ามันเจาะให้กุเบี้ยวอีกแระ แม่ง สัดนี่ ตอนแรก
กุคิดว่าแม่งไม่เบี้ยว ให้ใครดูก็ว่าไม่เบี้ยว แต่พอแผลเริ่มแห้งๆ
กุรู้สึกว่าส่องกระจกดูแร้วมันเบี้ยวอีกแระ เอาไงแน่วะ มันตาเขเหรอ
เชี่ยนี่ กุเจ็บแร้วนะ แม่ง ไม่จงไม่เจาะใหม่แระ ปล่อยแม่งงี้แหละวะ
ไว้หุ่นดีๆ กุจะโชว์ ก๊ากๆๆๆๆ จะมีวันนั้นของกุเหรอเนี่ย
ถ้าได้โชว์จริงๆ ก็คงไม่มีใครมาจ้องมองว่าน้องดือของกุเบี้ยวหรอกนะ
เพื่อนบางคนบอกว่าเบี้ยว บางคนบอกว่าไม่เบี้ยว
แม่ง เอาไงแน่วะ ปล่อยแม่งๆๆๆๆๆๆๆๆ
เชอะ !
อุ๊ย ... ตอแหล
โฮะๆๆๆๆๆ
ส่งท้ายปีเก่า
ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาติดตามอ่านบล็อกของกุ
เข้ามาแบ่ง เข้ามาเติม เข้ามาทำเหี้ยไรก็ได้ที่บล็อกกุ
แระสำหรับท่านที่ชอบบอกกับกุเหลือเกินว่า
กุน่าจะไปเขียนหนังสือขาย กุก็เคยคิดเหมือนกัน
แต่กุคิดว่าหนังสือจะถ่อยมากไปไม่ได้ แระกุคิดว่า
ชีวิตของผู้หญิงที่ไม่ได้มีอะไรโดดเด่นอย่างกุ ไม่ได้เก่งอะไรเรย
จะมีคนสนใจสุดๆ แร้วควักกระเป๋าจ่ายตังค์เพื่อซื้อหนังสือ
ของกุหรอกค่ะ

แต่ก็ต้องขอบคุณด้วยใจจริงค่ะ
ไม่คิดไม่ฝัน ว่าจะมีคนติดตาม ( มีคนบอกว่าชอบติดตามกุบ่อยๆ )
ทั้งๆที่กุก็ไม่ได้มีอะไรผิดแผกแตกต่างจากผู้หญิงคนอื่น
อาจจะขี้บ่น คิดมาก จู้จี้ ปากม๋า หรือนอยด์แด๊ก อยู่ตลอดเวลา
( เนี่ยนะ เหมือนคนอื่น ? )
แต่กุก็มาขี้ลงส้วม ทำให้บางครั้งก็มีคนที่ชอบเสือกเรื่องชาวบ้าน
ได้มาอ่านเป็นบางครั้ง โว้ว กุเกิดมาเพื่อสิ่งนี้จริงๆ ( ไม่เกี่ยว )
ถึงกุจะเป็นคนไม่มีสาระ ไม่มีแก่นสาร ไม่มีห่าไรซักอย่าง
แต่ก็อยากอวยพรทุกๆท่านจากใจดวงน้อยๆ ของอิถ่อยหุ่นล่ำว่า
" สวัสดีปีใหม่ค่ะ เรื่องสัดม๋า ไม่ต้องเก็บมาคิด คิดแต่ปัจจุบัน
ร่างกายแข็งแรง ไม่เจ็บไม่ป่วย นะโมพุทธายะ "
ภาษาเหนือวันละคำวันนี้ คำว่า แซ่ม อ่านว่า แซ่ม แปลว่า เสือก
แต่งประโยค ป้าคนนี่หยังมาแซ่มแต้แซ่มว่า ไผย่ะเป๋นจะไดกะบ่ต้องมาว่าได้ก่อ
แปลอีกทีว่ะ อิป้าคนนี้ทำไมเสือกจังวะ ใครจะเป็นไงไม่ต้องมาว่าได้ไม๊เนี่ย
บ๊าย...บาย
นู๋บลิว เซเลอร์มูน ก๋ากั่น
