วันจันทร์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2553

... อนาค( ด )ต ...

กุลาออกจากงานตั้งแต่สิ้นเดือนมีนาคม ปีที่แล้ว
ด้วยเหตุเพราะกุระริกระรี้อยากจะไปเมืองนอก
เป็นโครงการ ๆ นึง

ถ้าไปอเมริกาต้องไปก่อนกุอายุ 27 ขวบ
ณ ตอนนั้นกุอายุได้ 25 พฤษภาคม จะ 26
ฉิบหาย !
กลัวจะไม่ทัน กุก็ไม่รู้ว่าจะต้องสมัครหรือเตรียมตัวยังไง
จะมีใครเอากุไปเลี้ยงลูกเค้ามั้ย
ด้วยความที่ไม่มีเงินทอง ขนาดที่จะต้องไปเรียนต่อ
และด้วยความที่กุก็โง่อยู่เป็นทุน
ไม่สามารถจะชิงทุน ชิงเปรตอะไรกับเค้าได้
ดังนั้น กุจึงต้องออกมาเตรียมเอกสาร และเก็บชั่วโมงเลี้ยงเด็ก
อันที่จริงตัวกุนี่จบครูมาอยู่แล้วนะ
( ใครไม่เชื่อคะ ? ตบกับกุมั้ย ? )

แต่เค้าบอกว่าต้องการคนที่มีประสบการณ์แบบล่าสุดที่สุด
เอาวะ ! ในเมื่อต้องการแบบล่าสุดขนาดนั้น
กุจึงจำเป็นต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง
สิ่งนี้พี่ก็รัก สิ่งนั้นพี่ก็หลง เอ๊ะ ! มะใช่
-"-
คือกุก็ต้องทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้มันดี
จะทำงานสองอย่างก็คงไม่ได้ งานประจำทำเวลาราชการ
ถ้าจะต้องไปเก็บชั่วโมงเลี้ยงเด็ก
กุคงต้องไปเวลาราชการเช่นกัน
ที่ไหนจะเปิดให้กุไปเลี้ยงตอนกลางคืนวะ ?
ถึงเปิดกุก็คงไม่ไป ทำงานหนักเกินไป กุก็อ่อนล้าได้
อันตัวกุ มันถึกก็จริง แต่ความถึกก็ไม่ใช่จะบิ๊วด์ได้ตลอด
มันจึงจำเป็นอย่างยิ่งยวดที่กุต้องพัก
ตอนแรกกุสมัครไว้กับเอเจนซี่แห่งนึง
เลือกแล้วว่าใกล้หอพักกุที่สุด ขี่รถไปไม่ถึง 5 นาที

จ่ายเงินค่าสมัครแล้วเรียบร้อย ไปทำเอกสารแล้วบางส่วน
แล้วกุก็ไปขอฝึกเลี้ยงเด็กกับโรงเรียนที่แพร่
นั่งรถไปกับอากุ ขออนุญาต ผอ. แล้ว
เด็กนักเรียนที่นี่น่ารักมาก กุก็ขอสอนอนุบาล
อันที่จริงน้ำหน้าอย่างกุเนี่ยรักเด็กนะ

แล้วกุก็ชอบบรรยากาศของโรงเรียนชนบทมวากกกกกก ค่ะ

เด็ก ๆ ตื่นเต้น ลั้ลลากันมาก กุก็เกิดอาการเกร็ง ๆ เช่นกัน
แต่กุเปล่าตื่นเต้นค่ะ เพราะก็แหม ... นะ กุก็เคยเจออะไรแบบนี้บ่อย ๆ

... กุปวดขี้น่ะค่ะ @^_^@ ...

เช้ามา ถ้าอากุจอดรถ เด็กนักเรียนอนุบาลที่กุสอนแม่งก็รีบวิ่งมาแระ
ถ้าเห็นกุลงรถ
ทั้ง ญ และ ช จะทำตัวเยี่ยงมีชาติกำเนิดเป็นนกหวีดกันเลยทีเดียว
" กรี๊ดดดดดด แอร๊ยยยยยย คุงคูววว บลิวมาแล้ว ๆๆๆๆๆ "
( เด็กพวกนี้พูดสำเนียงเดียวกับคนเชียงใหม่เลยเว้ยเฮ้ย
มีอยู่หมู่บ้านเดียวนี่แหละที่พูดแบบนี้ )

" คุงคูวววว เจ้า วันนี้น้องย่ะเฮียนร้องเพลงกับคุงคูวววว แหมหนาเจ้า ^^ "
( เอ่อ คือกุชอบหลอก เอ๊ย ชอบพาเด็กทำกิจกรรม
ร้องเพลงเอย เล่นเกมเอย เล่านั่นนี่โน่นเอย )
รู้สึกถึงความมีคุณค่าที่กุคู่ควรเลยกุ
สวยด้วยอะไรด้วย รักเด็กด้วย วุ้ย ! แหล่ม ก๊ากกก
( อย่าคิดว่ากุจะอายค่ะ วินาทีนี้ กุผ่านความอายมาหลายขุมนักแล งิงิ )

ตอนเย็นก็ปลุกเด็กให้ไปล้างหน้า ทาแป้ง หวีผม แดกนม
แอบคิดว่า เอ ไอ่นมที่แดก ๆ กันทุกวันเนี่ย
มันผสมสารเหี้ยไรไปเปล่าวะ
ถ้าได้สิ่งที่มีคุณภาพจริง ๆ ก็ดีไป กุอนุโมทนา
แต่ถ้าแม่งเสือกผสม กุแม่งแช่งไปก่อนแระ
ช่วยไม่ได้ถ้าทำไรเหี้ย ก็ได้สิ่งที่กุแช่งไปละกัน
ช่วงนั้น เป็นจังหวะที่เพื่อนกุคลอดลูกชายพอดี
กุจึงอาสาไปเลี้ยงลูกให้มัน ตั้งแต่แม่งคลอดได้ไม่กี่วัน
เพื่อนกุก็ถือว่าไว้ใจกุมากเลย
คงเป็นเพราะกุเองก็เคยผ่านการเลี้ยงเด็กอ่อนแบบนี้มาก่อน
สมัยเมื่อยังมีชีวิต เอ๊ย ! สมัยที่กุยังเป็นเด็ก
( ตอนเป็นเด็กกุน่ารักนะ เอ๋อ ๆ อะ อ่า เอ๋อนี่น่ารักปะวะ ? )

แล้วเพื่อนกุมีกิจการสอนฝรั่งทำอาหารไทย
บางวันที่กุเลี้ยงลูกมัน กุก็จะมองฝรั่งไปด้วย
เป็นอะไรที่เจริญตา เจริญใจ กุจึงสดใสทั้งภายในและภายนอก
โฮะ ๆๆๆๆๆ

กุรีบส่งเอกสารยืนยันว่า
กุได้มาเก็บชั่วโมงทำงานอย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้
แต่อาจจะเร็วน้อยกว่าเรดาร์ความตอแหล
ที่จะคอยส่งสัญญาณทุกครั้ง เมื่อจับถึงความเคลื่อนไหวของมนุษย์ผู้ชาย
ที่กุแม่งรีบฉิบหายเยี่ยงนี้
ก็เพราะทางเอเจนซี่บอกกุว่าถ้าส่งเร็วมันเป็นโปรโมชั่น
ที่จะได้ไม่ต้องเสียค่าเครื่องบินเอง
กุเลยยอมเหนื่อย ยอมอดทน ยอมง่วงนอน
เพื่อที่จะส่งเอกสารได้ทัน ไปขอนั่นขอนี่เป็นหลักฐานจนกุเหนื่อย
ใช้จ่ายเงินของบิดามารดาไปเยอะ

เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้นแล้ว พี่เค้าบอกกุว่า
ให้กุสอบจิตวิทยาก่อน แต่ถ้าสอบไม่ผ่าน
ทุกอย่างจะกลายเป็นโมฆะ
กุก็ไม่ได้คิดห่าอะไรมาก่อนเลยว่า
ชีวิตนี้กุจะต้องมาตกการสอบจิตวิทยา
เอาน่ะ เคยเรียนมา ยังไงกุก็คงกล้อมแกล้มไปได้กระมัง
กุกระหยิ่มในใจ

เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า ตัวกุก็เครียด
ที่วัน ๆ กุเหงา กุเศร้า กุไม่แน่ใจว่า
เรื่องจะผ่านมั้ย มันจะเป็นยังไง
เค้าจะเลือกกุไปเป็นพี่เลี้ยงให้ลูกเค้ามั้ยนะ
บลา บลา บลา และ บลาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาา

หาทางออกเพื่อตัวเองไม่ได้
กุเลยต้องตระเวนตามสถานที่ดูดวงต่าง ๆ
ไม่ว่าจะเป็นร่างทรง ดูไพ่ ดูพระ ดูหมอ
( เอ่อ อันนี้หมอจริง ๆ ค่ะ เสือกป่วยค่ะ )

แล้วดูเสร็จ กุก็ไม่ได้เชื่อห่าอะไรเค้าเล้ยยยยย
คือกุไม่ได้ท้าทายหรืออะไรนะ
แต่กุรู้สึกว่า เฮ้ย อย่าเฟคดิ กุรู้นะ ทริคนี้อะ
อย่าดิ แอร๊ยยยยย !
ผ่านไปวันแล้ววันเล่า
ด้วยการไม่ทำห่าอะไรให้เกิดประโยชน์กับชีวิตเลย
คนอื่นเห็นว่ายังมีชีวิตก็เพราะกุยังหายใจได้เท่านั้น
วันนึง เอเจนซี่โทรหากุ
บอกว่าทางศูนย์ใหญ่ส่งข่าวมาบอกว่า
กุสอบไม่ผ่านจิตวิทยา
หาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาา !
อ๊ะ เอ๊อะ อ๊ายยยยย แอร๊ยยยยย

กุลืมความเป็นมนุษย์อยู่ชั่วครู่
พี่เค้าพูดอะไรบ้างกุจำได้ไม่หมด
กุถามพี่เค้าว่า
" พี่คะ บลิวผิดอะไร ?
จิตวิทยาบลิวไม่ได้ตอบแบบเลว ๆ เลยซักนิด "

พี่เค้าจึงปลอบกุว่า
" ก่อนหน้าจะส่งไปศูนย์ใหญ่ พี่ถามเค้าแล้วนะ
แต่เค้ามีกฎว่าไม่บอกคะแนนหรือเหตุผล
แต่อาจจะเป็นแบบนี้ก็ได้นะน้องบลิว
เราอาจจะตอบแบบไม่ชัดเจน
คือความเป็นฝรั่งเนี่ย ถ้ามากก็บอกว่ามาก
น้อยก็คือน้อย อย่าตอบปานกลาง
เค้าจะหาว่าเราโลเลได้
แล้วอีกอย่าง ผลที่ออกมา ไม่ได้บอกว่า น้องชั่วหรอกมั้ง
พี่คิดว่าอาจจะออกมาว่า
น้องไม่เหมาะกับการเป็นพี่เลี้ยงเด็กมากกว่า "

เฮ้ย ! กุงงค่ะ กุไม่เหมาะตรงไหนคะ ?
ที่ผ่านมา กุมีปัญหากับการใช้ชีวิตของตัวกุเอง
มากกว่ากับการอยู่กับเด็กอีกค่ะ
เมื่อวางสายจากพี่เค้าแล้ว สมองกุมึน กุนึกถึงหน้าพ่อแม่
นึกถึงน้ำหน้ากุเอง หน้าชาเหมือนถูกตีนใครซักคนถีบ
และที่แน่ ๆ กุช็อค กุช็อคอยู่อย่างเนิ่นนาน
ถ้าเป็น mv เพลง คงมีสายลม และใบไม้ปลิวว่อนผ่านหน้ากุ
แต่ในชีวิตจริง สิ่งที่ผ่านหน้ากุ คือน้ำตา
หากเป็นใบไม้ปลิวมาล่ะก็
มันคงปลิวเข้าหน้าจนกุแสบตากันไปข้างล่ะ
กว่ากุจะทำใจ แล้วโทรหาพ่อแม่เพื่อบอกข่าวร้ายนี้ได้
ก็ใช้เวลาหลายวันทีเดียว

ยังไม่ทันได้เริ่มอะไร กุก็พลาดซะแล้ว แต่พ่อกับแม่กุกลับบอกว่า
มันมีเอเจนซี่ไหนอีกมั้ยในเชียงใหม่เนี่ย เอาเงินไปสมัครใหม่ไป
... พระเจ้าช่วย ...

นี่กระมัง ความรักของพ่อแม่
จริง ๆ ค่าใบสมัครเนี่ย 6,000 บาท ไปแล้วค่ะ อี ดอก
กุจึงเอาเอกสารที่เคยทำไว้แล้ว ไปสมัครกับที่อื่นต่อ
กุคิดในใจว่า อืม เอาล่ะ เริ่มใหม่ก็ได้
แต่ก็เสียเวลาตรงที่กุก็ต้องเตรียมเอกสารบางอย่างใหม่ด้วย
เฮ้อ เอาวะ เคยทำแล้วนี่
ทำใหม่มันก็คงมะได้เสียเวลาอะไรมากนักหรอกวะ
แต่ ณ ตอนนั้นก็ล่วงเลยเข้าไปเดือน กรกฎาคม ปลายเดือนด้วย
โอ้วววว ซึ่งกุเหลือเวลาไม่มากแว้วววว

อย่างไรก็ดี
... กุต้องสอบจิตวิทยาอีกครั้ง ! ...
กรี๊ดดดดดดดดดดด กุฝังใจมาก หลอนสุด ๆ

แต่เอเจนซี่ใหม่ ปลอบใจกุว่า
บริษัทเค้าไม่อิงเรื่องผลทางจิตวิทยาแล้วตัดสินคนหรอก
ว่าใครที่เหมาะสมกับการเลี้ยงเด็กได้
หรือใครไม่เหมาะสม
มันก็แค่เป็นส่วนหนึ่งของเอกสารเท่านั้น
กุจึงแอบโล่งอก ไปอีกนิดว่าอย่างน้อยถ้าเอกสารครบ
กุก็จะมีโอกาสได้มีโปรไฟล์ขึ้นหน้าเว็ปล่ะว้า
ณ ตอนนั้นกุทั้งเครียด ทั้งเหงา และเศร้าสร้อย
( ที่จริงเป็นทุกวัน ไม่มีวันไหนกุไม่เป็นเลยสัด )

สิวเม็ดเป้งก็ผุดขึ้นบนพื้นที่ว่างของใบหน้ากุ
ส่งผลให้หน้าที่เคยเหี้ยอยู่แล้ว เฮี้ย เหี้ย กว่าเดิม
นอนก็นอนไม่หลับ กระวนกระวายเยี่ยงคนเทคยา
กุจึงตัดสินใจกลับแพร่ แต่ยังคงจ่ายค่าเช่าหอพักไว้ก่อน
เพราะกุอาจจะต้องมาทำเอกสารส่งเอเจนซี่อีกเรื่อย ๆ เผื่อมีปัญหา

ช่วงเดือนสิงหาคม พี่เค้าก็โทรหากุว่า
อีถึกอย่างกุน่าจะรับจ๊อบเลี้ยงเด็กได้
( เห็นมะ มีคนเห็นศักยภาพกุด้วย
T_T กุปลื้มใจที่สุดในสามโลกอะ )