ป.ล จริงๆแร้วทำ ส.ค.ส. เป็น โปรแกรม movie maker ขึ้นมา
แต่กุก็ไม่สามารถจะอัพขึ้นเว็ปได้ เน็ทกุถ่อยมากๆ ฮือๆ
อดอวยพรเรย เวรแต้ๆ เอาวะ ไว้อัพขึ้นเว็ปได้ก่อนเหอะ กุจะใส่ลงในบล็อกเน้
กรี๊ดดดดดดดดดดดดด
( มีเรื่องตั้งเยอะแยะ แต่นึกออกตอนนี้ก็แค่นี้ หิหิหิ )

วันอังคารที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2548

เพียงชายคนนี้ ... ที่พิเศษ


โอ๊ะ ... วันนี้กุตื่นมาด้วยความเมื่อยล้า
ก็จะทำไงได้วะ เมื่อคืนกุเล่นกลัวผีซะหมดทั้งคืน
กุเรยมานอนได้อิตอนเช้า
กร๊ากกก
หน้าเหี้ยๆ ก็ยังเสือกกลัวผีอีก ตอนแรกคิดไว้ว่า
วันนี้กุจะตื่นมาไหว้พ่อแบบสวยๆ แต่ไม่ทัน
พ่อก่าแม่กุไปร่วมพิธีถวายพระพรตั้งแต่เช้าตรู่
ขนาดอิโบว์น้องกุมันยังบอกว่า วันนี้พ่อกะแม่ไปกันเช้าแสดด
มันก็ไม่ทันเช่นกัน ก๊าก สมหน้ามึง
ตื่นก่อนแต่เสือกบ่ได้กราบตรีนพ่อ คริ คริ คริ
( จริงๆแร้ว กุสันดานกว่าแต่เสือกสมหน้าคนอื่นอีก )
กุคิดว่าวันนี้พ่อก่าแม่ต้องใส่ชุดปกติขาวไปแน่ๆ
ชุดปกติขาวคือความใฝ่ฝันของกุเพราะมันเท่ห์แสดๆเรย
ในความรู้สึกของกุ นี่คืออีกเหตุผลนึง
ที่กุอยากเป็นข้าราชการเพราะกุอยากใส่ชุดปกติขาว
อย่างพ่อกะแม่บ้าง
( แต่คงบ่มีปัญญา กุโง่ จะสอบบรรจุได้เป่าบ่ฮู้ )
แต่กว่าพ่อกุจะได้ใส่ชุดเท่ห์ๆแบบนี้ได้
พ่อกุก็ต้องฟันฝ่าอุปสรรคมานักต่อนัก ครอบครัวของพ่อและแม่กุ
บ่ได้สวยเริ่ดหรู ฟู่ฟ่า ไฮโซ โอ้ว ... ลัลล้า
เหมือนครอบครัวบางครอบครัว
ปู่ย่าตายายของกุ ล้วนแล้วแต่เป็นชาวนาทั้งสิ้น
ทำนากันไปเหอะ หลังขดหลังแข็งก็ต้องทำ
ย่ามีลูกทั้งหมด 6 คน ตายในท้อง 1 คน ตายตอนเด็กๆ
ด้วยโรคคอตีบอีก 1 คน น่าสงสารชิบหายเรย
ถ้ากุอยู่ในเหตุการณ์นั้นกุต้องร้องไห้แน่ๆ
เด็กดิ้นพราดๆไม่มีใครช่วยอะไรได้เรย รันทดโว้ย
อ้ากกกกกก
พ่อเป็นผู้ชายคนเดียวในบรรดาลูกๆที่เหลือของย่า
พ่อกุกับอาคนสุดท้าย ได้เรียนหนังสือ จนจบ ม. 6
ส่วนป้ากับอาผู้หญิงอีกคนนึง ได้เรียนไม่เท่าไหร่ก็ออกหางานทำ
เพราะไม่มีเงิน
( แต่ตอนนี้ได้เรียน กศน. จนจบ ม. 6 ได้นานริ้ว ฮิ้ววว ดีใจด้วยจัง )
พ่อกุไม่เค้ย...ไม่เคย ได้เรียนอะไรที่เกี่ยวกับการเป็นครูเรยแม้แต่น้อย