อยากให้หารายได้พิเศษ
และจะเป็นการเพิ่มชั่วโมงการเลี้ยงเด็กให้สูงขึ้นได้
จึงได้แนะนำให้กุไปทำงานกับครอบครัวที่น่ารักครอบครัวนึง
ที่เป็นคนไทยแต่ทำงานที่อเมริกา กลับมาบ้านพอดี
น้องเป็นฝาแฝด ญ ช กรี๊ดดดดด
กุตื่นเต้นมากค่ะ
( ตื่นเต้นจริง ๆ ละ ไม่ใช่ปวดขี้ )
คือกุกรี๊ดฝาแฝดอยู่แล้วด้วย
เคยแอบคิดเล่น ๆ ว่า อยากมีลูกเป็นแฝด ญ ช
แค่คิดนะ ย้ำ แค่คิดเล่น ๆ

กุรับจ๊อบอยู่เป็นเวลา เกือบ ๆ จะ 2 อาทิตย์

พอเดือนตุลาคม เพื่อนกุแม่งแต่งงาน
กุก็ไปงานแต่งเพื่อนกุที่อยุธยา
เสร็จกิจธุระ ( จะสำนวนเป็นการเป็นงานไปไหนวะ ? )
กุก็กลับไปพิดโลกก่อน มาตั้งหลักอยู่กับพ่อแม่
เพื่อจะหาวันที่จะกลับเชียงใหม่
กุเบื่อเชี่ย ๆ ค่ะ ทำไมกุจะต้องชีพจรลงตีนตลอดเวลาด้วย
กุไม่ชอบนั่งรถไกล ๆ เลย
แต่ก็ไม่ได้กลับเชียงใหม่ เหตุเพราะชะตาชีวิตกุแม่งผกผัน

กุไปเป็นครูที่โรงเรียนของเพื่อนพ่อ
เค้าต้องการคนจบแบบกุพอดี
พ่อกุบอกว่า " ไหน ๆ ก็ว่างงาน
ระหว่างรอว่าจะได้ไปหรือไม่ได้ไปก็ทำงานมั้ยล่ะ ? "
คือที่จริง เงินเดือนกุแม่งน้อยมาก 5,080 บาท
พ่อแม่สอนกุว่าอย่าคิดว่ามันเป็นเงินเท่าไหร่
แต่ที่อยากให้ทำงานเพราะเห็นว่ากุอยู่บ้านแม่งก็เหงา
เครียด แล้วเดี๋ยวดวงจิตแตกซ่าน
ส่งผลให้สภาวะลมปราณไม่คงที่ ฮอร์โมนขึ้น ๆ ลง ๆ และ ...

( เอ่อ คือ พ่อไม่ได้พูดหรอก
ส่วนที่ดูจะเริ่มเหี้ย ๆ น่ะ กุคิดเอง )
แฮร่ ~~~~~

กุเข้าไปสอนเด็กพิเศษ
รับผิดชอบเด็ก ป. 4 หนึ่งคน
เด็ก ป. 5 สองคน เด็ก ม. 1 สองคน
ตอนแรกกุเริ่มทำใจแล้วว่า
ถ้าเลยเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2553 ไป
แล้วกุยังไม่ได้ข่าวเรื่องไปเมืองนอก
กุจะตัดใจ แล้วเริ่มหางานใหม่ละ
คิดได้ดังนั้น กุจึงลั้ลลากับการสอนเด็กมาก
เงินเดือนแต่ละเดือน ออกมาแล้วน่าใจหาย ที่สุด
ได้รับมา กุก็เก็บไว้ซื้อขนมไปให้เด็กที่โรงเรียนกิน

เลวว่ะ !
หาเงินได้น้อย ยังเสือกเอาไปซื้อขนมให้เด็กอีก
แต่ตอนนั้นคิดแค่ว่า
เออ ก็อยากให้เด็กมันมีแรงจูงใจในการเรียนบ้าง
เรียนรู้อะไรบ้าง ก็ยังดีกว่าที่จะเวิ่นเว้อ ไปวัน ๆ
อันนี้ความคิดกุนะ

แต่ก็แอบนึกถึงพ่อแม่ไปด้วย
บางทีกุก็ใช้เงินของพ่อแม่กับหลาย ๆ เรื่อง ไปแล้ว
พอกุมีเงินเล็กน้อย กุก็เอาไปซื้อของให้คนอื่นเนี่ย
ตกลงว่ามันเลวหรือมันเลวน้อย หรืออะไรกันแน่
เริ่มสับสนกับตัวเองบ้าง เป็นบางเวลา
ประสาคนคิดมากที่ในอนาคตอันใกล้
อาจจะได้เป็นคนไข้โรงพยาบาลบ้าที่ไหนซักแห่งก็เป็นได้
( อย่าลืมไปเยี่ยมกุนะคะ พลีสสสส )

ช่วงนั้น กุก็พยายามหัดให้เด็กพิเศษของกุมั่นใจในตัวเอง
โดยการส่งรายชื่อของเด็ก เข้าประกวด
คัดลายมือเอย คิดเลขเร็วเอย
คือเก่งไม่เก่งกุไม่ใส่ใจ กุถือว่าถ้าเด็กอยากที่จะทำอะไร
กุจะส่งเสริมอย่างเต็มที่
บางทีการแข่งขัน หรือประกวดห่าลากอะไรนี่
ไม่จำเป็นต้องกระตุ้นให้ชนะ
กุว่ากุควรกระตุ้นเพื่อส่งเสริมด้านบุคลิกภาพและความมั่นใจ
ในการทำสิ่งที่ดี มากกว่าว่ะ

เด็กกุก็แม่งน่ารัก ถึงแม้จะดื้อ และมีสันดานที่น่าตบอยู่บ้าง
แต่ไม่เป็นไร กุว่ากุควบคุมได้
บางทีกุก็ไม่ได้พูดเพราะกับเด็ก
แต่ก็จะบอกว่า เฮ้ย อย่าพูดวะกับครูเดะ ไอ่นี่
แต่ออกจะเป็นทำนองการใช้น้ำเสียงปราม ๆ
แล้วก็ค่อยพูดเพราะด้วย
ไม่รู้ว่ะมันเป็นวิธีที่กุใช้แล้วได้ผลด้วยอะ
แล้วแต่สันดานใครสันดานมันละกันค่ะ
กุไม่ได้บอกว่าวิธีของกุถูกหรือผิด
แต่กุใช้ แบบเนี้ยะ

สมมติใครมีปัญหากุ
อยากบอกเหลือเกินค่ะว่า
เสือก !
มึงก็เอาไปปรับใช้กับลูกศิษย์มึงสิ ^_^

วันที่กุพานักเรียนของกุไปแข่งขัน
กุก็ได้รับโทรศัพท์จากเอเจนซี่จากบางกอก
บอกว่ากุได้ Match กับ Host family ที่อเมริกาแล้ว
โอ้ววววววววว เย้ กรี๊ด ๆๆๆๆ
กุก็ไม่คิดไม่ฝันว่าจะมีวันนี้
กุจะได้ไปจริง ๆ เหรอเนี่ย ลั้ลลา ๆๆ
วันนั้นกุยิ้มแก้มแทบปริ
ปากจะทะลุถึงรูหู เพราะความดีใจ
แล้วก็ขออนุญาต ผอ. เพื่อที่จะลางานช่วงเดือนธันวาคม
ไปขอวีซ่าที่เชียงใหม่
ตอนแรกกุนอยด์แดกมาก เพราะได้ข่าวว่า
การขอวีซ่าอเมริกาเนี่ย ขอยากสัด
เพื่อนกุขอที่เชียงใหม่ 2 รอบ ไม่ผ่าน
ไปขอใหม่ที่บางกอก ถึงได้ไป
แม่ง มันบินไปแระ เพราะสมัครคนละเอเจนซี่กัน
T_T