ตอนแรกพ่อก็เรียนเหมือนชาวบ้านชาวเมืองเค้าทั่วไป
แร้วตอนนั้นก็มีโรงเรียน การช่างชาย
ซึ่งถ้าเรียกติดปากสมัยนี้ก็คือ เทคนิคฯ
พ่อกุเรียนก่อสร้าง จึงมีฝีมือในการเขียนแบบบ้านอยู่เล็กๆน้อยๆ
น่ารักจริงๆ พ่อกุ อิ๊อิ๊อิ๊
แต่ก็เรียนไม่จบ ด้วยการเงินที่ฝืดเคือง
พ่อจึงไปแสวงหาโชคที่บางกอก ไปเป็นกระเป๋ารถเมล์อยู่พักใหญ่ๆ
ช่วงนั้นพวกวัยรุ่นส้นตีนก็มีเหตุต้องตีกันบ่อยๆ
เพื่อนของพ่อก็เลยพาพ่อกุไปสักยันต์ โอ้ว เย่ มันเท่ห์มาก
พ่อกุสักยันต์เพื่อให้หนังเหี่ยว เอ๊ย ! เพื่อให้หนังเหนียว
เพราะมีเรื่องกันบ่อยๆ อาจจะตายได้
พ่อกุสักรูปเสือเผ่นที่หน้าอก หูยยยย สุดยอดริ้ววว
คงเจ็บน่าดูแต่ก็ท่าทางจะขลัง
แต่พ่อก็ไม่ได้สักยันต์ถึงขนาดบ้าบอคอแตก สักแม่งทั้งตัวขนาดนั้น
พอพ่อเลิกเป็นกระเป๋ารถเมล์แล้ว
ด้วยความที่อยากได้งานทำที่มั่นคงพ่อกุจึงไปสมัครเป็นทหาร
เพื่อหวังว่าจะได้เงินเดือนดีๆ ได้เป็นข้าราชการ
แต่ก็ไม่ได้เป็น เพราะช่วงนั้นเค้าไม่รับคนที่สักยันต์
พ่อกุเรยแห้วแด๊กอยู่พักนึง ด้วยความที่พ่อกุ
เป็นคนมุมานะพยายาม ขยันอ่านหนังสือ
พ่อกุรู้ว่าที่พิดโลกจะมีการสอบบรรจุครู
แต่ทำไงได้ พ่อกุบ่มีเงิน พ่อกุก็กลับแพร่
แต่พ่อกุมีเพื่อน เป็นคนมีเงิน มีฐานะ
พ่อจึงได้ไปอาศัยอ่านหนังสือที่บ้านเพื่อนเสมอๆ
( ซึ่งตอนนี้ตายไปละ )
พ่อกุไม่ใช่คนเรียนเก่งอะไร
พ่อคิดว่าขยันอ่านหนังสือไป ก็คงจำได้
คิดๆไปก็แม่ง เหมือนเรื่องกระต่ายกับเต่าว่ะ ห่า
พอพ่อมาสอบที่พิดโลก ขึ้นรถไฟ ปู๊นๆ มากันกับเพื่อน 4 - 5 คน
พ่อกุก็หวั่นๆใจ ดูผลสอบจากข้างล่างขึ้นบน
พ่อกุเริ่มใจแป้วเพราะดูชื่อเท่าไหร่ ก็ไม่มีชื่อพ่อกุซ้ากที
พ่อกุเรยหมดหวังพอดูขึ้นไปเรื่อยๆๆ ใจก็แป้วอีกเรื่อยๆ
เพราะมันไม่เจอชื่อ สุดท้าย พ่อกุเจอชื่อตัวเอง
อยู่อันดับที่ 1 กรี๊ดดดดดดดดดดดพ่อกุ๊ พ่อของกุ๊ เย้ๆๆ
พ่อกุสอบบรรจุเป็นครู ได้อันดับที่ 1
ในตอนนั้นเพื่อนๆทั้ง ญ ช พากันกอดพ่อกุกันใหญ่
( กุว่าพ่อกุได้กำไรตอนสาวกอดนี่แหละวะ เอิ๊กๆ )
จะว่าไปแร้ว ตัวกุเองติดนิสัย ความใจร้อน
มาจากพ่อกุอย่างเห็นได้ชัด
แร้วที่ใครๆชอบบอกกุเหลือเกินว่า ชอบรูปปากของกุ
ปากกุสวยอย่างนั้น อย่างนี้ เป็นรูปกระจับกระเจิบอะไรนั่น
กุก็ถอดรูปปากกระจับนั้นมาจากพ่อกุเช่นกัน
สมัยก่อนตอนพ่อกุยังหนุ่มๆ วัยรุ่นๆ พ่อกุเป็นนักมวยเก่าซะด้วย
ขึ้นชกก็หลายเวที มีชงมีชื่อ ฉายา อะไรกุจำบ่ได้
ลืมถามพ่อว่ะ
-"-
แระด้วยความที่พ่อกุเคยเป็นนักมวยเก่า แถมยังเป็นเพศชาย
พ่อกุจึงสอนวิธีป้องกันตัวให้กุกับอิโบไว้ว่า
"อย่าไปทำร้ายใครก่อน แต่ถ้าคนอื่นมันทำร้ายเรา
แล้วเราทนบ่ไหวก็ให้สู้สุดตีนไปโลด
ถ้าเป็นตัวผู้ ก็ให้บีบไข่แม่งเรย มันจะจุก"
ช่วงนั้นเป็นช่วงบ้าระห่ำบีบไข่ผู้ชายของกุอย่างแรง
ด้วยความอยากลอง อยากเรียนรู้ วิชาที่พ่อสอน
เวลาผู้ชายมากวนตีนใส่กุ แร้วแกล้งกุ
กุจะใช้ไม้ตาย บีบไข่สังหาร จัดการแม่งทันที
ปรากฎว่า พวกตัวผู้ ก็หน้าเขียว กันทุกๆคน
สะใจชิบหาย กร๊ากกก

พ่อกุเคยถูกผู้ใหญ่บ้าน ทำโทษด้วยการไปขุดหน่อไม้ที่ป่าช้า
เพราะตอนนั้นพ่อกุเป็นพระเอกสาด
เหมือนผู้ผดุงความยุติธรรม
มีหนังมาฉายแถวหมู่บ้าน แร้วพ่อกุคิดว่า เค้าไม่น่าจะเก็บเงินเด็ก
พ่อกุสงสารเด็กที่จนๆ ไม่มีเงิน พ่อกุเรยนำทีมเด็กๆ
เข้าไปดูหนังโดยที่ไม่จ่ายเงิน
สุดท้าย พ่อกุไปมีเรื่องตีกันกับพวกเก็บตังค์
เพราะพวกมันจะให้เด็กจ่ายเงิน แต่เรื่องอะไร
พ่อกุเป็นพระเอกนี่ พ่อกุเรยมีเรื่องกับพวกมันซะ
แร้วญาติๆกุตอนนั้น ก็ผู้ชายเยอะ
ญาติๆรุ่นเดียวกับพ่อกุก็มาช่วยกันใหญ่
เลยถูกทำโทษให้ไปขุดหน่อไม้ที่ป่าช้า
จึงเป็นเช่นนี้แล ... เป็นกุ กุไม่อยู่แม่งแร้ว
น่ากลัวจะตายห่า แค่นอนที่บ้านยังกลัวผีเรย
พ่อกุเป็นคนที่รับผิดชอบต่องานมากๆ

จากเคยเรียนก่อสร้าง แร้วไม่จบ ก็กลายเป็นกระเป๋ารถเมล์
จนชีวิตพลิกผันสอบบรรจุได้อันดับ 1 มาเป็นครู
แร้วก็ดั้นด้น เรียน จนจบปริญญาตรี
ในช่วงที่กุเรียน อยู่ประถม แร้วพ่อกุก็ตัดสินใจไปเรียน ปริญญาโทต่ออีก
พ่อกุรับปริญญาของปริญญาโท ช่วงที่กุอยู่ ม. 4
น่าเสียดายที่กุไม่ได้ไปร่วมแสดงความยินดีกับพ่อ
เพราะกุต้องทำกิจกรรมของโรงเรียน ถ้าใครไม่ทำ ก็ไม่ผ่าน
เยะเป็ด !