แต่กุไปขอวีซ่าก่อนที่จะได้ดูโนส อุดม
เล่าเรื่องขอวีซ่าอเมริกาที่บางกอกนะ
กุขอคอนเฟิร์มว่าแม่งเรื่องมากจริง ๆ ค่ะ
แต่กุไม่ได้โดนไล่กลับขนาดนั้น
เพราะทางเอเจนซี่ช่วยกุตรวจเอกสาร
และรูปถ่ายก่อนหน้านั้นแล้ว
พอกุเข้าไปสัมภาษณ์ กุก็ตอบแบบชัดเจนบ้าง
แอบตะกุกตะกักบ้าง
โห่ว อีห่า เห็นใจกุเถอะค่ะ กุแม่งประหม่านี่คะ
ไม่ใช่จะพูดภาษาอังกฤษปร๋อซะหน่อย

ไอ่ที่อยากไปเนี่ย กุไม่ได้จะไฮซงไฮโซ อะไรเลย
อยากไป เพราะกุอยากเรียนรู้
กุอยากมีประสบการณ์ใหม่ ๆ ให้ชีวิต
และสิ่งที่สำคัญมากสำหรับกุคือ

กุคิดว่าสมัย ร. 5
เราเคยขาดคนที่มีทักษะทางภาษาต่างประเทศ
ขาดทักษะด้านความรู้แขนงต่าง ๆ
จึงทำให้ต่างประเทศเอาเปรียบเราได้
ดังนั้น กุซึ่งความรู้อะไรก็ไม่มี
เงินของตัวเองก็หาไม่ได้
เช่นนั้นไซร้ สิ่งที่พ่อแม่ของกุจะจุนเจือได้
ก็คือการไปเป็นพี่เลี้ยงเด็กนี่แหละ เป็นการลงทุนน้อยที่สุด
แต่ก็ได้อะไรกลับมาให้ประเทศไทยบ้างล่ะน่า
ก็ยังดีที่กุเป็นคนรักเด็ก อยู่กับเด็กได้
แม้บางทีจะรู้สึกหงุดหงิดบ้าง
แต่เชื่อกุเถอะว่า กุรักเด็กจริง ๆ
ถ้าเด็กพวกนั้นไม่ได้โดนผู้ปกครองชี้นำนะ

เพราะนั่น กุจะเกลียด และรังเกียจผู้ปกครองพวกมันทันที !
สร้างความสันดานชั่ว ๆ ให้เด็กเนี่ย กุไม่ชอบเลยจริง ๆ

พี่ฝรั่งสุดหล่อ ถามนั่นนี่กุ บลา บลา บลา
พอสุดท้ายก็หายไปซักพัก
กลับมาอีกที ก็พูดอะไรที่กุก็ฟังไม่รู้เรื่อง
กุเลยทำหน้ายิ้มอย่างเดียว
พี่ฝรั่งสุดหล่อเงยหน้าขึ้นถามกุว่า เข้าใจมั้ย ?
( ถามเป็นภาษาอังกฤษค่ะ
ซึ่งกุพอเข้าใจแม้กุจะภาษาเฮงซวยก็เหอะ
ก็แค่ Do you understand ?
ไม่ต้องมีผัวฝรั่งกุก็ตอบได้ )

กุเลยส่ายหน้า แต่ก็ยังยิ้มอยู่
ทำไงได้ สยามเมืองยิ้ม ดีไม่ดีกุยิ้มไว้ก่อน
กุยิ้มทั้งวันก็ยังได้ ถ้ามันทำให้วีซ่ากุผ่าน
เค้าก็พูดอีกทีว่า
" เดี๋ยวคุณจะได้รับวีซ่าภายใน 3 วันนะครับ "
( ภาษาอังกฤษค่ะ แต่พูดช้าลง )

กุแทบจะกรี๊ด อยากเข้าไปกระโดดกอดมาก 555
แต่ทำมะได้
ไม่งั้นหน้ากุคงชนกระจกที่เค้ากั้นไว้
อนาถน่าดู



แล้วกุก็กลับมาสอนเด็กอีกครั้ง
นักเรียนชั้นอื่นก็จะชอบมาคุยกับกุ
บางคนก็เล่าในสิ่งที่ตนเองอึดอัดใจ
บางคนก็มาบ่นนั่นบ่นนี่ให้กุฟัง
แล้วกุก็คุยในลักษณะที่ไม่เข้าข้างหรือไซโคห่าไร
แลกเปลี่ยนความคิดกัน อะไรประมาณนั้น
มีเด็กนักเรียน ญ ที่ชอบมาเล่านั่นนี่ให้กุฟังคนนึง
ถามกุว่า
" ตกลงว่าวีซ่าครูผ่านมั้ยคะ ? "
กุเลยบอกว่า " อืม ผ่านแย้ว
@^_^@ เย่ "

แต่เด็กแม่งทำหน้าตกใจ แล้วบอกว่า
" อ้าว นู๋ไปบนที่ศาลเจ้าพ่อ ( อะไรซักอย่างกุจำไม่ได้ )
ว่าถ้าวีซ่าครูผ่านนู๋จะวิ่งรอบสนาม 10 รอบ แง้ "
อ่าว อีหอย ก็แล้วเสร่อหวังดีอะไรกับครูล่ะค้าาาาา
( อันนี้คิดในใจ )

แต่กุก็ขอบใจเด็กไป แล้วก็บอกว่า วุ้ย ไม่ต้องบนหรอก
โหว มันต้องขนาดไปบนให้ครูเลยเหรอเนี่ย
กุซาบซึ้งนะ ที่จริงน่ะ
กุคิดว่า ถ้าได้บินช่วงมีนาคม
มันก็ครบปีพอดีกับการบากบั่นของกุ
กุกะว่า เริ่มสอนเด็กพฤศจิกายน
จะลาออกช่วงสิ้นเดือน มกราคม
เพราะเดือนกุมภาพันธ์ กุจะไปซื้อของเตรียมบิน ต้นเดือนมีนาคม
กุคิดว่า เอาน่า คงไม่มีอุปสรรคเหี้ย ๆ อะไรแล้วล่ะ
นี่กระมัง คือผลที่กุทำสิ่งที่ดี
ขอบพระคุณมากนะคะ ที่ทำให้นู๋ผ่านพ้นมันมาได้
กุสำนึกในทุกสรรพสิ่งเงียบ ๆ คนเดียว

ช่วงปีใหม่
กุยังลั้ลลาเป็นบ้าเป็นหลังที่แพร่อยู่เลย
เพราะที่บ้านกุเค้าก็จัดงานปีใหม่กัน
กุชอบเพลง San Francisco มาก
กุเลยเปิดเพลงนี้ร้องอยางเมามันส์

จริง ๆ ที่ ที่กุจะไปมันเป็นอีกเมืองนึง
แต่ Host บอกกุว่า ห่างจาก ซานฟรานฯ แค่ 1 ชั่วโมง
กุเลยเอามาร้องน่ะนะ
แหะ ๆๆๆ เนียนได้อีก

หลังจากปีใหม่ไม่นาน
คืนวันศุกร์กุนั่งเล่นเน็ทอย่างสบายใจ
เวลาประมาณ เที่ยงคืนกว่า เข้าสู่วันเสาร์แล้ว
กุก็ไม่ได้มีลางสังหรณ์อะไร
แต่กุเห็นอีเมลแจ้งเตือนพอดี กุก็ไม่ได้คิดอะไร
ยังเสือกลั้ลลาได้อยู่

พอกุอ่านเท่านั้นแหละค่ะ
กุช็อค !!! อึ้งแดก !!! หัวใจเต้นแรง !!!