ใครคิดว่า อาจารย์ใหญ่ เรียน ปริญญาโท
จะมาขับรถยี่ห้อเก่าๆ ปุเลงๆ ไปโรงเรียนหรือไปเรียน มหาวิทยาลัย
แต่พ่อกุ คือคนๆนั้น พ่อกุทำได้พ่อขับยนต์คันเก่าๆ
ไปเรียนในช่วงเสาร์ อาทิตย์ เพราะวันธรรมดาก็ไปสอนเด็กนักเรียน
เพื่อนๆพ่อบางคน ก็บอกให้เปลี่ยนๆๆ แต่พ่อกุก็รู้อยู่แก่ใจว่า
ตอนนี้ก็ต้องส่งลูกให้เรียนหนังสือ
ต้องใช้จ่ายเงินทองอีกหลายอย่าง
ฉะนั้นพ่อกุจึงเลือกที่จะไม่แคร์คำพูดของใคร
พ่อกุจะต้องแอบหนีออกมาเมื่อเรียนเสร็จ
รีบกลับมากินข้าวที่บ้าน อยู่กับครอบครัว
เพราะพวกเพื่อนๆของพ่อกุ ถ้าเรียนเสร็จ
แม่งก็จะหาพรรคพวกไปแร่ดไปกินข้าวบ้าง
ไปหาสาวมาปรี้ กันบ้าง
ก็ตามประสาพวกผู้ชาย ที่ชอบตามใจ ค + ว + ย
พ่อกุพูดเสมอว่า ถ้าอยู่กับเพื่อนๆแร้วเห็นเพื่อนๆ
ก้อร้อก้อติกสาวๆ พ่อจะนึกถึงลูก
พ่อจะคิดว่า เห็นผู้หญิงมาทำงานแบบนี้ แล้วลูกเราล่ะ ?
พ่อเป็นห่วงลูก พ่อคิดว่า พ่อคนอื่นก็คงคิดเช่นนี้
พ่อกุเรยบ่มีนิสัย ตามใจ ค + ว + ย เหมือนเพื่อนๆ
พ่อบอกว่า เก็บตังค์ให้ลูกใช้ดีกว่า
ใครจะเป็นไงก็ช่างหัวแม่ง

พ่อกุเพิ่งมาซื้อรถใหม่ ก็เมื่อไม่กี่อาทิตย์
เพราะรถคันเก่า มันเก่าสุดๆ พ่อกุกลัวอุบัติเหตุ
ก็เรยตัดสินใจซื้อรถใหม่ซักที เออดี กุลุ้นอยู่นานแระ
ตอนแรกกุคิดว่าพ่อจะเอารถเก๋งสวยๆซักคัน
เหมือนครูคนอื่นๆที่เค้ามีรถเก๋งขับ แต่ไม่ใช่
พ่อกุเลือกที่จะออก D - Max 4 ประตู
กุบอกว่าทำไมไม่เอารถเก๋งล่ะ ?