มันมีอาการอะไรอีกมั้ยวะ
ที่บ่งบอกถึงความช็อคแบบสุด ๆ ได้เนี่ย ?
กุอยากจะกรี๊ดให้สุดหลอดลม
แต่มันเป็นช่วงเวลาที่พ่อแม่หลับแล้ว
อย่าว่าแต่พ่อแม่เลย ผู้คนส่วนใหญ่ก็รู้เวลาว่าควรต้องนอน
ยกเว้นกุเนี่ยแหละ ที่ยังเสือกเล่นเน็ทดึกดื่น
แถมโดนแจ็คพ็อตซะสั่นไปหมด

กุหลับไม่ลงจริง ๆ
เพราะในอีเมลมาจากเอเจนซี่เมืองนอก
บอกกุว่า เอกสารของกุไม่โปร่งใส
กุไม่สามารถจะไปกะทริปของเค้าได้
และตอนนี้เค้าได้แจ้งกับทาง Host ของกุเรียบร้อยแล้ว
กุก็เฮ้ย อะไรวะ อยากจะถามไปหลายสิ่งมาก
กุจำได้ว่าทุกสิ่งอย่างกุตรวจหมดแล้ว
เกิดอะไรขึ้น ???
ไม่จริ๊งงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง

กุเลยเข้าไปถามพี่ที่เก่งภาษาอังกฤษว่า
จะถามแบบที่กุพิมพ์ไทยเนี่ยถามยังไงดี
กุไม่ไหวแล้ว หัวใจกุมันเต้นไม่เป็นจังหวะเลย
ความเครียดกระจายเข้าสู่ทุกรูขุมขน
กุรอจนถึงเวลาทำการของเอเจนซี่ทางบางกอก
กุก็โทรหาเค้า
เค้าบอกกุว่า
ไม่เห็นมีการแจ้งบอกอะไรเลยว่ากุจะไม่ได้ไป
กุก็อ้าว อะไรวะ งงมาก เกิดอะไรขึ้นวะเนี่ย
ตกลงชีวิตกุมันยังไงกัน
พี่เค้าเลยบอกว่า รอให้ถึงวันจันทร์
แล้วเค้าจะโทรถามทางนั้นให้กุ
เพราะเสาร์ อาทิตย์ ฝรั่งไม่ทำงาน
กุก็เลยต้องแบกความเครียดเอาไว้คนเดียว
พ่อแม่กุ กุยังไม่บอกเลย กุเห็นหน้าเค้าแล้วกุสงสาร
เพราะทุกอย่างมันเสร็จสิ้นหมดแล้ว
รายจ่ายที่อุตส่าห์ไปกู้มา
เพื่อให้กุได้ไปเอาประสบการณ์มาใช้ให้เกิดประโยชน์กับชาติเนี่ย
มันสูงนะเว้ย คนธรรมดา ๆ แบบพวกกุเนี่ย
โอกาสที่จะได้ทำอะไรแบบนี้มันน้อยนัก

... T_T ...

กุรอถึงวันจันทร์ ก็ยังไม่มีวี่แววจะได้รับข่าวสารอะไร
กุเลยโทรหาพี่เค้า
พี่เค้าก็เลยถามกุว่า จากการสันนิษฐานของพี่
ก็คือ
จำได้มั้ยว่าพี่เค้าเคยเตือนกุ
เรื่องที่ให้โทรเช็คคนที่เซ็นเอกสารรับรองเรื่องเลี้ยงเด็กให้กุว่า
อาจจะมีการเช็คว่ากุไปทำจริงมั้ย
แต่คือกุก็ว่ากุโทรบอกแล้วไง

กุคิดว่า แล้วกุจะกลัวเหี้ยไรวะ ในเมื่อกุไม่ได้ทำไรผิด
กุไปทำจริง มันก็ไม่จำเป็นต้องกลัว
หารู้ไม่ว่า ชะตาชีวิตกุมันจะเฮงซวย หัวควยขนาดนี้

พี่เค้าเคยบอกกุว่า เอเจนซี่ทางนั้น
จับได้ว่ามีเด็กไทยโกงเอกสาร
คือไม่ได้เก็บชั่วโมงจริง
แต่เมคเอา แล้วเด็กคนนั้นก็ยอมรับว่าโกงจริง
ก็นี่ไง ที่กุไม่กลัว เพราะกุไม่ได้ทำ
หรือมันจะเป็นชะตาชีวิตของกุด้วยก็ไม่รู้
เพราะพี่เค้าบอกให้กุลองโทรไปถามทางโรงเรียน
ถามผู้ปกครองเด็กที่เคยไป
ถามคนนั้นคนนี้ ที่เซ็นเอกสารให้กุว่า
มีใครโทรหามั้ย จากต่างประเทศ
ซึ่งทุกคนก็บอกว่า มีโทรหาเข้าออฟฟิศ
เข้าสำนักงาน เข้าที่บ้าน
แล้วที่โรงเรียนที่กุเคยไปสอนเด็กอนุบาล
ผอ. ไปประชุม
บ้านที่เคยไปเลี้ยงเด็ก
ก็ลูกน้องในออฟฟิศของผู้ปกครองเด็กรับแทน
อีกบ้านนึงก็โทรเข้ามา แล้วพูดไม่ค่อยรู้เรื่อง
ทำให้คนที่รับไม่เข้าใจ

คนไทยแม่งใช้มือถือไง
แล้วฝรั่งเนี่ย จะไม่ค่อยโทรเข้ามือถือ
เพราะถือเป็นเรื่องส่วนตัว
นี่แหละ สิ่งที่หลายคนก็ไม่รู้
แล้วกุอยากจะไปเรียนรู้วิถีของฝรั่ง
เพื่อนำมาบอกกล่าว
นำมาสอน นำมาป้องกันไม่ให้คนที่ชั่ว ๆ
เอาเปรียบประเทศชาติ บ้านเมือง และประชาชนคนไทย

กุอาจจะไม่ได้มีเงิน กุอาจจะไม่ได้รวย
กุอาจจะไม่ได้ฉลาด
แต่กุมีสำนึก
กุระลึกอยู่เสมอว่า
แผ่นดินที่กุเหยียบ น้ำที่กุดื่ม ข้าวที่กุแดก
มันคือของชาติกุทั้งนั้น

จริง ๆ กุก็ไม่อยากจะแบ่งแยกอะไร
เพราะยังไงเราก็เป็นส่วนประกอบเดียวกันหมดทั้งโลก
กุไม่เอาเปรียบใคร แต่ก็ไม่ชอบคนเอาเปรียบ เช่นกัน
... ไม่มีใครยืนยันให้กุได้เลย ...
ไม่มีใครยื่นมือให้กุจับ ตอนที่กุกำลังโดนผลักให้ตกเหว
ไม่มีใครอยากต่อสู้เพื่ออนาคตของกุ
ไม่มีใครเห็นว่าเรื่องที่กุบากบั่นเป็นสิ่งมีค่า
ไม่มีใครถามไถ่ตัวกุ ว่าเกิดอะไรขึ้น
ไม่มีใครจะยืดอกออกโรงมาปกป้องกุ
เหมือนเช่นที่กุเคยสู้เพื่อความอยุติธรรมที่เกิดกับคนอื่น บ้างเลย
ไม่มีใครที่เห็นความไม่ถูกต้องที่เกิดกับ ญ ไทย คนนึง
ที่ไม่ได้มีเรี่ยวมีแรงไปทะเลาะกับพวกฝรั่งพวกนั้นได้
ไม่มีใครอยากจะเข้าใจกุ
ทำไมไม่มีใครที่จะเคียงข้างกุ เวลาที่กุเกิดปัญหาได้เลย
ไม่มีใครเลย ไม่มีใครซักคน ไม่มีจริง ๆ T_T

...