พ่อบอกว่า รถกระบะน่ะ เด็กๆเวลาไปแข่งกีฬา
พ่อจะได้รับเด็กๆขึ้นรถได้ แต่รถเก๋ง
พาเด็กๆไปแข่งกีฬา หรือไปไหนไม่ได้
โอ้ว ... ทะมัยพ่อกุยังห่วงเรื่องเด็กๆอีกวะ
ทีคนอื่นแม่งทำไมยังเสือกห่วงแต่ตัวเอง
ไม่เคยนึกถึงเด็กๆ แม้แต่นิดเดียว
พ่อกุจะชอบบอกว่า เรามีเงินอยู่ทุกวันนี้
ก็เพราะวิชาชีพที่เรามีอยู่ ความเป็นครู คือสิ่งที่เลี้ยงเรามา
ทำให้เรามีเงินใช้จ่ายพ่อจึงเลือกวิธี
ที่จะทำประโยชน์ให้กับโรงเรียน และเด็กๆได้อย่างสูงสุด
กุก็ไม่ได้ขัดอะไร กุก็ไม่เคยอาย
หรือคิดว่าครอบครัวกุทำไมเป็นแบบนั้นเป็นแบบนี้
ทำไมมะค่อยมีเงินใช้จ่ายหรูหราเหมือนครอบครัวคนอื่นๆ
แต่กุพอใจ แระกุก็มีความสุข ครอบครัวกุอบอุ่นดีมากๆ
จนคนอื่นๆอิจฉา
พ่อกุเป็นคนที่ไม่กินเหล้า และไม่สูบบุหรี่
พ่อกุเป็นผู้ชายที่รักครอบครัว สุดๆ
พูดจาติดตลก จนชาวบ้านรักและชื่นชมพ่อกุ
ขนาดย้ายออกจากโรงเรียนเดิม ชาวบ้านร้องห่มร้องไห้แทบขาดใจ
ถึงแม้พ่อจะไปอยู่อีกโรงเรียนนึง
ชาวบ้านก็ยังห่วงหาอาทรพ่อกุเสมอ
รักและเข้าใจว่าต้องไปโรงเรียนที่มันใหญ่กว่าเดิม
พ่อกุจะได้ขยายความก้าวหน้าของตัวเองบ้าง
เพราะพ่อก็ไม่เคยจะเรียกร้องอะไรเลย
ชาวบ้านก็เข้าใจพ่อกุ น่ารักจริงๆ

กุชอบอ้อนพ่อ ถ้ากุอ้อนพ่อเมื่อไหร่ พ่อก็จะยิ้ม
เพราะพ่อแพ้ลูกอ้อนกุ แต่กุก็ต้องดูอารมณ์พ่อก่อน
ไม่ใช่พ่อหงุดหงิด แร้วกุไปอ้อนๆ
กุอาจจะโดนตีนพ่อก็เป็นได้
กุโตเป็นควายขนาดนี้แร้วพ่อเพิ่งจะหยุดตี กุ
ตอนกุอยู่ ม. 6 นี่เอง
กุเป็นคนชอบเถียง จะดีจะเหี้ย กุเถียงไว้ก่อน
พ่อกุเรยชอบตี เหะๆแต่ตอนนี้ บ่ได้เถียงอะไร พ่อเรยบ่ตี
ก็หยุดการตีมานานแระ ส่วนแม่ มะค่อยตี
แม่จะระเบิดเป็นครั้งเป็นคราว แระพ่อกุจะขี้บ่นมากๆ
ขี้บ่นยิ่งกว่าแม่ซะอีก
พ่อกุชอบเลี้ยงไก่ชน ไม่ได้เลี้ยงไว้ตี เหมือนคนอื่น
แต่เลี้ยงไว้ดูเล่น เนื่องจากเมื่อก่อนบ้านจนมาก
เห็นไก่คนอื่น ก็ชอบไปยืนดู
พอพ่อได้ทำงาน หาเงินเองได้ พ่อก็หมดกับการซื้อม้า
( ให้คนอื่นไปนานแระ )
ซื้อไก่มาเลี้ยงไว้ดูเล่น พ่อกุจับไก่ หรือทำแผลให้ไก่เก่งมาก
ไม่ว่าไก่จะเป็นอะไร พ่อกุแม่งรู้ทุกอย่าง
ส่วนกุแระคนในบ้านก็โคตรรำคาญมากๆ
พ่อไม่ชอบให้ไก่อยู่ในสุ่ม แต่พ่อจะปล่อยพวกมัน
ให้เดินเพ่นพ่าน แม่งเอ๊ย มีแต่ขี้ไก่เต็มไปหมด