ตอนที่กุทำดี กุไม่ได้หวังห่าอะไรหรอก
ไม่ได้คิดด้วยซ้ำว่า จะมีอานิสงส์อะไรมาให้ตัวกุเองเลย
ขอแค่สิ่งที่กุมอบให้ เป็นสิ่งที่เติมเต็มแก่คนอื่น กุคิดแค่นี้จริง ๆ
จะว่าเขียนลงในนี้ เพื่อให้คนอื่นอ่านแล้วคิดว่ากุดีเนี่ย
มันก็ไม่ใช่อยู่ดีไม่ได้จำเป็นอะไรกับชีวิตกุเล้ย

อีกทั้ง ก็คงไม่มีใครเข้ามาอ่านข้อความยาว ๆ ขนาดนี้
ทุกตัวอักษร ได้หรอก ใครจะให้ความสำคัญกับกุขนาดนั้น

... นอกจาก ตัวกุเอง ...
... ที่เข้ามาเขียน และเข้ามาอ่านของตัวกุ บ่อย ๆ ...

ภาพ Flash back ของอดีต ขึ้นมารบกวนในหัวกุ
ทีละภาพ ทีละภาพ
กุไม่เคยเสียใจ ไม่เคยเสียดาย
ในสิ่งที่ได้ทำให้คนอื่นเลยแม้แต่น้อย
เพียงแต่กุน้อยใจ กุร้องไห้
ให้แก่โชคชะตา ที่เหี้ยสัดม๋าของกุเองเท่านั้น

มันเจ็บปวดมาก ในตอนที่กุบอกพ่อแม่
กุอดทนมากที่จะต้องกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหล
เมื่ออยู่ต่อหน้าพ่อแม่กุ
เพราะกุรู้ว่า กุเสียใจ พ่อแม่กุเสียใจกว่ากุมาก

และนี่คือเหตุผล
ที่กุไม่อยากจะทำร้ายใคร
เพราะนึกถึงเค้าว่าเค้าก็มีพ่อมีแม่เช่นกัน
( ถ้าคน ๆ นั้น ไม่หาเรื่องกุก่อนนะ
กุจะพยายามอดทนก่อนจะหมดความอดทน )

พ่อกุเคยพูดกับกุแบบเด็ดขาด
ตอนที่กุกลับไปคบกับแฟนเก่าอีกครั้ง ว่า
" ถ้าคิดว่ากลับไปคบแล้ว ไม่ต้องมาร้องไห้ให้เห็นอีกนะ ! "

ตอนแรกกุคิดว่าพ่อแม่งอะไรวะ ไม่รักกุเลย ไม่เข้าใจกุ
แต่หลังจากที่ขบคิด กุพอจะเข้าใจว่า
ที่จริงเค้าเสียใจยิ่งกว่ากุอีกด้วยซ้ำ
ที่เห็นว่ากุร้องไห้ เสียใจ เรื่องความรัก
เค้าไม่อยากเห็นกุเสียใจ
แต่ด้วยความที่พ่อกุเป็นผู้ชาย
เค้าเลยพูดในลักษณะนั้น กุเข้าใจ
T_T

และพ่อก็เคยพูดกับกุและน้องกุว่า
" พ่อจะไม่ยอมให้อะไรมาทำร้ายลูกของพ่อได้
พ่อจะปกป้องให้ถึงที่สุด
แต่ถ้ามันคือสิ่งที่ลูกได้ตัดสินใจเลือกเองแล้ว
พ่อก็คงไม่สามารถจะไปปกป้องลูกได้ "

มีอยู่วันนึง แม่กุต้องไปต่างจังหวัดกับทางโรงเรียน
กุอยู่กับพ่อสองคน ตอนกลางวัน
ต่างคนต่างไปทำงาน กุก็ยังไปทำงานอยู่
ที่จริงสภาพจิตใจกุเรียกร้องว่า
" ไม่ไหวแล้วววว กุไม่ไหวแล้ววว กุอยากอยู่เฉย ๆ "

เวลากุสอนเด็ก กุจะลั้ลลาตามประสากุมาก
กุไม่ใช้อารมณ์มาพาลใส่เด็ก
เพราะเด็กไม่ผิด เด็กควรได้รับในสิ่งที่มันเหมาะสมมากกว่า
แต่พอกุกลับถึงบ้าน น้ำตามันทะลักล้นออกมาตลอดเวลา
แม่กุมาเล่าให้ฟังทีหลังว่า พ่อกุพูดกับแม่ว่า
" สงสารลูกก็สงสาร แต่ไม่รู้จะช่วยมันยังไง "

กุรับรู้ว่าพ่อแม่กุเจ็บปวดมาก ซึ่งมันก็ทำให้กุยิ่งรู้สึกผิดไปอีก

เพื่อนกุที่นับถือพระพิฆเณศ แล้วเคยแชร์กับกุมาก่อน
เพราะกุบอกมันว่า แม่กุก็บูชาพระพิฆเณศ มาเหมือนกัน
แต่กุก็ไม่ได้อะไร
แค่ตอนที่ตระเวนดูดวงเนี่ย
มีแต่คนทักว่ามีพระพิฆเณศตามกุ ไม่ก็กุมารทอง
ซึ่งสองสิ่งนี้ อยู่ที่หิ้งพระที่บ้านอยู่แล้ว
แต่กุไม่ได้อะไรมากมาย เฉย ๆ
พอมีคนทักนี่แหละ กุถึงได้นึกขึ้นมาได้
กุเลยเล่าให้เพื่อนฟังแค่นั้น
เพื่อนกุบอกว่า
" มึง กุรู้ กุมีความรู้สึกบางอย่างว่า
พระพิฆเณศ ท่านหยอกมึงเล่น "

กุซึ่งไม่ได้คิดลบหลู่ หรืออะไร
แต่ตอนนั้นกุทำใจกับอะไรไม่ได้เลย

กุก็บอกเพื่อนไปว่า
" อ่อเหรอ หยอกกุแรงนะ "

... กุสงสารพ่อแม่จริง ๆ ...

วันที่เซ็นสัญญาแล้วจ่ายเงินงวดสุดท้าย
สองหมื่นกว่าบาทเนี่ย
เค้าขับรถจากพิดโลกขึ้นเชียงใหม่
เดินทางก็เหนื่อย เงินค่าน้ำมันอีก จิปาถะมาก
แต่ก็เพื่อกุ เพื่อลูก
ที่มีความรู้ท่วมหัว แต่ไม่เคยเอาตัวรอดได้เลย
อย่างกุ !
แม้จะได้เงินงวดสุดท้ายคืนก็จริง
แต่มันแลกกับความรู้สึกที่ประเมินค่าไม่ได้
ไหนจะค่าอยู่ไปเพื่อหายใจทิ้งของกุที่ผ่านมาล่ะ
ค่านั่นนี่ อีกล่ะ มันก็เยอะนะ

เหมือนเอาเงินมาละลายแม่น้ำ ไม่ได้อะไรกลับมาเลย
ในที่สุด
... กุก็ลาออกจากโรงเรียน ...
ทั้งที่ตอนแรกจะออกเพราะจะไปเมืองนอก
แล้วก็สัญญากับเด็กไปแล้วว่า
ถ้ากลับมาแล้วพูดภาษาอังกฤษได้ กุจะมาสอนเด็กอีกครั้ง
แต่พอกุไม่ได้ลาออกเพื่อจะไปเมืองนอก
กุจึงรู้สึกผิดหวังอย่างแรง
แต่ทำไงได้ กุไม่มีอารมณ์จะสอน หรือจะทำอะไรแล้ว
แม้แต่หายใจกุก็ยังเหนื่อย
กุเบื่อการใช้ชีวิตมาก กุเบื่อไปทุกอย่าง
แดกอะไรก็ไม่เคยรับรส
มันก็คนละแบบกับอาการอกหัก
ตอนอกหักกุไม่ได้ไม่อยากใช้ชีวิต
แค่แดกไม่ค่อยได้ นอนไม่ค่อยหลับ
แต่นี่ กุก็แดกได้ นอนหลับ
แอบภาวนาทุกคืนว่า อย่าตื่นแล้วได้รับรู้เลยว่า
มันคือเรื่องจริงที่เกิดขึ้น
กุเศร้าแดกหลายเดือนทีเดียว
เครียดจนปั่นป่วน ไมเกรนแดกหัวไปหลายรอบ
ท้ายที่สุด
กุจึงตัดสินใจที่จะกลับมาทำงานเดิมที่เคยทำ
เมื่อมิถุนายน
เพื่อนกุที่เคยทำงานด้วยกัน
ก็เคยชวนหลายทีแล้ว
แต่ด้วยอะไรหลายสิ่งอย่าง ที่ทำให้กุยังไม่ตัดสินใจ