กุกลุ้มใจแสด บางทีกุทำงานอยู่ แม่งไก่จังไร
ก็เดินมาเกะกะกุ กุเรยด่าเสียงดัง
" อิไก่ห่า เหี้ยเอ๊ย กุจะทำงานชิบหายเพ่นพ่าน
น่ารำคาญว่ะ เด๊วซักวันกุจะฆ่าไก่เอาต้มแด่กให้หมด "
จริงๆแร้วกุทำไม่ลงหรอก กุก็สงสารนั่นแหละ
แต่มันก็เป็นช่วงที่กุรำคาญ กุเรยพูดไปงั้น

ตอนนี้ กุก็สงสารพ่อกุ เพราะไก่ตายห่าไปแม่งหมดเรย
ด้วยโรคไข้หวัดนก แม่บอกว่า พ่อกุซึมอยู่พักใหญ่ๆ
ตอนนั้นกุไม่ได้อยู่บ้าน
เพราะกุไปทดลองสอนที่บางกอก
ได้แต่โทรคุยกับแม่เท่านั้น
สงสารพ่อ แต่สะใจที่ไก่ตาย มันจะได้ไม่มารบกวนกุอีก
พ่อบอกว่า ตอนนี้ก็ไม่อยากเลี้ยง เพราะสงสารพวกมัน
เด๊วมันเสือกตายขึ้นมาอีก จะมีก็ ตัว หรือ 2 ตัว เนี่ยแหละ
ที่ชาวบ้านแถวโรงเรียนเก่าของพ่อเอามาให้เลี้ยง
พ่อก็รับไว้ เพราะถือว่าชาวบ้านเค้าให้มา จะปฏิเสธก็ไม่ได้
ก็ลุ้นๆอยู่ว่ามานจะโดนไข้หวัดนก แด๊กอีกไม๊ เหอๆๆ
คนบางคนอายที่พ่อแม่ของตัวเองที่ทำงานก่อสร้าง
พ่อแม่จะมาหา ก็ไม่ให้มา อ้างโน่นอ้างนี่อยู่ตลอดเวลา
ซึ่งแท้จริง คืออายว่าพ่อแม่มันเป็นช่างก่อสร้าง
แต่ถ้ามันใช้หัวสมองคิดซักนิด แทนการเอาตัวเอง
ไปให้ผู้ชายปี้แร้วจ่ายตังค์ มันจะรู้ว่า
พ่อกับแม่ของมัน หาเงินส่งให้มันได้
ต้องแลกกับหยาดเหงื่อแรงกายขนาดไหน
กุอยากรู้ว่า การที่คนเราทำอาชีพสุจริตมันน่าอายตรงไหน
การที่ฐานะยากจนแร้วยังไง ?
ไม่ได้ไปปล้นไปจี้ ไปฆ่าใครซักหน่อย แร้วทำไมต้อง อาย ?
อีกอย่างก็เป็นพ่อแม่ของมึง แร้วมึงจะอายทำครวยไรเนี่ย
พ่อแม่ยังไม่อายเล้ย ที่มีลูกตอแหลๆอย่างมึง !
อุ๊ย ... ลืมตัว เสือกด่ามันไปซะงั้น
คือจริงๆอินี่เป็นเพื่อนที่อยู่ห้องเดียวกับกุ
แต่กุมะค่อยอยากคบเพราะกุเกลียดคนที่ลืมตัว
ลืมกำพืด ลืมชาติกำเนิด และไม่เคารพบุพการี ยิ่งนัก
เมื่อตอนเย็น กุกราบตรีน พ่อกุอย่างสวยเริดที่สุด
ฮิ้วววววว
กุก็อ้อนๆพ่อเหมือนกันแต่ไม่ได้อ้อนเอาอะไร
อ้อนให้พ่อยิ้มๆ เล่นๆ แร้วกุก็กอดพ่อ
" ป้อเจ้า น่องสัญญาถ้าได้ยะงานม่ะได ย่ะหาเลี่ยงเจ้า "

ภาษาเหนือวันละคำวันนี้ คำว่า ป้าก อ่านว่า ป้าก แปลว่า ทัพพี
แต่งประโยค น่องดรีมไปยิบป้ากตี้ครัวไฟฮื่อเย่ยกำ
แปลอีกทีว่ะ น้องดรีมไปหยิบทัพพีที่ห้องครัวให้พี่หน่อยสิ
บ๊าย...บาย
นู๋บลิว เซเลอร์มูน ก๋ากั่น
ป.ล กุรักพ่อค่ะ
@^_^@