กุยังทำใจไม่ได้อยู่เช่นเดิม
และไม่รู้ว่า เมื่อไหร่ที่กุจะหาย
กุลั้ลลา ร่าเริง ยิ้มร่า หน้าเปื้อนยิ้ม
แต่ก็ไม่มีใครรู้หรอกว่า ลึก ๆ แล้ว
กุเจ็บปวดอย่างที่สุด
กุไม่ได้อยากเก็บ หรือซ่อนความรู้สึกห่าเหวอะไร
เพียงแต่เมื่อกุอยู่ต่อหน้าคนอื่น
กุก็ไม่ได้เอาอารมณ์ของกุพาลเท่านั้นเอง
ไม่งั้นก็ชวนกันดราม่าฉิบหาย
แล้วใครมันจะอยากคบค้าสมาคม
แต่นี้ก็แทบจะมะมีใครคบแระ
- -"

ก็ไม่ใช่ว่าทุกวันนี้กุจะไม่มีอะไรกดดัน มันมีเยอะมาก
บางครั้งกุเครียด กุก็ร้องไห้
แล้วก็สวดมนต์ นอนหลับ
เช้ามา กุก็ตื่นไปทำงาน
ตกเย็น กลับหอ ดูช่องเคเบิล
เพราะมันมีเรื่องที่กุชอบ
กุพยายามหาสิ่งที่เป็นความสุขเล็ก ๆ
เพื่อใช้ปรับอารมณ์ปั่นป่วน
อันเกิดจากคนจัญไรบางคนทำกับกุ

... อันที่จริง เรื่องแม่งยาวกว่านี้อีก ...
แต่ไม่อยากเขียน ไม่อยากนึกอีกแล้ว
อีกอย่างตอนลาออกจากโรงเรียน
มันช่วงเริ่มเดือนกุมภาพันธ์พอดี
กุก็ได้ไปสมัครกับเอเจนซี่ที่พิดโลกอีกทีด้วย
ตกลงว่า กุผ่านมาทั้งหมด 3 เอเจนซี่
กุรู้ว่า เวลาของกุไม่มากนัก เพราะก็อย่างว่า
พฤษภาคม แล้ว กุก็หมดสิทธิ์
ถ้าอายุ 27 มันก็ไปกับโครงการนี้ไม่ได้แล้ว
เฉพาะอเมริกา และบางประเทศที่กำหนดไว้

ลูกหลานของกุเอ๋ย
เก็บไว้อ่านเล่นฆ่าเวลาพวกมึงเหอะนะจ๊ะ
กุก็ไม่รู้ว่า ชีวิตกุจะตายห่าก่อนจะได้มีลูกมีหลานรึเปล่า
( ถ้ากุไม่ได้มีลูกหลานของตัวเอง ก็เอาญาติ ๆ นี่แหละวะ )

กุอยากให้บล็อกกุเป็นประวัติศาสตร์
แล้วก็มอบบล็อกเป็นมรดกประจำตระกูล
ให้ลูกหลานเล่าสู่กันฟัง
แม้ในตอนนั้น มันอาจจะคิดว่าเป็นเรื่องบ้าบอก็ตาม
แต่กุก็มั่นใจอยู่บ้างว่า
สายเลือดแม้จะเจือจางไปแล้ว มันต้องมีบ้างน่า
ที่จะมีใครเข้าใจกุ แม้จะซักกระผีกเดียวก็เหอะ !

... สำหรับคนที่ได้เสือกเข้ามารับรู้
รับทราบเรื่องของกุ ในครั้งนี้ ...

กุก็อยากบอกว่า
... ไม่ต้องปลอบใจกุนะคะ กุปลอบใจตัวเองมาแล้ว ...

และก็ไม่ได้ช่วยห่าอะไรเลย
... แค่กุคิดว่า มีหน้าที่อะไรก็ทำไป
อย่าเหยียบใครเพื่อให้เราได้ดีเพียงคนเดียว ...

เอาเป็นว่า
... ขอบใจที่เข้ามาอ่าน ตั้งแต่ต้น จนจบค่ะ ...

ส่วนใครก็ตามที่ไม่ได้อ่านตั้งแต่ต้น จนจบ
ไม่ต้องเสือกเม้นท์ค่ะ
ไม่ได้ช่วยอะไรกุหรอก แค่คนเม้นท์
หรือจำนวนคนที่เข้ามาอ่าน
ถ้าอ่านตั้งแต่ต้น จนจบกระบวนความ
เกิดความรู้สึกอะไรบางอย่าง มีมุมมองที่ต่างจากเดิม
หรือเข้าใจความเป็นกุบ้าง
... แค่นี้ พอแล้วค่ะ กุไม่ได้ต้องการเหี้ยไรไปมากกว่านี้ค่ะ ...

... ขอขอบใจทุกท่านที่มีส่วนร่วมในความพินาศย่อยยับ
แม้แต่ฝุ่นธุลีก็ยังไม่เหลือ ของชีวิตกุ ครั้งนี้ ...

กุไม่พูดถึง หรือเขียนไว้จนละเอียดยิบย่อย ไม่ได้หมายความว่า
กุไม่ได้ใส่ใจ หรือเสียใจอีกต่อไป
กุฝังใจ
... กุเจ็บปวด ...
และกุหมดอนาคตที่วาดฝันไว้ จนต้องเริ่มนับ 1 ใหม่ทั้งหมด
ครอบครัวกุเคยบอกว่า
" ล้มแล้ว มันต้องพยุงตัวเองให้นั่งได้ก่อน แล้วค่อยลุกขึ้นยืน "

... พวกมึงไม่ใช่กุ ไม่ใช่พ่อแม่กุ ไม่ใช่คนในครอบครัวกุ
พวกมึงคงไม่เข้าใจ ! และอาจไม่รู้สึกอะไร ! ...

ที่จริง กุก็อยากเขียนรายละเอียดเวลาไปเลี้ยงเด็ก
สอนเด็ก ไปเล่นกับเด็ก หรือความสนุกสนานของเด็ก ๆ
แต่กุคงไม่เขียนรวม ณ ตอนนี้จะดีกว่า
เรื่องเหี้ย ไม่ควรคู่กับความน่ารัก สดใส และไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ของเด็ก ๆ กุค่ะ

... อนิจจา ...
... ชีวิตของกุมักจะตกอยู่กับเรื่องที่นอกเหนือการควบคุมตลอดเวลา ...

ภาษาเหนือวันละคำวันนี้ คำว่า เหี้ยเบ๊อะเหี้ยเบ๋อ
อ่านว่า เหี้ย - เบ๊อะ - เหี้ย - เบ๋อ
แปลว่า กระจัดกระจายอย่างแรง

แต่งประโยค อยู่หอกะเพี้ยวครัวพ่องเน้อ
บ่ใจ้ปล่อยฮื่อมันเหี้ยเบ๊อะเหี้ยเบ๋อบ่เป๋นตี้เป็นตาง

แปลอีกทีว่ะ อยู่หอก็เก็บข้าวของบ้างนะ ไม่ใช่ปล่อยให้มันระเนระนาด
กระจัดกระจาย ไม่เป็นที่เป็นทาง

บ๊าย...บาย
นู๋บลิว เซเลอร์มูน ก๋ากั่น

10 ความคิดเห็น:

สิ่งมีฯ กล่าวว่า...

เป็นคนหนึ่งที่เข้ามาอ่านข้อความยาวๆ ขนาดนี้ ทุกตัวอักษรครับ

GirlTear กล่าวว่า...

โห อดทนจังนะคะ

แล้วทำไมต้องอดทนขนาดนั้นเหรอคะ ???

อ่านทุกตัว งี้ก็ต้องรู้สึกอะไรบ้างสิ ? หรือไม่ได้รู้สึกอะไรเลย

หรือก็เฉย ๆ เออ อินี่อัพแล้ว กุก็ตามมาอ่าน 555

แชร์ให้ฟังหน่อยสิ อยากรู้น่ะ นะๆๆๆๆ

สิ่งมีฯ กล่าวว่า...

แค่รู้สึกว่าอาชีพเอเจนซี่ที่ว่า จะเข้าข่ายหลอกลวงเหมือนพวกตุ๋นแรงงานไทยไปนอก อย่างที่โดนจับบ่อยๆ ตามข่าวหน่ะครับ

GirlTear กล่าวว่า...

ในความรู้สึกเค้านะ มันก็ไม่ใช่ว่าต้มตุ๋นหรืออะไร

เพียงแต่เค้าแค่เซ็งที่ไม่มีใครช่วยเค้าได้

แล้วดวงก็ซวยด้วย มันหลายอย่างอะ แต่เอเจนซี่แต่ละที่ ถ้า search เนี่ย ก็จะเจอเป็นเว็ปแรก ๆ เลยนะ อย่างที่สุดท้ายเนี่ย

เป็นเอเจนที่เค้าเป็นเพื่อนของน้องสาวด้วย ก็ไว้วางใจได้ไง

ชะตาชีวิต , จังหวะชีวิต , และมโนสำนึกของบแต่ละคนมากกว่ากระมัง เหอ ๆ

ป.ล ถามจริง ๆ เหอะค่ะ อ่านไรเยอะแยะ ยาวขนาดนี้ ช่างจะอดทนนะคะ ไม่ได้หวงนะ แค่แปลกใจ ใช้เวลากี่วันน่ะ ???

สิ่งมีฯ กล่าวว่า...

ปัญหาในมือ คุณเองก็แก้ได้หมดแล้ว ที่พลาดเพราะเป็นปัญหานอกมือทั้งนั้นนี่ครับ

ผมอ่านไม่นานครับ ไม่ถึงชั่วโมง
อ่านเร็วกว่าพิมพ์เยอะ คุณหล่ะครับพิมพ์กี่วัน???

GirlTear กล่าวว่า...

เค้าแก้ปัญหาได้หมดยังไงเหรอ ???

ที่พลาด ก็อย่างที่เค้าเขียนไว้นั่นแหละเจ้า

มันอยู่นอกเหนือการควบคุม แล้วก็เป็นแบบนี้ตลอดด้วย

ถ้าพระเจ้าสร้างพวกเราขึ้นมาจริง ๆ เค้าก็อยากถามเหมือนกันนะว่า ... สร้างให้เค้าอยากทำนั่นนี่เพื่อคนอื่น แล้วทำไมไม่ให้เค้าไปแสวงหาสิ่งที่ดี เพื่อนำกลับมาใช้วะ ??? งงค่ะ ...

มีอยู่วันนึงเค้าทนไม่ไหว ตะโกนเสียงดังเพราะความโกรธ

" เออ ! ถ้ากุมันไม่ดี ไม่สมควรจะมีชีวิตอยู่อีกต่อไป วันนี้ให้รถชนกุให้ตายห่าแม่งเลย ขอให้กุตาย ๆ ไปซะ วันนี้ก็ได้ให้กุตายซะ จะได้ไม่ต้องทำความเดือดร้อนให้ใคร ไม่ต้องให้ใครรู้สึกแย่ รู้สึกไม่ดี แล้วกุก็ไม่อยากทำร้ายใคร ไม่อยากทำอะไรไม่ดี ไม่อยากทำให้พ่อแม่รู้สึกแย่ เพราะกุมันแย่ ๆๆๆๆๆ "

จากนั้นก็คิดตลอดว่า รถคันนี้รึเปล่านะ ที่จะมาชนกุ หรือรถคันนั้น ฯลฯ แต่ก็ไม่ได้ฆ่าตัวตายนะ เพียงแต่คิดว่า เออ อยากชนก็ชนเหอะ กุไม่ไหวแระ รกโลก

ป.ล เค้าใช้เวลาพิมพ์คืนนึงอะ แต่เวลาคิดที่จะเขียน หลายเดือนอยู่เหมือนกัน ใจน่ะอยากเขียนมาก แต่เขียนไม่ออก ไม่อยากนึกถึง มันยังทำใจอยู่ ทรมาน T_T

สิ่งมีฯ กล่าวว่า...

นี่เราคุยกันได้อยู่ แสดงว่าวันนั้นรถไม่ชน
และก็แสดงว่าคุณดี และสมควรมีชีวิตอยู่ต่อไปหน่ะสิครับ
...
เอ...หรือว่ารถชน แล้วคุณคุยตอบผมจากห้องพักฟื้นในโรงพยาบาล?

GirlTear กล่าวว่า...

เปล่าค่ะ ก็ไม่ได้โดนรถชน

ถ้าคิดอีกแบบคือ ก็ถ้าใครเชื่อในผลกรรม หรือเชื่อว่า เราเกิดมาเพื่อใช้กรรม

การที่เค้ามีชีวิตอยู่ ก็อาจจะไม่ได้หมายถึงว่า เค้าเป็นคนดีหรอกนะคะ

เค้าอาจจะกรรมหนัก จนจำต้องยอมรับชดใช้ต่อไป

ป.ล ตอนเด็ก ๆ เค้าเคยเชื่อเรื่องเวรกรรมชาติก่อนชาติหน้า อะไรงี้นะ แต่ตอนนี้ไม่ได้คิดแล้วล่ะว่าเราต้องใช้กรรมชาตินี้

มันดูไม่ยุติธรรมกับชีวิตในปัจจุบันเท่าไหร่ ... แต่ไม่ได้หมายความว่า ต้องทำเรื่องชั่ว หรือไม่ดี นะ เพียงแต่ทำปัจจุบันด้วยความจริงใจ มันก็สบายใจ ณ ตอนนี้ ปัจจุบันนี้ ว่ามั้ย ?

( ว้า อะไรวะ ชวนคุยเรื่องอื่นเฉยเลย )

สิ่งมีฯ กล่าวว่า...

เวลามีใครสักคนเสียชีวิต จะมีคนรำพึงออกมา 2 แบบครับ
ไม่ 'หมดบุญ' ก็ 'หมดกรรม' ขึ้นอยู่กับว่าเป็นคนแบบไหน
ใช้ชีวิตอย่างคนดี หรือใช้ชีวิตอย่างลำบาก รึเปล่าครับ?

ถ้าความพัดพรากจากสิ่งที่รัก (ไม่ว่าจะจากเป็นหนือจากตาย) และความผิดหวังจากสิ่งที่คาดหวังเป็นบททดสอบของชีวิต ไม่รู้ว่าเราจะต้องเจอบททดสอบอีกเท่าไหร่นะครับ

GirlTear กล่าวว่า...

เค้าเลิกคิดไปนานแล้ว ไอ่เรื่องที่ว่าใครจะทดสอบเรา นั่นนี่

น่าเบื่อไปแล้วอะ จะทดสอบไรมากมายล่ะ ไร้เหตุผลสิ้นดี !

ไม่รู้นะ เคยคิด แต่ไม่คิดซะดีกว่า สบายใจกว่ามีคนคอยทดสอบเราด้วยซ้ำ

คนที่มีความสุข มันไม่ได้หมายความว่าไอ่คนนั้นนิสัยดีเสมอไปหรอก เชื่อเหอะ ! ไม่รู้นะคะ จากประสบการณ์ตัวเค้าเอง เค้าเชื่อแบบนี้